ผมอยู่ที่โรงแรมจนถึงสิบเอ็ดโมงครึ่ง จากนั้นก็ไปเที่ยวชมเมืองบาร์เซโลนา
โรงแรมที่พักอยู่ในทำเลใจกลางเมือง แค่ข้ามถนนไปก็ถึงพลาซาคาตาลุนยา อากาศตอนนี้เย็นสบายราวสิบกว่า ไม่เกินยี่สิบองศาเซลเซียส หลายคนอาจรู้สึกว่าหนาวไปนิด แต่ผมชอบ เดินได้เรื่อยๆ เดินเล่นดูนกพิราบรอบน้ำพุสักพักแล้วผมก็ไปที่ถนนลา รัมบลา
ในบรรดาสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองบาร์เซโลนา ผมชอบถนนลา รัมบลาเป็นพิเศษ ถึงจะเคยมาหลายครั้งแล้วก็ยังอยากกลับไปอีก ถนนนี้มีชีวิตชีวาตลอดเวลา ลา รัมบลาเป็นถนนขนาดใหญ่ ตรงกลางเป็นทางให้คนเดิน มีซุ้มร้านรวงต่างๆ สองข้างขนาบด้วยเลนถนนรถวิ่ง ต้นไม้ใหญ่เรียงรายเว้นระยะให้ถนนไม่แห้งแล้ง ถัดไปเป็นแนวอาคาร ผมเดินตั้งแต่หัวถนนตรงไป ดูซุ้มนั้นซุ้มนี้ ทั้งร้านขายดอกไม้ เครื่องดื่ม อาหาร ของหวาน ของที่ระลึก ตั๋วท่องเที่ยว มีแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยง ศิลปินตั้งเฟรมวาดรูปเหมือนให้นักท่องเที่ยว นักดนตรีตั้งวงบรรเลงเพลง ผมเห็นรูปหล่อคาวบอยทำด้วยทองแดง เหมือนจริงมาก ผมเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วรูปหล่อก็ขยับตัวได้ ที่แท้เป็นคนทาทั้งตัวและชุดด้วยสีทองแดง
ผมชิมหอยนางรมสดๆ สองสามตัวในตลาดลา โบเคเรีย พอออกจากตลาด เดินผ่านอาคารร้านขายของที่ระลึก ตู้โชว์หน้าร้านวางของเรียงรายเต็มชั้น มีโปสการ์ดรูปวิว พัดสเปน รูปปั้นกระทิง ผมสะดุดตาตุ๊กตาสาวน้อยระบำสเปน ตุ๊กตาผมดำหน้าคมใส่กระโปรงระบายสีแดงสด น่ารักดี ผมเข้าไปในร้าน ซื้อตุ๊กตาตัวนั้นไปฝากลาเพ เธอคงชอบ ผมไม่ได้ซื้ออะไรไปฝากลุงมิค ลุงเคยมาบาร์เซโลนาหลายครั้งแล้ว
ถนนลา รัมบลาทอดยาวไปจนถึงท่าเรือติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ผมเดินไปถึงปลายถนน คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสยังคงยืนอยู่ที่เดิม บนอนุสาวรีย์ของเขา ชี้มือไปทางแผ่นดินอเมริกา ผมแวะร้านอาหารที่ปลายท่าเรือ สั่งสปาเก็ตตี้ล็อบสเตอร์ และสั่งคาลามารี หมึกชุบแป้งทอดจานใหญ่อีกจาน ผมนั่งรับลมทะเล ฟังเสียงหวูดเรือ พร้อมกับมองเรือสำราญลำใหญ่ที่แล่นเข้ามาเทียบท่า ทะเลแถบนี้มีเสน่ห์ไปอีกแบบ ความคึกคัก ความวุ่นวาย ตัดกับผืนทะเลกว้างไกล
นั่งจนถึงเกือบบ่ายสาม แล้วผมก็ตัดสินใจไปยอดเขามอนต์จูอิก มองจากเขาลงมาจะมองเห็นวิวทั้งเมืองบาร์เซโลนาได้ ผมอยากไปเดินเล่นแถวนั้น แล้วค่อยรอชมน้ำพุเต้นระบำประกอบแสงสีเสียง เมจิก ฟาวเทน ตอนค่ำ ผมนั่งรถไฟใต้ดินไปถึงสถานีพลาซา เอสปันย่า พอออกจากรถไฟใต้ดินสักพัก ฝนเริ่มโปรยปรายลงมา จากเม็ดฝนฝอยเริ่มหนาหนักขึ้น จนเป็นฝนเม็ดใหญ่
ผมไม่ได้เอาร่มมา ผมถอดเสื้อโค้ตออกมาคลุมหัว เอาถุงใส่ตุ๊กตามาถือแนบที่อกด้านซ้าย ดึงให้เสื้อโค้ตคลุมทั่วทั้งถุง ผมแวะเข้าคาเฟ่ข้างทางรอฝนซา เมื่อหาที่นั่งได้ ผมรีบดูตุ๊กตาที่อยู่ในถุง สาวน้อยสเปนยังอยู่ดีในกล่องพลาสติกใส มีหยดน้ำสองสามหยดบนกล่อง ผมใช้แขนเสื้อซับ ผมสั่งอาหารมากินฆ่าเวลา แต่ฝนยังตกไม่หยุด สุดท้ายผมตัดสินใจขึ้นรถไฟใต้ดินกลับโรงแรม เมื่อกลับถึงห้อง ผมเอาตุ๊กตาระบำสเปนไปเก็บที่ห้องนอน ถอดเสื้อโค้ตตากไว้ที่โซฟา พรุ่งนี้ค่อยส่งซัก แล้วลาเพล่ะ เธอจะเปียกฝนไหม ตัวบางๆ อย่างนั้นถ้าเจอฝนหนักแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นไข้
สี่ทุ่มแล้ว ฝนยังตกไม่หยุด ลาเพก็ยังไม่กลับมา ถ้าเป็นลุง เธอคงพาไปประชุมด้วย ลุงอาจได้ธุรกิจตัวใหม่ แต่พอเป็นผม เธอก็เลยไปคนเดียว ทิ้งผมไว้ทั้งวัน ผมปิดไฟแล้วแต่นอนไม่หลับ ผมคว้ามือถือมาเล่นเงียบๆ แง้มประตูห้องนอนไว้ เสียงฝนซาลงเรื่อยๆ
ฝนหยุดตกตอนเกือบห้าทุ่ม พอใกล้เที่ยงคืนผมได้ยินเสียงประตูเปิด นักเขียนใจร้ายกลับมาแล้ว ผมแอบไปดูที่ประตูห้องนอน ลาเพตัวแห้งสนิท แก้มแดงนิดหน่อย เธออาจดื่มไวน์ในห้องอาหารหรูหรา เธออาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฝนตก บ้าจริง ผมห่วงเธอทำไม แต่เห็นลาเพกลับมาแบบนี้ ผมก็โล่งใจจะได้เข้านอนเสียที ผมปิดประตูห้องนอน แต่ผมปิดแรงไปนิด ประตูส่งเสียงดังแก๊ก หวังว่าลาเพคงไม่ได้ยิน ผมไม่อยากให้เธอรู้ว่าผมแอบดูอยู่
***
เช้านี้ผมตื่นเช้ากว่าที่เคย เมื่อคืนผมนอนหลับสนิท ไม่ฝัน และไม่ได้ยินเสียงลาเพละเมอกรีดร้อง ผมจัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วใส่เสื้อสเวตเตอร์ ผมโทรให้พนักงานของโรงแรมมารับเสื้อโค้ตไปซัก หลังจากที่พนักงานรับเสื้อโค้ตไปแล้ว ผมปิดประตูห้องพัก หันไปเห็นรองเท้าของลาเพยังวางอยู่ในตู้รองเท้า ไม่มีโน้ตวางที่โต๊ะอาหาร เธอคงยังอยู่ในห้องนอน ผมนั่งเล่นมือถือรอฆ่าเวลา สักพักลาเพออกมาจากห้องนอน เธอแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ใส่เสื้อสีฟ้าอ่อน ลาเพบอกว่าเธอจะไปเดินแถวพลาซา ถ่ายรูป แล้วก็ไปซื้อของ ผมขอตามไปด้วย
เราสองคนออกจากโรงแรมข้ามถนนไปที่พลาซาคาตาลุนยา รถบัสชมเมืองจอดหลายคัน คนพลุกพล่าน ลาเพเดินค่อนข้างเร็ว บางขณะผมมองหาลาเพไม่เจอ ถ้าผมกับเธอพลัดหลงกัน ผมจะทำอย่างไร ติดต่อกันก็ไม่ได้ จะให้ผมไปที่สถานีตำรวจบอกว่าสาวเอเชีย รูปร่างสันทัด สูงประมาณหนึ่งร้อยหกสิบเซนหายไปอย่างนั้นเหรอ ผมไม่เอาด้วยหรอก ผมรีบเดินตามไป คว้าข้อมือลาเพไว้ หัวแม่มือของผมทาบอยู่บนจุดชีพจรของเธอ ลาเพหันมามองหน้าผม ผมสาบานได้ว่าชีพจรเธอเต้นเร็วขึ้นตอนที่ผมจ้องตาเธอ
ลาเพพยายามจะสะบัดข้อมือออก
“จับมือกันนี่แหละ จะได้ไม่หลง” ผมบอกพลางจับข้อมือเธอไว้
“ปล่อยฉัน ถ้าหากันไม่เจอ เธอก็กลับมาที่โรงแรมสิ”
“อย่าเลย เสียเวลา จับมือกันเดินนี่แหละดีแล้ว คืนก่อนผมทำน้ำหกใส่คุณ ตอนนี้ผมจะขอไถ่โทษด้วยการพาคุณเที่ยวไง น่า อากาศมันหนาว จับแบบนี้อุ่นดี”
ท่าทีของลาเพอ่อนลง ผมเลื่อนมือไปจับฝ่ามือเธอไว้ มือของเธอบางเหมือนกระดาษ
...ติดตามตอนต่อไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in