เพลงนี้เราได้ยินครั้งแรกในหนังเรื่อง Love, Simon ในตอนที่ Simon กำลังจะเฟ้นหาเพลงคริสต์มาสที่ดีที่สุดไปให้กับเพื่อนปริศนาทาง E-mail ของเขา ซึ่งก็เรียกได้ว่าสะกดเราไปชั่วขณะเลย อาจจะด้วย Mood&Tone ของฉากนั้นที่เข้ากับดนตรีและเสียงร้องที่สดใส แต่เมื่อกลับมาฟังและอ่านเนื้อเพลงนี้หลังจากดูหนังจบ ก็ถึงกับคิดในใจว่า “อีหยังว่ะ?” นี่มันเพลงเพื่อมวลมนุษยชาติชัดๆ 555555 แต่เราก็ยิ่งหลงรักเพลงนี้มากขึ้นไปอีก และในท่อนที่เราชอบที่สุดก็ถือเป็นที่มาของชื่อเพลย์ลิสต์นี้นี่เอง
“Playing with bombs like kids play with toys.”
แม้เพลงนี้จะเหมือนบ่นๆ บ่นไป บ่นมา แต่เราว่ามันสามารถเรียกความสดใสแบบแปลกๆ ได้ตั้งแต่ช่วง Intro แล้ว เป็นเพลงที่ฟังเพลินๆ จังหวะเมโลดี้โบราณๆ ที่รู้ตัวอีกทีก็โยกหัวตามจนคนข้างๆเริ่มมองแปลกๆ และเมื่อจบเพลง เราก็เริ่มบ่นงึมงำๆตามเจ๊แกว่า
“Merry Christmas, Merry Christmas But I think I'll miss this one this year.”
ยังคงวนเวียนอยู่กับเพลงเก่าๆ แต่ก็สามารถชวนให้ขยับเนื้อขยับตัวโยกย้ายไปตามจังหวะทรัมเป็ต และอดคิดไม่ได้ว่ากำลังสวมบทเป็นพ่อหนุ่มโรแมนติค แสนดี เจ้าเสน่ห์ กำลังยักคิ้วหลิ่วตาให้ผู้คนพร้อมกับพูดด้วยเสียงหล่อๆ ว่า
“Merry Christmas everyone !!”
แน่นอนว่า คริสต์มาสแล้วก็ต้องกลับบ้านสิ! แล้วจะพลาดเพลงที่เกี่ยวกับการกลับบ้านได้อย่างไร สำหรับเราแล้วเพลงนี้เป็นตัวแทนให้กับทุกคนที่กำลังรู้สึกรอคอยใครสักคนให้กลับบ้าน ด้วยอารมณ์ที่แบบว่า ฉันก็เศร้านะที่เอาแต่คิดถึงเธอโดยที่ก็ไม่รู้ว่าเธอจะกลับมาไหม แต่ฉันก็ยังมีความหวังอยู่นะ ถึงเนื้อเพลงจะแอบเศร้ายังไงก็ตาม ดนตรีก็ยังคงสดใสอยู่ และสาเหตุที่เลือกเวอร์ชั่นของ Olivia Holt มา นั่นก็เพราะอยากให้ความรู้สึกที่สมัยใหม่หน่อยๆ
“If there was a way. I’d hold back these tears. But it’s Christmas day.”
ไม่ต้องพูดอะไรมาก สำหรับเพลงนี้เวอร์ชั่นนี้ ซึ่งเรียกได้ว่าคลาสสิคตลอดกาล เปรียบเสมือนกฎธรรมชาติของเพลงคริสต์มาสเลยก็ว่าได้
“Last Christmas, I gave you my heart”
รอคอยเธออยู่นะ แต่ไม่เศร้าหรอก เพราะเหลืออีกแค่คืนเดียว หลับไปอีกแค่คืนเดียวเท่านั้น ฉันก็จะได้พบกับเธอ ถือว่าเป็นเพลงแห่งการรอคอยที่เหงาๆ แต่ก็ Feel Good มากๆ (ถ้าตื่นมาแล้วเจอเธออ่ะนะ ฮา)
“One more sleep until it’s Christmas.”
สะดุดใจกับชื่อเพลงมาก และเมื่อเจอเนื้อเพลงก็สะดุดใจยิ่งกว่า เพราะว่ามัน “ป่วนเหลือเกิน”
“Oh, what a laugh it would have been. If daddy had only seen.
Mommy kissing Santa Claus last night”
เริ่มสมัยใหม่ขึ้นมาหน่อย บอกก่อนเลยว่าเราเป็นคนที่หลงรักวง Fun มากๆ และเพลงนี้มันลงตัวมาก ด้วยเสียงของ Nate Ruess ให้ตายเถอะเราชอบเสียงของ Nate มากจริงๆ ดนตรีเอย ทำนองเอย เนื้อเพลงเอย การเล่นเสียงเอย ช่วงโซโล่เอย นี่สิคริสต์มาส!!!!!!
“We'll be singing the songs. We love to sing without a single stop,
At the fireplace while we watch The chestnuts pop.”
เมื่อมีเวอร์ชั่นคลาสสิคแล้ว แน่นอนว่าต้องมีเวอร์ชั่นสมัยใหม่เสียหน่อย ก็เลยขอหยิบของศิลปินขวัญใจเราเอง (ติ่งล้วนๆไม่มีอะไรผสม)
มันว้าวมาก!! ใครจะไปคิด Sia จะร้องเพลงคริสต์มาสได้แบบว่าเซอร์ไพรส์มากจริงๆ ทั้งทำนองและเนื้อเพลงค่อนข้างติดหู สำหรับเราแล้วเพลงเทศกาลที่ดีมันต้องมีท่อนที่สามารถทำให้คนฟังเกิดอาการ Earworm ได้ ซึ่ง Sia เองก็ทำได้ค่อนข้างดีทีเดียวทั้งในท่อนเนื้อร้อง และ ท่อนโบ๊ะบ๊ะ (หมายถึงท่อน โอ๊ะๆ อะๆ โวะโอะ ประมาณนี้ 5555) ซึ่งรู้สึกได้ว่านางแอบมีความล้อเลียนเสียงของ Santa เบาๆ สำหรับดนตรีและทำนองก็ช่างสดใส อมยิ้ม โยกหัว ขยับตัว ฮึมฮัม มาครบ ถือเป็นเพลงที่ประทับใจที่สุดในเพลย์ลิสต์นี้เลยก็ว่าได้ (นี่ไม่ได้อวยนะ และก็ไม่ได้ติ่งด้วย เชื่อหน่อย ไหว้ล่ะ)
“Santa's coming for us!! Santa's coming for us!!!! Santa's coming for us!!!!!!”
เข้าสู่ช่วงท้ายเสียแล้ว ซึ่งในฐานะที่นี่มันคริสต์มาส เราก็ต้องมีเพลงที่เกี่ยวกับเจ้าของวันสำคัญวันนี้เสียหน่อย และเพลงนี้ก็ตอบโจทย์เราที่สุด แถมค่อนข้างติดหูเลยทีเดียว
"Mary's boy child Jesus Christ, was born on Christmas Day"
เริ่มเบาลงอีก ดาวน์ลงมาอีก จังหวะ เนื้อเพลง ทำนอง ดนตรีของเพลงนี้ ชวนให้อยากโอบกอดตัวเองเสียจริง และมันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกแล้วว่าปาร์ตี้นี้ใกล้จะจบลงเสียแล้วสิ
"It'll be lonely this Christmas Lonely and cold"
เดินทางมาถึงเพลงสุดท้ายแล้ว กับวงที่เรารักที่สุด Coldplay นั่นเอง เพลงนี้เหมาะที่สุดสำหรับการปิดฉากเพราะมันอบอวลไปด้วยความคิดถึง การจากลา แต่ก็แฝงไปด้วยความอบอุ่น กำลังใจ การเดินหน้าต่อไป เสมือนกับค่ำคืนวันที่ 25 ที่ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยเช้าวันที่ 26 นั่นเอง
"Those Christmas lights keep shining on."
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in