เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Story จิปาถะNopportunity
เมื่อผมทดลองเป็นโอตะหนึ่งวัน
  • สารภาพเลยว่าการเล่นเฟสบุ๊กทุกวันนี้ทำให้ผมรู้จักกับศิลปินไอดอลชื่อดังวงนึงมากขึ้นเรื่อยๆ


    เริ่มต้นจากการไม่รู้จักเลย จนเห็นชื่อวงผ่านตามาบ่อยๆในหน้าฟีด เริ่มเห็นคนหัดเต้นตาม และกระหน่ำแชร์เอ็มวี จนรู้ตัวอีกทีเพลงของพวกเธอก็ติดหูผมไปซะแล้ว


    ผมเรียนรู้วัฒนธรรมการติดตามไอดอลผ่านการเลื่อนฟีดและเห็นเพื่อนๆประกาศตัวเป็นโอตะ ประกาศโอชิผ่านสื่อออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีผมก็ได้เรียนรู้คำศัพท์ของวงการนี้ไป 2 คำแล้ว


    ข้อมูลมากมายถูกส่งมายังหน้าฟีดของผมเรื่อยๆ จนผมที่ต้องใช้เวลาเป็นเดือนในการจำชื่อเพื่อนในห้องเรียนยังสามารถจำชื่อ และหน้าตาของเมมเบอร์ได้ทีละคนๆ จนรู้ตัวอีกทีก็รู้จักไปหลายคนแล้ว และรู้ตัวอีกทีผมก็เผลอใช้คำว่าเมมเบอร์ออกมาอีกคำจนได้


    เพื่อนๆหลายคนก็แชร์รูปจากตู้ปลา บางรายตามไปงานจับมือ ซื้อซีดี สะสมโฟโตเซ็ต แล้วกลับมารีวิว รู้ตัวอีกทีนี่ผมรู้คำศัพท์ในวงการไปกี่คำแล้ววะเนี่ย


    ผมลองทบทวนตัวเองดูอีกที พอรู้ตัวอีกทีผมก็ใช้คำคำว่า “รู้ตัวอีกที” ไปกี่ทีแล้วก็ไม่รู้ แต่ก็ยังดีที่รู้ตัว ถ้าเผลอเมื่อไหร่อาจจะโดนตกได้ง่ายๆ นั่นไง ใช้ศัพท์ในวงการอีกละ


    มองย้อนกลับไปผมแทบจะไม่เคยเห็น หรือดูสื่อของศิลปิน หรือสังกัดอย่างเป็นทางการเลยด้วยซ้ำ แต่กลับเข้าใจ และรู้จักคนที่เราก็ไม่ได้ติดตามได้มากขนาดนี้ นี่มันยุคของ UGC จริงๆ และบริษัทก็ใช้ประโยชน์จากยุคสมัยได้อย่างแยบคายมาก (UGC ย่อมาจาก User Generated Content คือ คอนเทนต์ที่คนทั่วไปเขียนขึ้นมา โดยไม่มีใครจ้างให้เขียน)


    แต่เมื่อมีคนรักก็ย่อมมีคนเกลียด มีคนชื่นชมก็ย่อมมีคนเสียดสี กระแสทั้งด้านดี และด้านร้ายกระจายออกไปเรื่อยๆ ทั้งเกี่ยวกับตัวศิลปินเองที่ทำไมไม่ส่งเสริมความเป็นไทยเลย แต่ในทางกลับกันผมเห็นว่าไอดอลเหล่านี้แหละที่ดึงความเป็นไทยกลับมาให้วัยรุ่นไทย


    ผมไม่เคยคิดเลยว่าในยุคที่คนไทยสะกดภาษาไทยกันไม่ได้ ในยุคที่เราเถียงกันเรื่อง “คะ” กับ “ค่ะ” ในยุคที่คนขี้เกียจจนต้องใช้คำย่อกันมากมายอย่าง “เด๋ว” “พุ่งเน้” “สสวก” “บ่องตง” ในยุคเดียวกันนี้จะมีคนที่สามารถทำให้คนไทย รู้จักตัว “ฌ”


    หลายคนแทบไม่เคยรู้เลยว่า “ฌ” อยู่ตรงไหนของแป้นพิมพ์ บางคนเคยแยกไม่ออกระหว่าง “ฌ” กับ “ณ” หลายคนลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าในพยัญชะไทยมี ฌ เฌอ อยู่ด้วย


    ตั้งแต่กระแสไอดอลเติบโตในบ้านเรา แป้นพิมพ์ตัว “ฌ” ถูกใช้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และมีแนวโน้มสูงขึ้นยิ่งกว่ามูลค่าบิทคอยน์


    แม้แต่วัยรุ่นที่เคยพิมพ์คำว่า “ปันยา” แบบนี้ ตอนนี้พวกเค้ารู้แล้วว่าต้องใช้ “ญ” เป็นตัวสะกด


    พูดมาขนาดนี้หลายๆคนคงคิดว่าผมถูกตกกลายเป็นโอตะไปแล้วล่ะสิ แต่เปล่าเลย ผมยังรู้ว่ามีคำบางคำที่ถูกวงการนี้ชี้นำให้ใช้ผิดอยู่เหมือนกัน เช่น “เพนกิ้น” เป็นต้น


    ร่ายมาซะยาว เชื่อมั้ยว่านี่ยังไม่เข้าเรื่องเลย แล้วก็ยังคงไม่เข้าต่อไป


    ไม่เฉพาะกับเฉพาะตัวศิลปินเท่านั้น แต่บรรดาแฟนคลับ หรือที่เรียกกันว่าโอตะก็ถูกวิพากษ์ วิจารณ์ พินิจ พิเคราะห์ผ่านหน้าจอกันไปหลายกระแส


    แต่ก่อนที่จะตัดสิน หรือพิพากษาพวกเขา ผมคงต้องลองทำความเข้าใจพวกเขา โดยการเข้าไปเป็นพวกเดียวกับพวกเขาเสียก่อน


    และโอกาสนั้นก็มาถึง เมื่องานมหกรรมวัฒนธรรมญี่ปุ่นชื่อดังถูกจัดขึ้นที่ห้างใหญ่ใจกลางเมือง ในวันที่ผมว่างพอดี


    ความตั้งใจแรกของผมคือการไปหาแพ็กเกจทัวร์ ตั๋วเครื่องบิน และโปรแกรมเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงวันหยุด แต่เหมือนว่าผมจะมาผิดงาน นี่น่าจะเป็นมหกรรมคอนเสิร์ตไอดอลซะมากกว่า เมื่อผมพบว่าไอดอลนำเข้าจากญี่ปุ่นมากมายจะมาทำการแสดงที่นี่


    ผมเดินวนจนแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่ผมต้องการในตอนแรกนั้นมีอยู่แค่กระจุกเล็กๆไว้พอเป็นพิธี ผมจึงดิ่งไปที่เวทีที่มีผู้ชมมุงอยู่เต็มไปหมดด้วยความสงสัยว่าใครอยู่บนเวที


    ฟังจากเสียงเชียร์อันหนักแน่นของผู้ชมแล้ว ผมเดาว่าเป็นวงร็อกชื่อดังแน่นอน เมื่อเข้าไปใกล้อีกนิดผมเริ่มคิดว่านี่คือการชุมนุมทางการเมือง ก็ผู้ชุมนุมดันตะโกนอะไรกันออกมาเป็นจังหวะด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขนาดนี้


    ผมโล่งใจขึ้นเมื่อมองขึ้นไปบนเวที และเห็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักสี่ห้าคนยืนเต้นอยู่บนนั้น ผมหันกลับไปมองกลุ่มผู้ชุมนุมอีกครั้ง ก่อนตั้งคำถามว่า “พวกมึงตะโกนอะไรกัน!”


    นี่สินะโอตะ และวัฒนธรรมไอดอลที่ผมต้องทำความเข้าใจ


    ผมเดินไปหยิบแผ่นพับเพื่อดูกำหนดการณ์ของทั้ง 4 เวทีภายในงาน ว่ามีศิลปินคนไหนบ้างในแต่ละเวที


    ขั้นแรกของการเป็นโอตะคือการเลือกโอชิของตัวเองซะก่อน นานมาแล้วที่ผมไม่ได้เลือกโอชิใคร โอชิคนล่าสุดของผมคือพาวเวอร์เรนเจอร์สีดำ ที่เล่นกับเพื่อนทีไรผมก็จองเป็นตัวนี้ทุกที


    ผมมองหาไอดอลวงดังของไทยจากในตารางกำหนดการณ์ เพราะเป็นวงเดียวที่ผมรู้จัก แต่พวกเธอไม่ได้มาในวันนี้ ผมจึงเลือกที่จะตามวงที่ชื่อคล้ายๆกัน “AKB48”


    อันที่จริงผมก็พอรู้แหละว่าเค้าเป็นต้นตระกูลของไอดอลหลายๆวง และจะต้องฝ่ากลุ่มผู้ชุมนุมมหาศาลเข้าไปถึงจะได้เข้าไปดู และเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการฝ่ามวลมหาประชาโอตะเข้าไป ผมจึงใช้เวลาที่เหลือเพื่อลองฝ่าเข้าไปดูวงอื่นๆก่อน


    การเป็นโอตะนั้นไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะการติดตามศิลปินกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ ซึ่งจะต้องวิ่งตามไปเมื่อมีการย้ายเวที หรือการวางแผนว่าดูวงนี้จบแล้วจะดูวงไหนต่อ จะรออยู่เวทีเดิม หรือจะย้ายไปเวทีใหม่ แต่ไม่ว่าเวทีไหนๆ โอตะมืออาชีพจะต้องร้องตาม เต้นได้ และตะโกนสิ่งที่คล้ายกับเป็นรหัสลับประจำเพลงแต่ละเพลงให้ได้ถูกต้อง และถูกท่อน


    ผมลองเปลี่ยนเวทีไปมาเพื่อทำความรู้จักกับศิลปินให้หลากหลายทั้งชายและหญิง แม้ว่าศิลปินชายจะมีน้อย แต่ก็ถือว่าเป็นช่วงให้ผมได้ผ่อนคลาย เพราะไม่ต้องเบียดเสียด ชะเง้อคอ ชูกล้องสุดแขนแล้ว ผมยังเข้าไปนั่งฟังเพลงแบบติดขอบเวทีได้แบบสบายๆ


    และภารกิจสุดท้ายของผมก็มาถึง เมื่อ AKB48 กำลังจะขึ้นแสดง ผู้ชมจากทุกเวทีไหลมารวมกันที่เวทีเดียวโดยมิได้นัดหมาย พื้นที่หน้าเวทีถูกจับจองล่วงหน้าไว้แล้วอย่างหนาแน่น แต่แม้ว่าผมจะยืนอยู่ข้างเวที แต่ก็มีคลื่นมวลชนช่วยดันผมเข้ามาจนอยู่เกือบหน้าสุด


    ทันทีที่ดนตรีขึ้น เหล่าโอตะหลายพันคนก็ตะโกนอะไรบางอย่างออกมาพร้อมกันเหมือนกับทุกที แต่ครั้งนี้มันดูมีพลังจนน่าขนลุก


    เพลงที่คุ้นหู ท่าเต้นที่คุ้นตา แค่เปลี่ยนภาษาที่ใช้ร้อง ทำให้ผมเผลอฮัมเพลงตามไปได้บ้าง และไม่รู้สึกแปลกแยกมากนัก ต่างกับตอนดูวงอื่นๆที่ผมไม่เคยรู้จัก แถมเพลงก็ไม่คุ้นหู


    คอนเสิร์ตจบลง ทุกคนแยกย้ายกันกลับ ผมยอมรับว่ายังไม่อินกับการเป็นโอตะมากนัก การคัดเลือกโดยธรรมชาติอาจคัดผมออกจากระบบนิเวศน์นี้ ผมยังเลือกโอชิไม่ได้ แต่ผมว่าผมเข้าใจโอตะมากขึ้น


    ในมวลชนโอตะ ผมเห็นชายฉกรรจ์เต้นท่าบ้องแบ๊ว ตะโกนเชียร์เด็กผู้หญิง ร้องเพลงด้วยเสียงแหบห้าวแถมยังผิดคีย์ เต้นก็ไม่ตรงจังหวะ แค่กระโดดหรือโบกมือยังคร่อมจังหวะเลยด้วยซ้ำ แถมยังแข่งกันตะโกนคำที่แม้แต่คนตะโกนเองยังไม่รู้ความหมายในบางคำ


    ผมเคยได้ยินโอตะชอบพูดกันว่าความสุขของเค้าคือการได้เห็นพัฒนาการของศิลปินที่เค้าชื่นชอบ ได้สนับสนุนความฝันของเหล่าศิลปิน


    แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าทำให้พวกเค้ามีความสุขอาจจะเป็นการได้อยู่ในระบบนิเวศน์ที่ไม่ตัดสิน ในสิ่งที่ไม่มีถูกผิด ระบบนิเวศน์ที่ใครๆก็สามารถร้องเพลงเพี้ยน หรือเต้นคร่อมจังหวะได้อย่างสนุกสนาน ระบบนิเวศน์ที่ยินดีต้อนรับคนทุกประเภท ระบบนิเวศน์ที่อาจหาไม่ได้จากโลกภายนอก


    รู้ตัวอีกทีผมก็นั่งหมดสภาพอยู่ที่ศูนย์อาหารของห้าง และรู้ตัวอีกทีผมก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในการสร้าง UGC ให้วงการนี้ไปเรียบร้อยแล้ว


    ดูภาพถ่ายทั้งหมดได้ที่นี่

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in