30
ผมแกล้งทำเป็นลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว โดยเฉพาะการหาคำตอบว่าทำไมพี่อู๋ถึงหอมแก้มนายก้องเกียรตินั้นโคตรน่าปวดหัวเลย ผมเสียเวลาตั้งคำถามกับตัวเองเป็นวันๆ เสียสมาธิอ่านหนังสือทำโจทย์ตั้งเท่าไหร่ แถมปลายเดือนหน้าก็เข้าช่วงตะลุยสนามสอบแล้ว ผมไม่อยากให้เรื่องในคืนนั้นพังความสัมพันธ์ของเราจนผมกลายเป็นกอริลลาหน้าบูดอีก
แต่ไอ้พี่อู๋ – ไม่ปล่อยให้ผมอยู่อย่างสงบเลย
ถึงวันนี้ผมรู้แล้วว่าคืนก่อนไม่ใช่เพราะเมา พี่อู๋ทำมาตลอด เขาแอบทำตอนผมหลับลึกเพื่อไม่ให้กอริลลาแตกตื่น ผมรู้เรื่องนี้ในคืนที่ไม่ยอมกินยานอนหลับเพื่อจะสืบให้รู้ว่าเขาเป็นจอมฉวยโอกาสหรือไม่ ซึ่งพี่อู๋เป็นจริงๆ เขามันเสือมือไวในตำนาน บางคืนผมถึงกับต้องนอนเกร็งจนตะคริวแทบกินเพราะโดนพี่อู๋ลูบหัว บางคืนเขาก็นั่งบนพื้นข้างเตียง นั่งเงียบๆ หายใจเข้าออกเหมือนเป็นคนธรรมะธัมโมกำลังทำสมาธิ แต่พอแอบปรือตาก็จะเห็นเขาเท้าคางกับโต๊ะข้างเตียง จ้องมองนายก้องเกียรติและยิ้มเล็กๆเหมือนกำลังดูรายการลูกหมาในโทรทัศน์
ผมสงสัยจริงๆว่าเขาแอบทำแบบนี้มานานหรือยัง ทำตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไปทำไม ผมมีอะไรให้ต้องยุ่งต้องจับงั้นเหรอ หรือพี่อู๋แอบทำแบบนี้ตั้งแต่สมัยคบกับคุณหมูพี เพราะแบบนี้หรือเปล่าแฟนเก่าของเขาถึงเกลียดผมจนเอาแก้วกรีดด้วยความแค้น ไอ้บ้าพี่อู๋เอ๊ย – คนดีๆมีเป็นร้อยเป็นพันดันไม่ยุ่ง ทำไมต้องลดตัวมายุ่งกับกอริลลาจิตป่วยด้วย
“น้องก้องทำไมใจลอยจังเลยคะ? เครียดเรื่องเตรียมสอบเหรอ?”
พี่โรมถามระหว่างสอนนายก้องเกียรติเรียนเปียโนในบ่ายวันอาทิตย์ ผมบอกว่าเปล่าครับ แค่ง่วงอยากนอนเฉยๆไม่ได้เหม่ออะไร พี่โรมหรี่ตามองเหมือนไม่ค่อยอยากเชื่อ แต่สุดท้ายเขาก็ปล่อยผ่าน ไม่ซักไซ้เซ้าซี้เพื่อเอาคำตอบ กอริลลาก้องที่กำลังหมกมุ่นกับความสับสนพยายามโฟกัสบทเรียนให้มากขึ้นจนหมดชั่วโมง พอพี่โรมเตรียมตัวกลับ เขาก็ถามอีกว่าไม่เข้าใจบทเรียนตรงไหนบ้าง ผมตอบว่าเข้าใจครับ ผมเข้าใจสิ่งที่พี่สอนวันนี้ แต่ผมไม่เข้าใจเพื่อนพี่ พี่รู้ไหมว่าเขาหอมแก้มผมทำไม
“พี่โรมครับ” ผมตัดสินใจถามครูสอนเปียโน “พี่โรมเคยเจอเอมไหมครับ?”
“เคยสิ ทำไมเหรอ?”
“พี่อู๋เลี้ยงเอมแบบไหนครับ?”
“เลี้ยงแบบไหนคืออะไรอ่ะ? พี่ไม่เข้าใจ”
พี่โรมขมวดคิ้วงง เขาวางกระเป๋าหนังลงบนโต๊ะก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งเผชิญหน้ากับนายก้องเกียรติ
“เวลาอยู่กับเอม เขาแบบ – เลี้ยงเอมเหมือนน้องน้อยไหมครับ?”
“จะว่าเหมือนก็เหมือนนะ แต่น้องน้อยของก้องคือแบบไหนอ่ะ?”
“ก็แบบ – ลูบหัว” ผมยกตัวอย่าง พยายามเลี่ยงไม่ให้พี่โรมจับได้ว่าเพื่อนของเขาเคยทำแบบไหนกับผมบ้าง “หอมแก้ม นั่งมองเอม”
“โอ๊ย ไม่ขนาดนั้น” พี่โรมหัวเราะ “มันก็โอ๋เอมแหละ แต่โอ๋แบบตามใจมากกว่า ไม่ได้เลี้ยงเหมือนน้องจ๋าอย่างที่ก้องคิด”
“อ๋อ ครับ”
“ก้องถามทำไมเหรอ?”
“อ๋อ – ผมเห็นรูปเอมนั่งตักพี่อู๋ก็เลยสงสัยครับ”
“ไหน รูปไหน?”
ไอ้ชิบหาย –
“ผมเห็นที่บ้านที่นครครับ ก็เลยสงสัยเฉยๆ เห็นเขาดูสนิทกัน”
“สนิทแหละ เอมสนิทกับอู๋มาก”
“เขาไม่เคยหอมแก้มเอมจริงๆเหรอครับ?”
“หอมมั้ง พี่ก็ไม่แน่ใจอ่ะ เวลาอยู่กับเพื่อนๆเอมไม่ค่อยอ้อนอู๋ให้เห็นเท่าไหร่”
“แล้วกับคุณหมูพีล่ะครับ?”
“พี่ไม่เคยเจอหมูพีตัวเป็นๆอ่ะ ก้องน่าจะลองถามตั้มนะ ไอ้ตั้มมันรู้ มันเป็นพยานรักให้ไอ้อู๋กับเมียตั้งแต่คบใหม่ๆนู่น”
ผมได้แต่กรีดร้องในใจ ใครมันจะกล้าถามพี่ตั้ม ดังนั้นผมจึงตัดข้อสันนิษฐานที่ว่าพี่อู๋ทำกับผมเหมือนทำกับเอมทิ้งไป พี่โรมยืนยันเองว่าเขาไม่ใช่ประเภทรักน้องโอ๋น้องขนาดนั้น แสดงว่าที่หอมแก้มนายก้องเกียรติวันก่อนต้องไม่ใช่เพราะเห็นผมเป็นเอมแน่ๆ
น่าแปลกที่ช่วงย้ายมาอยู่กับพี่อู๋ใหม่ๆ ผมไม่พอใจทุกครั้งเมื่อคิดว่าผู้ปกครองเก็บผมมาเลี้ยงแทนที่น้องชาย แต่หลังจากคืนนั้นผมอยากให้พี่อู๋รักผมแบบเอม อยากให้เขาทำลงไปเพราะเคยชินกับการมีเอมมากกว่า ไม่ใช่ว่ารังเกียจเขา แต่ผมกลัววันหนึ่งทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม ผมกลัวว่าจะเสียพี่อู๋ไปเพราะเขาคือครอบครัวคนสุดท้าย ผมแค่อยากมีคุณอิศรินทร์อยู่ในชีวิตไปจนวันตาย ผมไม่อยากจากเขา ไม่อยากแยกกันเหมือนเขากับคุณหมูพี
ทันทีที่คุณครูสอนเปียโนกลับไป ผมก็นั่งทิ้งตัวบนโซฟาแบบเครียดๆ ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนที่กวนใจ แต่เรื่องพี่อู๋เข้ามามีบทด้วย ถ้าถามว่าผมอยากให้เรื่องของเราจบลงยังไง ผมคงตอบได้ว่าจบที่เราอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่ทะเลาะ ไม่แยกกัน ไม่รังเกียจกัน นั่นต่างหากคือสิ่งที่ผมอยากให้เป็น
นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสิบเก้านาที คุณอิศรินทร์กลับจากพานายไปทานข้าวกับลูกค้าที่พารากอน เขาเดินหน้ายิ้มๆเข้ามาจนผมรู้สึกไม่ดีที่พยายามผลักไสเขาให้กลับไปอยู่จุดเดิม พี่อู๋ถามผมว่าหิวไหม กินอะไรหรือยังด้วยความเป็นห่วงอย่างเช่นทุกที พอเห็นเขาดีกับผมขนาดนี้มันก็อดโกรธตัวเองไม่ได้
“พี่กินกับนายมาอิ่มแล้ว เดี๋ยวกินเป็นเพื่อนก้องอีกทีก็ได้”
พี่อู๋บอกอย่างอารมณ์ดี เขาเดินมานั่งข้างนายก้องเกียรติที่ทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้แล้วถามว่าเป็นอะไร อ่านหนังสือไม่ทันเหรอ หรือจะหยุดเรียนก่อนไหม ไว้สอบเสร็จเมื่อไหร่ค่อยตัดสินใจก็ได้ว่าจะเรียนต่อหรือเปล่า
“ผม – ผมแค่กลัวว่าจะสอบไม่ติด”
พี่อู๋บ่นว่าโอ๊ย ไม่ต้องคิดมาก เหลืออีกตั้งสองเดือนกว่าจะเริ่มเดินสายสอบ ก้องยังมีเวลาเหลือเฟือสำหรับอ่านหนังสือ ไม่เห็นต้องกังวลเลย
“เอ้อ – พี่ลืมบอกว่าปีนี้เราจะไม่กลับใต้กันนะ”
“ทำไมเหรอครับ?”
“แม่กับป๊าพี่ แล้วก็ครอบครัวไอ้สามเสือจะพาแนไปเที่ยวพม่าอ่ะ แต่เราก็ไม่ได้อยู่บ้านเฉยๆนะ พี่จะพาก้องไปเชียงใหม่”
“เชียงใหม่?” ผมตาลุกวาว เอาไว้ก่อนหัวข้อดราม่า ตอนนี้ขอโฟกัสกับทริปพากอริลลาเที่ยวดีกว่า “เราจะไปเชียงใหม่กันสองคนเหรอครับ?”
“เปล่า ลูกพี่ลูกน้องพี่ไปด้วย”
“เบียดกันไปในวีออสเหรอครับ?”
พี่อู๋ส่ายหน้าแล้วบอกว่าต่างคนต่างไป เราจะขับวีออสไปกันสองคน ส่วนพวกเขาขับยาริสของพี่จีน คุณอิศรินทร์ถามต่อว่าจำคนที่ชื่อเจมส์ได้ไหม พอผมบอกว่าจำไม่ได้ เขาก็นึกออกว่าปีก่อนที่บ้านแน น้องชายที่ชื่อเจมส์กับจีนไม่ได้อยู่ด้วย เจมส์ไปวิ่งรถที่กระบี่ ส่วนจีนติดสอบก็เลยกลับมาเยี่ยมบ้านไม่ได้
“จีนเป็นน้องของเจมส์ แก่กว่าก้องหนึ่งปี ตอนนี้เรียนวิศวะที่เกษตรกำแพงแสน อยากรู้อะไรเกี่ยวกับวิศวะก็ถามจีนนะ ไอ้จีนมันคุยเก่ง”
“ไม่ต้องถามสมาร์ทแล้วเหรอครับ?”
“สมาร์ทก็ถามได้ แต่ที่พี่ให้ก้องคุยกับจีนเพราะไอ้สมาร์ทมันเป็นประเภทหัวกะทิ มันเก่งตั้งแต่เกิด ส่วนจีนเป็นประเภทได้ดีเพราะขยัน พี่ว่ามันน่าจะเข้าใจก้องมากกว่าสมาร์ท”
ผมพยักหน้า ถึงว่าหลังๆพี่อู๋ไม่ค่อยให้ผมโทรคุยกับสมาร์ทเลย ไม่ใช่ว่าสมาร์ทไม่ดี แต่สมาร์ทคือยอดพีระมิดที่ไม่น่าจะเข้าใจว่าทำไมนายก้องเกียรติถึงเรียนไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ถ้าเป็นพี่จีนที่หัวสมองธรรมดาน่าจะคุยกับกอริลลาก้องได้ดีกว่าอย่างที่เขาว่า
“ตื่นเต้นไหมจะได้เที่ยวเชียงใหม่?”
ผมยิ้มกว้างแทนคำตอบ ทุกครั้งที่รู้ว่าจะได้เที่ยวต่างจังหวัด หัวใจของกอริลลามันก็เริงร่าจนลืมคิดเรื่องอื่นทุกทีเพราะตั้งแต่เกิดมา ผมแทบไม่เคยได้ไปไหนไกล วันๆเดินทางแค่ระหว่างโรงเรียนกับบ้าน มีออกไปเดินห้างกับเพื่อนบ้างนานๆที เหตุผลหลักคือเราไม่ค่อยมีเงิน แม่ก็ต้องทำงานสัปดาห์ละหกวัน ผมจึงไม่กล้าใช้เงินฟุ่มเฟือยหรือชวนแม่ไปไหน
นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มสามสิบหกนาที ผมนั่งทำโจทย์วิชาภาษาอังกฤษในห้องนั่งเล่นโดยมีพี่อู๋ทำงานอยู่ที่โต๊ะกินข้าว ในห้องไม่มีเสียงพูดคุยถามไถ่เหมือนก่อนหน้า มีเพียงเสียงพิมพ์คีย์บอร์ดดังต็อกแต็กกับเสียงพลิกหน้ากระดาษหนังสือจากนายก้องเกียรติเท่านั้น
นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มสี่สิบสองนาที พี่อู๋ปิดโน้ตบุ๊กและเตือนผมให้กินยานอนหลับเม็ดที่หนึ่ง ผมปิดหนังสือเรียนและแสร้งทำเป็นเดินเข้าห้องนอน แต่ผมไม่ได้กิน
นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าทุ่มห้าสิบนาที พี่อู๋เงยหน้าดูเวลาแล้วสั่งให้ผมกินยานอนหลับเม็ดที่สองเพราะกอริลลาก้องไม่มีวี่แววว่าจะหลับง่ายๆ ผมทำเหมือนเดิม เดินเข้าห้องไปขยำๆถุงยาให้พอเกิดเสียงแล้วเดินออกมาเล่นเปียโนข้างนอก ผมอวดเพลงใหม่ที่แอบซ้อมมาหลายวันให้เขาฟัง แค่เริ่มกดโน้ตไม่กี่ตัวคุณอิศรินทร์ก็ยิ้มกว้าง
涙の奥にゆらぐほほえみは
(รอยยิ้มที่สั่นไหวภายใต้น้ำตาของเธอ)
時の始めからの世界の約束
(คือคำสัญญาของโลกตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเวลา)
พี่อู๋ไม่เคยบอกว่าทำไมถึงชอบเพลง The Promise of The World แต่ผมแอบอ่านคำแปลในเน็ตมา ผมคิดว่าเอมน่าจะเคยเล่นเพลงนี้มาก่อน หรือไม่มันก็แค่เพลงความหมายดีๆที่ทำให้เขาคิดถึงน้องชายเท่านั้น
いまは一人でも明日は限りない
(ตอนนี้อยู่ตัวคนเดียว แต่วันพรุ่งนี้ยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด)
あなたが教えてくれた夜にひそむやさしさ
(เธอได้สอนให้ฉันได้รู้ถึงความอ่อนโยนที่แอบซ่อนในยามค่ำคืน)
พี่อู๋น้ำตาคลอเหมือนจะร้องไห้ เขาทำเป็นยกมือขึ้นมาเท้าคาง แต่ท่านั่งนั้นเหมือนแค่ต้องการปิดปากไม่ให้ผมเห็นว่ามันสั่นขนาดไหนมากกว่า
思い出のうちにあなたはいない
(เธอไม่ได้อยู่ในความทรงจำของฉัน)
せせらぎの歌にこの空の色に花の香りにいつまでも生きて
(แต่มีชีวิตอยู่ในบทเพลงของลำธาร ในสีของท้องฟ้าผืนนี้ และในกลิ่นหอมของดอกไม้ตลอดไป)
ตอนที่โน้ตตัวสุดท้ายจบลง ผมหันไปหาผู้ปกครองโดยไม่คาดหวังคำชมอะไร แต่พี่อู๋กลับยิ้มหน้าบานด้วยความภูมิใจ ไม่มีคำว่าเก่ง เก่งมาก เยี่ยมมากหลุดจากปากของเขานอกจากรอยยิ้ม คุณอิศรินทร์ยิ้มอย่างนั้นอยู่อีกหลายวินาทีก่อนจะพยักหน้าให้ผม
“ขอบใจนะก้อง” เขาบอก กอริลลาจิตป่วยหัวใจพองโตยิ่งกว่าครั้งไหนๆที่เคยได้รับคำชม “รู้ได้ไงว่าพี่ชอบเพลงนี้?”
“วันก่อนผมเปิดยูทูปเรียนภาษาอังกฤษ ในวิดีโอที่ถูกใจของพี่มีคลิปเพลงนี้เยอะมาก ผมก็เลยขอให้พี่โรมสอนให้” ผมอวดโน้ตเพลงให้ผู้ปกครองดู “เป็นของขวัญวันเกิดย้อนหลังอีกชิ้นนะครับ อาจจะช้าหน่อยเพราะตอนวันเกิดพี่ผมยังไม่ค่อยมั่นใจ ผมไม่กล้าเล่นเพราะกลัวมันออกมาไม่ดี”
พี่อู๋ยิ้มกว้างจนตาหยี สีหน้าของเขาดูภูมิใจ ดีใจ และมีความสุขยิ่งกว่าครั้งไหนๆที่ผมเคยเห็น เขาบอกขอบใจก่อนจะขอให้นายก้องเกียรติเล่นให้ฟังอีกรอบ คราวนี้เขาอยากอัดคลิปเก็บไว้ดูคนเดียว วันไหนเซ็งๆเศร้าๆ วิดีโอกอริลลาเล่นเปียโนน่าจะช่วยได้ ผมจึงเล่นเพลงนี้ซ้ำเป็นหนที่สองเพื่อให้พี่อู๋ได้บันทึกเป็นความทรงจำเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือ หลังเล่นจบเราก็เข้าห้องนอน ผมกระโดดขึ้นเตียง ดึงผ้านวมมาห่มและหาวโชว์ผู้ปกครองหนึ่งหน ส่วนพี่อู๋ยังมีเรื่องต้องทำ เขาก็เลยปลีกตัวไปนั่งทำงานข้างนอกจนถึงเที่ยงคืนจึงกลับเข้ามาในห้อง
ตอนนั้นผมยังไม่หลับ ประสาทสัมผัสยังคงรับรู้ว่าพี่อู๋เดินไปไหนและทำอะไรบ้าง เขาเดินไปแปรงฟันในห้องน้ำก่อนจะขึ้นมานั่งบนเตียงเพื่อเล่นโทรศัพท์อีกพักใหญ่ๆ ทีแรกผมคิดว่าคืนนี้คงจบลงโดยไม่มีอะไร แต่ผมคิดผิด เพราะก่อนล้มตัวลงนอน พี่อู๋โน้มตัวมาจูบหน้าผากผมเบาๆหนึ่งที หลังจากนั้นห้องก็เข้าสู่สภาวะปกติเหมือนเช่นทุกคืนคือพี่อู๋หลับสนิท ส่วนนายก้องเกียรติหัวใจเต้นตึกตักเพราะเขาทำแบบนั้นอีกแล้ว
☁
วันที่ยี่สิบห้าธันวาคม
พี่อู๋ไม่ได้พานายก้องเกียรติไปตักบาตรเหมือนปีก่อน ปีนี้เขามีงานและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ดังนั้นผมจึงฉลองวันเกิดของพระเยซูเพียงลำพังในห้อง วันนี้ผมอนุญาตให้ตัวเองพักผ่อนเต็มที่หนึ่งวัน ผมจัดห้อง แต่งต้นคริสต์มาส ทำงานบ้านจิปาถะอื่นๆที่สะสมมาตลอดทั้งสัปดาห์ ผมไม่คาดหวังว่าจะได้รับของขวัญหรือเซอร์ไพรส์เจ๋งๆจากผู้ปกครองเพราะรู้ว่าเขาเหนื่อย ถึงปากจะบอกว่า ไม่ ไม่หวัง ไม่ได้ตั้งตารออะไร แต่ลึกๆในใจผมหวังว่าพี่อู๋จะจำได้ หวังว่าเขาจะทำให้มันเป็นวันพิเศษกว่าวันอื่นๆ ซึ่งคุณอิศรินทร์ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง
นาฬิกาบอกเวลาว่าสามทุ่มสี่สิบหกนาที พี่อู๋เปิดประตูบ้านเข้ามาโดยถือของพะรุงพะรัง หนึ่งในนั้นมีเค้กปอนด์ใหญ่สำหรับนายก้องเกียรติ มันเป็นเค้กสั่งทำพิเศษเลียนแบบเค้กที่แฮกริดทำให้แฮร์รี่ พอตเตอร์ในภาคแรก ตอนเปิดกล่อง ผมร้องว้าวทันทีเพราะมันเหมือนมาก ครีมสีชมพูปาดแบบลวกๆขาดความประณีต ตัวอักษรสีเขียวเข้มบนหน้าเค้กก็เขียนด้วยลามือยึกยือเหมือนเด็กหัดเขียน เค้กกล่องนี้เหมือนเค้กของแฮร์รี่เปี๊ยบเลยครับ ผมบอกผู้ปกครอง พี่อู๋ยิ้มหวาน ดีใจที่นายก้องเกียรติจำได้ เขาปักเทียนสิบเก้าเล่มจนเต็มหน้าเค้กและจุดไฟ เราร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์กันสองคนในห้องมืดๆ พอเนื้อเพลงวรรคสุดท้ายจบลง ผมก็หลับตา อธิษฐานในใจว่าขอให้สอบเข้าได้แล้วเป่าเทียน
ตอนสี่ทุ่ม กอริลลาก้องกับคุณอิศรินทร์กินเค้กกันอย่างเอร็ดอร่อย ผมว่าเค้กกล่องนี้ต้องแพงมากแน่ๆเพราะรสสัมผัสแน่นมาก ช็อกโกแลตเข้มข้นสะใจ ส่วนครีมก็นุ่มละมุนลิ้น ไม่หวานแสบคอจนเกินไป หลังกินเสร็จพี่อู๋ก็ส่งกล่องของขวัญลายสนู้ปปี้ให้ แกะดูข้างในเป็นกระเป๋าเป้ใบใหญ่เหมาะสำหรับใส่หนังสือไปเรียน
“ขอบคุณครับ”
ผมกอดกระเป๋าพร้อมกับลูบๆคลำๆ เป้ใบนี้สวยและเท่มากเหมือนเป้ที่เด็กผู้ชายแถววรรณสรณ์ชอบใช้ พี่อู๋บอกว่าดีใจที่เห็นผมชอบ เขาคิดหนักมากว่าควรซื้ออะไรเพราะนายก้องเกียรติไม่แสดงออกว่าอยากได้ของชิ้นไหนเลย
“แค่ได้ฉลองกับพี่ ผมก็มีความสุขมากๆแล้ว”
ผมยิ้มจนแก้มแทบปริก่อนจะเปิดซิปเพื่อสำรวจกระเป๋าใบใหม่ ด้านในกว้างมาก น่าจะใส่หนังสือได้หลายเล่ม ผมพลิกไปพลิกมาโดยไม่รู้ตัวว่าพี่อู๋กำลังจ้องอยู่ พอสำรวจจนพอใจนั่นแหละถึงได้สังเกตเห็นสีหน้าที่มีแต่รอยยิ้มของผู้ปกครอง
และตอนนั้นผมถึงคิดได้ว่า –
ที่เป็นอยู่อย่างนี้มันดีมากแล้ว
ผมชอบเป็นฝ่ายถูกดูแล ชอบเป็นคนพิเศษที่ไม่เคยคลาดสายตาจากใคร ชอบเวลาที่ได้อยู่กับพี่อู๋เพราะเขาเติมเต็มส่วนที่ผมขาด พี่อู๋ดูแลผมดีมาก ดีมาก มากพอๆกับแม่ เขาใส่ใจวันพิเศษของผม เขาดูแลและมอบสิ่งดีๆให้กับผมเสมอ รวมถึงการหอมแก้มและจูบหน้าผากที่เขาแอบกระทำลับๆนั่นก็เหมือนกัน มันหมายความว่าเขามีความรู้สึกดีๆให้นายก้องเกียรติ ซึ่งหากคิดดูอีกทีแล้วมันไม่มีอะไรแย่เลย ไม่ซักนิด – ผมไม่ได้รังเกียจหรืออยากให้พี่อู๋เว้นระยะเพื่อความถูกต้อง
เพราะผมชอบที่เราเป็นแบบนี้
ในขณะที่เขามองหน้าและส่งยิ้มมาให้ ผมเองก็มีความสุขได้รับความรู้สึกดีๆจากเขาเหมือนกัน ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ผิด – ถ้ามันไม่ทำร้ายใคร –
ผม – ก็อยากจะมีความสุขกับคนที่ให้ความรักผมบ้างเหมือนกัน
☁
วันที่ยี่สิบเจ็ดธันวา กอริลลาก้องเดินทางไปฉลองวันสิ้นปีถึงเชียงใหม่
ผมคิดว่าระยะทางจากกรุงเทพไปนครศรีธรรมราชว่าโหดแล้ว แต่กรุงเทพเชียงใหม่ก็ยาวไกลไม่แพ้กัน ก้นของผมชาด้านจนไม่เหลือความรู้สึก ถ้าไม่ได้แวะปั๊มน้ำมันหรือจอดกินข้าว ผมคงกลายเป็นคนตายด้าน หยิกขาจนเลือดซิบก็ไม่รู้สึกอะไรแน่ๆ
ครั้งแรกที่ผมได้เจอกับครอบครัวพี่เจมส์คือตอนงานศพก๋ง ตอนนั้นเราไม่มีโอกาสคุยกันเพราะทุกคนมัวแต่ยุ่งกับพิธีการ ส่วนการพบกันครั้งที่สองคือตอนแวะกินข้าวที่จังหวัดกำแพงเพชร พวกเขามีกันสามคน พี่เจมส์ แฟนของพี่เจมส์ และพี่จีนผู้ซึ่งกลายมาเป็นเพื่อนของผมในภายหลัง ตอนกินข้าว ผมเกร็งแทบแย่เพราะไม่เคยเจอพี่เจมส์กับพี่จีนมาก่อน แต่คุยๆไปซักพักก็เริ่มหาหัวข้อที่สนใจร่วมกันได้ นั่นคือเรื่องเรียน
พี่จีนชอบเรียนหนังสือ
เขาหลงใหลการไขว่คว้าหาความรู้อย่างเหลือเชื่อ ซึ่งเวลาผมพูดหรือถามอะไร เขามักจะตอบได้เกือบทุกอย่าง พี่จีนอาจไม่ใช่คนหัวดีแต่เกิด หรือเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์เหมือนพวกสามเสือ แต่เขาคือต้นแบบของการพยายามจนสำเร็จด้วยตัวเอง ดังนั้นตอนคุยกับเขา ผมจึงไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นฐานต่ำสุดของพีระมิด ผมรู้สึกว่าเราเท่ากันจนสามารถเล่าความกากไม่เอาไหนของตัวเองให้เขาฟังได้
“คืองี้นะ วิศวะเนี่ย มันก็มีหลายสาย ตอนจะแอดก้องก็ต้องเลือกก่อนเลยว่าจบไปอยากทำงานอะไร ถ้ายังไม่รู้ก็เลือกที่ตัวเองถนัด ก้องชอบไฟฟ้า ชอบเคมี หรือชอบพวกคอมพิวเตอร์ ชอบทางไหนมากกว่ากันก็ลองตัดสินใจดู”
ผมนึกตามพี่จีนแต่ยังให้คำตอบอะไรไม่ได้ ที่แน่ๆตัดวิศวะเคมีไปได้เลยเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัด ถ้าให้เลือกในใจตอนนี้ผมเหลือสี่ช้อยส์ที่กำลังสนใจ หนึ่งเครื่องกล สองไฟฟ้า สามโยธา สี่ – อาจจะเป็นวัสดุ ไม่รู้สิ ผมยังไม่รู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่
ผมจึงขอให้พี่จีนแนะนำอุตสาหการที่กำลังเรียนอยู่ให้ฟัง เขาบอกว่าคร่าวๆเกี่ยวกับการควบคุมต้นทุนตั้งแต่เริ่มผลิตจนจบกระบวนการ สั้นๆคือมีไว้เพื่อซัพพอร์ตทุกแผนก ดูคอร์ส ดูต้นทุน ดูราคาที่โรงงานต้องจ่ายแล้วพยายามหาวิธีลดรายจ่ายนั้นเพื่อทำกำไร ผมเล่าให้พี่จีนฟังว่าเจ้านายของพี่อู๋ออกแบบเครื่องจักรได้ตั้งยี่สิบล้าน ถ้างานผลิตแนวนี้ต้องเรียนวิศวะอะไรดีครับ
“แมคคาทรอนิกส์เลยครบสุด เรียนทั้งไฟฟ้า เครื่องกล ทั้งคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่จบออกมาทำงานโรงงาน เขียนแบบเครื่องจักร คุมเครื่องจักร หรือพวกยานยนต์ก็มีนะ”
“พี่จีนครับ ผมขอถามอะไรตรงๆอย่างหนึ่งสิ” ผมเกริ่นเรื่องที่อยากคุยด้วย “วิศวะเงินเดือนเยอะไหมครับ?”
“เยอะ ถ้าอยู่ถูกที่ถูกทางอ่ะนะ บางบริษัทให้เงินเดือนสองหมื่นต้นๆก็จริงแต่ยังไม่รวมโอที ยังไม่รวมค่าทำงานในวันหยุดอีก ถ้าได้ภาษาอังกฤษหรือญี่ปุ่นด้วยนะ โอ้ย --” เขาถูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้แล้วยิ้มกว้าง “ร๊วย!”
ตาของนายก้องเกียรติกลายเป็นรูปตัวเอสเลย ผมแทบมองเห็นเงินปลิวลงมาจากฟ้าเมื่อพี่จีนบอกว่าวิศวะได้เงินเดือนดี แบบนี้ก็เข้าทางกอริลลาปากแห้ง ผมอยากได้งานดีๆเงินเยอะๆจะได้ใช้คืนพี่อู๋ไวๆ ผมโม้กับพี่จีนว่าถ้ามีเงินเดือนนะ ผมจะพาพี่อู๋ไปกินซูชิอิรัชชัยมาเสะเลย
“อิรัชชัยมาเสะอะไรวะ ไม่ใช่ฮาจิเมะเตะเหรอ?”
ผมไม่รู้เลยหันไปถามพี่อู๋ว่าซูชิแพงๆที่เราเคยดูในทีวีวันก่อนเรียกว่าอะไร คุณอิศรินทร์งงอยู่ครู่ใหญ่จนต้องอธิบายเพิ่มว่าซูชิแบบนั้นไง แบบที่เราเลือกไม่ได้ว่าจะกินอะไร ต้องให้เชฟจัดให้เท่านั้นอ่ะ
“โอมากาเสะรึเปล่า?”
“อันนั้นแหละ! ถ้าผมมีเงินนะ ผมจะพาพี่ไปกินโอมาโมเอะเอง!”
คุณอิศรินทร์ส่ายหน้าเอือมระอาแล้วไล่ผมกับพี่จีนให้รีบไปซื้อขนมที่เซเว่นเพราะต้องออกเดินทางต่อ หลังได้คุยกันซักพัก ผมกับพี่จีนกลายมาเป็นเพื่อนคู่ซี้เฉพาะกิจ อาจจะเพราะเราอายุไล่เลี่ยกันและสนใจอะไรเหมือนๆกันถึงคุยกันถูกคอ เราสนิทกันเร็วถึงขั้นที่พี่จีนชวนผมให้ดูแคสเกมในยูทูปด้วยกันที่โรงแรม เมื่อการเดินทางอันยาวนานสิ้นสุดลง ผมก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า กระโดดขึ้นเตียงเพื่อนอนดู HOME SWEET HOME ของช่องซียูเยสเทอร์เดย์ อย่าลืมเป็นร้อนใน พูดตรงๆว่าในบรรดาพวกเราไม่มีใครกล้าเล่นเกมนี้เลย ผมกับเขาจึงนั่งดูแคสเกมในยูทูปเพื่อสปอยล์ตัวเองก่อน ถึงเวลาเล่นจริงๆจะได้ไม่กรี๊ดคอแตกทุกห้านาทีจนพี่อู๋ต้องลุกขึ้นมาแจกมะเหงกคนละหนึ่งที
จากตอนแรกที่นอนดูกันแค่สองก็กลายเป็นสาม คุณอิศรินทร์ผู้เก่งกล้าทนสงสัยเสียงกรี๊ดไม่ไหวจึงมาร่วมดูกับเราด้วย สรุปคืนนั้นพี่จีนกลัวจนไม่กล้ากลับห้อง เราสามคนต้องนอนเบียดกันบนเตียงคิงไซส์จนแทบไม่มีที่ว่าง แน่นอนว่าคนที่นอนตรงกลางไม่ใช่ใครนอกจากนายก้องเกียรติ และนายก้องเกียรติที่นอนเบียดผู้ปกครองคนนี้นี่แหละที่โดนฉวยโอกาสด้วยกอดหลวมๆจากคุณอิศรินทร์ตลอดทั้งคืน
☁
วันที่ยี่สิบแปดธันวาคม พวกเราขับรถขึ้นดอยอินทนนท์เพื่อเลี่ยงรถติดช่วงปีใหม่
ผมแต่งตัวพร้อม เสื้อยืด เสื้อกันหนาว กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบและสะพายเป้ใบใหม่ที่เพิ่งได้เป็นของขวัญวันเกิด ส่วนพี่อู๋ก็แต่งตัวเหมือนๆกับผม เพิ่มเติมคือกล้องถ่ายรูปหนึ่งตัวเพื่อบันทึกภาพสวยๆตามประสานักท่องเที่ยว เราออกเดินทางแต่เช้าเพราะอยากเก็บแลนมาร์คให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผมอ่านแผนที่ของพี่อู๋ด้วยความตื่นเต้น วันนี้เราจะแวะกิ่วแม่ปานด้วย ผมไม่รู้ว่ากิ่วแม่ปานคืออะไร เดาเอาว่าคงเป็นที่เที่ยวสวยๆชิคๆมีของอร่อยๆขาย หลังจากนั้นก็ไปจุดสูงสุดบนดอยสุเทพ แวะน้ำตก แวะตลาดก่อนกลับเข้าเมืองเพราะทุกคนลงความเห็นตรงกันว่าไม่อยากพักบนดอย อยากกลับมานอนสบายๆที่โรงแรมมากกว่า
นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสิบห้านาที เราเดินทางถึงกิ่วแม่ปาน ไม่มีใครเตือนว่าอุณหภูมิจะต่ำจนเหลือเลขตัวเดียว นายก้องเกียรติก็เลยเดินตัวงอเป็นกุ้ง พยายามเก็บทุกส่วนของร่างกายให้อยู่ใต้เสื้อผ้า ส่วนวิวทิวทัศน์รอบข้างมีแต่ต้นไม้ ต้นไม้ และหมอก ผมยังไม่เห็นความสวยงามของที่นี่จนกระทั่งเริ่มออกเดินไปกับไกด์นำเที่ยว ตอนนั้นพระอาทิตย์กำลังขึ้นพอดี แสงสีส้มกระจายเป็นวงกว้างเต็มท้องฟ้าตัดกับทะเลหมอกสีขาวและเงาสีดำของต้นไม้ใหญ่ ตรงขอบฟ้าเป็นแสงสีส้มนวล ส่วนท้องฟ้าด้านบนเป็นสีฟ้าสดเหมือนสีของผ้าใบ
“สวยเนอะ”
พี่อู๋พึมพำ เขากดถ่ายรูปหลายแชะก่อนจะออกเดินตามไกด์ไปยังเส้นทางชมธรรมชาติ เดินไปได้ซักพักก็เจอน้ำตก เราหยุดถ่ายรูปตรงนี้ประมาณหนึ่งนาทีก่อนจะออกเดินต่อ ช่วงแรกของการเดินมีแต่ป่าเป็นส่วนใหญ่ มีต้นไม้ มีมอส มีเฟิร์น และพืชสีเขียวที่พบเห็นได้ทั่วไป ผมเดินข้างพี่อู๋ที่เริ่มหอบแฮ่กตามประสาคนไม่ค่อยออกกำลังกาย เขาบ่นอุบอิบว่าถ้ามาเพื่อดูต้นไม้แบบนี้ นอนดูในทีวีก็ได้ ไม่เห็นต้องถ่างตาตื่นแต่เช้าเพื่อเดินให้เหนื่อย
ทีแรกผมเห็นด้วยกับพี่อู๋ ถ้าเรามาเพื่อเดินกินลมชมวิวเล่นๆ ผมคิดว่าป่าไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไหร่ ผมไม่รู้ว่าอะไรดลใจพี่เจมส์ให้ขับรถมาถึงนี่เพื่อเจออากาศหนาวจนเกือบติดลบกับต้นไม้ ต้นไม้ และต้นไม้ แต่พอเดินไปซักพักจนพ้นป่า เราก็เจอกับทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา ภูเขาสีเขียวเข้ม และท้องฟ้าสีน้ำเงิน ทั้งสามสีตัดกันอย่างลงตัว
“ตรงนี้เป็นสันเขา เดินระวังกันด้วยนะครับ”
พี่ไกด์บอก พี่อู๋จึงเดินประกบหลังนายก้องเกียรติเพราะกลัวกอริลลาที่กำลังหนาวจนตัวงอเป็นกุ้งจะกลิ้งหล่นลงไป ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าทำไมใครต่อใครถึงมากิ่วแม่ปาน ทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้าสวยจนไม่อยากเชื่อว่ามีอยู่จริง สวยเหมือนสวรรค์ที่เคยจินตนาการ สวยเหมือนภาพถ่ายในเว็บขายรูปบนอินเทอร์เน็ต ผมไม่รู้จะบรรยายความสวยนี้ยังไง เอาเป็นว่ามันสวยเหมือนอยู่ในฝันเลย
“ดูทะเลหมอกสิก้อง”
พี่อู๋กดถ่ายรูปอีกแชะ
“มองไม่เห็นข้างล่างเลยเนอะ” ผมชวนผู้ปกครองคุย “พี่อู๋ดูสิครับ มันขยับเหมือนคลื่นด้วย”
ทุกคนตื่นเต้นกับความสวยของธรรมชาติ แต่สำหรับผม กิ่วแม่ปานสวยก็จริงแต่หนาวเกินไป ผมอยู่ไม่ได้ ผมไม่เคยเจออากาศหนาวขนาดนี้มาก่อน พี่อู๋เองก็ดูไม่สบายตัว เขาเต้นแร้งเต้นกาเพื่ออบอุ่นร่างกายแทบจะตลอดเวลา คนเดียวที่ดูแฮปปี้กับการเดินทางน่าจะเป็นภรรยาของพี่เจมส์ ผมเห็นเธอถ่ายรูปบ่อย ถ่ายคนเดียวไม่พอยังส่งกล้องให้พี่เจมส์ถ่ายรูปอีก เธอโพสต์ท่าเก่งเหมือนเป็นนางแบบมืออาชีพ เอี้ยวตัวมองกล้อง แกล้งหัวเราะจนตาหยี ยิ้มหวานแบบเผลอๆ สารพัดท่าสวยๆเท่าที่เธอจะคิดได้ ส่วนนายก้องเกียรติกับผู้ปกครองได้แต่รูปยิ้มแหย อากาศหนาวขนาดนี้ จะให้ผมโพสต์ท่าเอวเอสจิกกล้องแตกก็คงเป็นไปไม่ได้
เรายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆจนถึงจุดชมวิว คราวนี้พี่ไกด์ให้เราหยุดพักและถ่ายรูปเก็บภาพได้เต็มที่ พี่สะใภ้คนสวยจัดไปตามคำขอ เธอหมุนกระโปรง จับแก้ม ม้วนปลายผม ยิ้มหวาน มองล่าง มองหลุบ เธอโพสต์ทุกท่าจนพี่เจมส์บ่นรำคาญ ส่วนพี่จีนดูไม่ค่อยอินกับธรรมชาติเท่าไหร่ เขาเคี้ยวหมากฝรั่งหยับๆตลอดทางจนกระทั่งถึงจุดชมวิว พอพี่เจมส์ถามว่าถ่ายรูปกันไหม เขาก็บอกปัด ไม่สนใจ ไม่อยากทำอะไรนอกจากนอน ดังนั้นคนที่มีรูปถ่ายกลับบ้านจากทริปนี้จึงมีแค่พี่สะใภ้ นายก้องเกียรติ คุณอิศรินทร์ และพี่เจมส์เท่านั้น
ครอบครัวกอริลลาสองตัวผลัดกันถ่ายรูปอย่างสนุกสนาน หน้าเบลอบ้าง หลุดโฟกัสบ้างไม่ว่ากัน ผมกับพี่อู๋อยู่ในโลกของตัวเองไม่ได้สนใจใคร เราคุยกันสองคน คอยชี้นั่นชี้นี่ให้ดู อุ๊ย นั่นดอกไม้ นั่นต้นไม้ นั่นทะเลหมอก นั่นๆพระอาทิตย์ โน่นท้องฟ้า โน่น – โน่น – โน่น --
“โน่นแน่ะนกเขาคู จุ๊กจุ๊กกรู นกมันเฝ้าคูหาชู้มัน”
พี่อู๋ร้องเพลงหน้าตาเฉย ส่วนนายก้องเกียรติไม่รับมุกจึงกดชัตเตอร์ต่อ พอไม่มีคนร้องด้วย คุณอิศรินทร์ก็ดัดเสียงสอง ร้องเองเล่นเองหน้าตาเฉย
“แน่ะใคร”
“ไหนใคร”
“โน่นไง แฝงตัวร่มเงาไม้ใหญ่”
อืม – ถ้าสนุกก็ร้องต่อเลยครับ
“พี่เห็นมันเฝ้าหยอกเย้าต่อกัน”
“พี่ต้องเอาอย่างมัน”
“พี่จะเอาอย่างมัน”
ถ้าไม่ได้ยินท่อนก่อนหน้า ผมคงตีความไปในแง่ไม่ดีแน่ๆ
“ผมเกิดไม่ทันเพลงนี้อ่ะ”
“อุ๊ย ว้าย ดูซิคนตอแหล”
“ถึงจะเกิดไม่ทันแต่ผมรู้นะว่าเนื้อเพลงไม่มีท่อนนี้”
ผมมองคุณอิศรินทร์ยิ้มหยอกอย่างชอบใจ เราถ่ายรูปจนเบื่อถึงนั่งบนม้านั่ง พี่เจมส์ถูกพี่สะใภ้ใช้ให้เป็นตากล้องเหมือนในหนังอินเดีย วิ่งไปถ่ายกับอันนั้นที อันนี้ที พี่เจมส์ พี่เจมส์ ถ่ายเบลล์กับต้นหญ้าหน่อยสิ โถ่ เบลล์ จะไปถ่ายกับหญ้าทำไม แค่เขาบนหัวคนก็รู้ทั่วแล้วว่าเธอเป็นควาย
“คุยกับจีนเป็นไงบ้าง?”
“ก็ดีครับ ผมคิดไว้แล้วว่าจะยื่นสาขาไหน”
แล้วผมก็เล่าให้พี่อู๋ฟังถึงความสนใจของตัวเอง ตอนนี้มันยังไม่ค่อยแน่นอนเท่าไหร่ แต่ตั้งใจว่าจะเรียนแมคคาทรอนิกส์หรือไม่ก็เครื่องกลครับ ส่วนมหาลัยค่อยเลือกตอนรู้ผลคะแนน ถ้าออกมาดีอาจจะเลือกลาดกระบัง แต่ถ้าออกมาคาบลูกคาบดอก ผมคงต้องคิดอีกที
ผมบอกถึงความกังวลให้พี่อู๋ฟังด้วย ผมบอกเขาว่าเมื่อวานเปิดดูข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต มีคนบอกว่าแมคคาทรอนิกส์เป็นคณะที่เรียนเครื่องกล คอมพิวเตอร์ และไฟฟ้าแค่อย่างละนิดละหน่อย ไม่ได้รู้ลึกเท่าสาขาเฉพาะทาง ผมถามผู้ปกครองว่าควรเอายังไงดี มีคนบอกว่าเงินเดือนน้อย เริ่มต้นแค่หมื่นห้าเอง ผมกลัวว่าจะไม่พอกิน พี่อู๋ถามว่าพี่จีนแนะนำยังไง แมคคาทรอนิกส์ครับ ผมบอก พี่จีนแนะนำให้เรียนเเมคคาทรอนิกส์ ผมอยากรู้ว่าสมาร์ทจะแนะนำอะไร พี่ช่วยถามสมาร์ทให้หน่อยได้ไหมครับ พี่อู๋พยักหน้ารับทันที เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งไลน์หาสมาร์ท อาจจะรอคำตอบนานหน่อย ไอ้สมาร์ทติดพีเอสพีมากกว่าโทรศัพท์เสียอีก
พอหมดเรื่องเรียน ผมก็ไม่รู้จะคุยอะไรอีกจึงเงียบไปพักใหญ่ ปล่อยให้เสียงพี่เบลล์ด่าพี่เจมส์ลอยแว่วมาตามลม ปล่อยให้เสียงเพลงจากหูฟังของพี่จีนดังเข้ามาคั่นกลางบรรยากาศระหว่างเรา พี่อู๋คงเห็นว่าการอยู่เงียบๆมันอึดอัดแปลกๆจึงเริ่มชวนคุย แต่คุยได้ไม่กี่คำก็เงียบอีกเพราะผมมีเรื่องที่ยังติดค้างอยู่ในใจ
“ช่วงนี้พี่เป็นไงบ้างครับ?”
ผมถามผู้ปกครอง คุณอิศรินทร์ตอบแค่ว่าดี ดี มีงานทำก็ดีจะได้มีเงินซื้อของฟุ่มเฟือย แต่ทำงานกับชิราอิชิซังก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน บางทีพี่อู๋ก็ไม่รู้ว่านายของเขาพูดจริงหรือพูดเล่น ประชดหรือหยอก ถ้าแกอารมณ์ดี ออฟฟิศก็ดีกันถ้วนหน้า แต่ถ้าวันไหนอารมณ์เสียแต่เช้า วันนั้นพี่อู๋เหมือนตกนรก ต้องเป็นนางรองกระโถนฟังเขาบ่นเขาด่าเขาสบถทั้งวัน คนในออฟฟิศต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าดีจังที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น เพราะถ้าไม่เข้าใจก็ไม่รู้สึกเจ็บเวลาโดนด่า แต่คนรับผลกระทบตรงๆคือพี่อู๋ เขาฟังออกทุกคำ เขาแปลได้ทุกประโยค ทีนี้เวลาล่ามระหว่างนายกับวิศวะเขาต้องระวังเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน บางทีชิราอิชิซังด่าแรงเกินไป มึงโง่เหรอ มึงไม่ได้เรียนมาเหรอ เขาก็ต้องแปลใหม่ให้ซอฟต์กว่าเดิมเช่น นายถามว่ารู้เรื่อง NNN ไหม ไม่เข้าใจระบบ YYY เหรอ บางครั้งถ้ามันหยาบมาก พี่อู๋ก็ตัดทิ้ง ไม่แปล เพราะประสบการณ์สอนเขาว่าแปลทุกประโยคที่ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งก็สร้างความชิบหายให้องค์กรได้เหมือนกัน
“ทำงานหนักขนาดนี้ พี่ไม่หาแฟนซักคนล่ะครับ?”
ผมพูดแกมหยอก แต่พี่อู๋ไม่ยิ้มเลย เขาดูหนักใจและจ้องหน้าผมอยู่ครู่ใหญ่จนนายก้องเกียรติเริ่มใจไม่ดี
“วันก่อนพี่หอมแก้มผม”
“อ้าว ตื่นอยู่เหรอ?”
“ครับ” ผมตอบ บรรยากาศอึดอัดเริ่มโรยตัวรอบๆเราแล้ว “พี่ – พี่อู๋ทำแบบนั้นทำไม?”
คุณอิศรินทร์ไม่ให้คำตอบในทันที เขาดูหนักใจไม่ต่างจากกอริลลาที่เป็นฝ่ายโดนขโมยหอมแก้มเท่าไหร่ ผมเดาเอาว่าในหัวของเขาคงมีคำแก้ตัวมากมายเพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเราไม่ให้เปลี่ยนไป แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น พี่อู๋แค่เงียบครู่หนึ่งเพื่อรวบรวมความกล้าและบอกนายก้องเกียรติว่าเขารู้สึกยังไง
“พี่รู้ว่าพูดแบบนี้อาจจะทำให้ก้องกลัว”
ผมพยักหน้าบอกเขาเป็นเชิงว่าใช่ ผมกลัว การที่พี่บอกว่ารู้สึกยังไงกับกอริลลาทำให้ผมกลัวมากๆ พี่รู้ตัวไหมว่าพี่กำลังเอาความสัมพันธ์ดีๆของเราไปแขวนบนเส้นด้าย ถ้าพี่คิดเกินเลยกับผมเรื่องระหว่างเราอาจจบไม่สวย ซักวันหนึ่งพี่อาจไม่ชอบผม ผมอาจไม่ชอบพี่ แต่ถ้าพูดกันตามจริงแล้วผมไม่อยากตัดขาดจากพี่เลยเพราะพี่คือครอบครัว พี่คือคนสุดท้ายที่ผมอยากอยู่ด้วยจนวันตาย ผมเสียพี่ไม่ได้ พี่เข้าใจตรงนี้ไหมครับ
“ก้อง” พี่อู๋เรียกผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่ชอบก้อง ชอบมากจนไม่รู้จะทำยังไง”
นายก้องเกียรติช็อคน้ำลายฟูมปาก
“รู้แบบนี้ – ก้องรังเกียจพี่ไหม?”
เหมือนถูกทุบด้วยของแข็ง ถูกช็อตด้วยไฟฟ้า ถูกแช่แข็งในอุณหภูมิติดลบจนไม่สามารถให้คำตอบอะไรกับคุณอิศรินทร์ได้ ผมมองหน้าพี่อู๋ มองสีหน้าที่มีแต่ความกลัวและกังวลของเขาด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเรากลัวการล้ำเส้นมากแค่ไหน ไม่ใช่ผมคนเดียวที่กลัว พี่อู๋เองก็กลัวเหมือนกัน
“แต่อยู่แบบนี้ก็ดีแล้วเนอะ” ผู้ปกครองยิ้มเจื่อนเมื่อนายก้องเกียรติไม่ให้คำตอบ ไม่ส่งสัญญาณว่าดีใจ เสียใจ หรือรังเกียจแต่อย่างใด “ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ ทำเป็นว่าพี่ไม่เคยพูด --”
“พี่รู้ไหม ผมมีความสุขมากเลยนะที่ได้อยู่กับพี่” นายก้องเกียรติโพล่งออกไป คุณอิศรินทร์ที่กำลังหน้าเสียค่อยๆหันกลับมามองอย่างมีความหวัง “จริงๆผมก็รักพี่มากเหมือนกัน”
“แต่มันไม่ใช่แบบที่พี่รักก้องใช่ไหม?”
“ผมคิดว่าพี่อาจจะรักผมเหมือนเอม” พี่อู๋ส่ายหน้าเพื่อบอกว่ามันไม่ใช่ “พี่อาจจะสับสนเพราะผมเข้ามาตอนที่พี่เสียเอมไป”
“พี่ไม่ได้รักก้องแบบเอม ถ้าพี่เห็นก้องเป็นน้องเป็นนุ่ง ก้องจะอยู่ในจินตนาการของพี่ได้ไง”
“จินตนาการอะไรครับ?”
พี่อู๋อึกอักก่อนจะบอกว่าจินตนาการถึงอนาคตของเรา เขารู้ว่าความสัมพันธ์ของเรามันยากเพราะผมเป็นผู้ชาย ผมไม่ใช่เกย์ ผมไม่เคยมองพี่อู๋ในแง่ชู้สาว ทำให้หลายๆครั้งเขาถอดใจยอมแพ้ แต่พอผมอยู่ใกล้ๆก็รู้สึกแย่เพราะพี่อู๋ชอบผมมากจริงๆ ชอบจนไม่อยากเสียนายก้องเกียรติให้ใคร ไหนๆเราก็พูดเรื่องนี้แล้ว มาทำให้มันจบกันเถอะ ไม่ว่าผมตอบยังไง พี่อู๋ก็จะดูแลส่งเสียผมเหมือนเดิม
ผมควรดีใจที่ได้ยินแบบนั้น แต่ยิ่งพี่อู๋ดีกับผมเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่ ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดของตอนนี้คือการไม่ปฏิเสธความรู้สึกดีๆที่ผู้ปกครองหยิบยื่นให้ ผมบอกพี่อู๋ว่าผมรักพี่นะ ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับพี่จริงๆ แต่ผมมองพี่เป็นคนในครอบครัว ผมกลัวว่าถ้าเราข้ามเส้น วันหนึ่งเราจะเลิกกันเหมือนที่พี่เลิกกับคุณหมูพี ซึ่ง – ผมไม่อยากให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ผมเสียแม่ไปแล้ว จะให้เสียพี่อีกคนไม่ได้ พี่รู้ใช่ไหมว่าผมไม่อยากโตคนเดียว ผมอยากมีพี่อยู่ด้วยทุกช่วงเวลาในชีวิต ทั้งตอนมอบตัวเข้ามหาวิทยาลัย ตอนรับปริญญา ตอนแต่งงาน ตอนมีลูก หรือแม้แต่ตอนเจ็บป่วย ผมก็อยากมีพี่อยู่ข้างๆ อยากช่วยกันดูแลแบบนี้ตลอดไป
พี่อู๋เข้าใจสิ่งที่ผมพยายามจะสื่อ เขารู้ว่าการเริ่มคบกับใครซักคนเป็นเรื่องยาก และมันยากยิ่งกว่าสองเท่าหากคนคนั้นเป็นเกย์ เขารู้ว่าผมเป็นเด็กดี รู้ว่าผมคิดยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ เอาเป็นว่ามันไม่ใช่ความผิดก้องหรอก พี่ผิดเองแหละที่ไม่ระวัง ถ้าก้องไม่ตื่น เราก็คงไม่ต้องอึดอัดแบบนี้
“แล้วพี่จะทำยังไงต่อไปครับ?”
“ก็อยู่เหมือนเดิมนี่แหละ”
“แต่ผมอยู่ไม่ได้ มันมาไกลเกินไปแล้ว”
“ก้องอยากให้พี่ทำยังไงล่ะ?”
“พี่อยากให้มันเป็นแบบไหนล่ะครับ?”
ผมถามย้อนเพราะตัวเองก็ให้คำตอบไม่ได้ ผมจะให้คำตอบยังไงในเมื่อผมชอบพี่อู๋นะ ผมไม่ได้รังเกียจเขา ผมรักเขาเหมือนคนในครอบครัว แต่ถามว่าจะให้ความสัมพันธ์ของเราดำเนินต่อไปในแบบพี่น้องก็คงไม่ใช่ พี่อู๋หอมแก้มผม กอดผม ทำเหมือนผมเป็นคุณหมูพีซึ่งไม่มีพี่น้องบ้านไหนทำกัน เขาต้องทำให้มันเคลียร์ ส่วนเคลียร์แบบไหน ก็ให้พี่อู๋ตัดสินใจดีกว่า
“พี่อยากเป็นแฟนก้อง”
อมก
“แต่พี่รู้ว่าก้องกลัว”
“ผมกลัว แต่ผมก็ไม่ได้รังเกียจตอนพี่หอมแก้มนะ” ผมบอกความจริงเพื่อให้พี่อู๋สบายใจ “พี่ – แอบทำแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว”
“ไม่ได้จะโกหกว่าไม่เคยนะ แต่มันหลายคืนมาก”
อมก x 2
“พี่แอบทำอย่างอื่นที่ผมไม่รู้อีกไหม?”
“ก็ – พี่เคยหอมก้องตรงนี้” เขายื่นนิ้วมาจิ้มแก้มผม “ตรงนี้ --” จิ้มหน้าผาก “ตรงนี้ด้วย” เลื่อนมาจิ้มคอ “มือพี่ก็เคยหอม”
“โรคจิตนะพี่อ่ะ”
“โรคจิตยังไงวะ?”
“แอบทำตอนผมหลับไง”
พี่อู๋หัวเราะชอบใจ เขาคงมองเป็นเรื่องน่ารักกุ๊กกิ๊ก แต่สำหรับนายก้องเกียรติ มันน่ากลัวมากนะที่ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเคยโดนขโมยหอมไปกี่ครั้งและตรงไหนบ้าง ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อที่พร้อมโดนฉวยโอกาสตลอดเวลา และมันไม่ใช่สิ่งที่ผมมองหาในความสัมพันธ์
“หอมตอนตื่นพี่ก็โดนตีนสิ”
ผมไม่ปฏิเสธเพราะพี่อู๋จะโดนมากกว่าตีนอีกถ้าเขาล่วงเกินผมโดยไม่สมัครใจ ผมบอกพี่อู๋ว่าเรื่องถูกเนื้อต้องตัวของเวลาอีกนิดได้ไหม ผมดีใจนะที่พี่รู้สึกดีๆกับลิงอย่างผม แต่อย่างน้อยขอให้มันค่อยเป็นค่อยไปเถอะ ผมกลัวพี่หยุดตัวเองไม่ได้แล้วมันจะเลยเถิด
“เข้าใจแล้ว พี่ขอโทษนะที่เคยแอบหอมแก้มก้อง ต่อไปนี้พี่จะขออนุญาตก่อน”
“แต่ผมจะอนุญาตไหมก็อีกเรื่องนะ”
ผมขู่ แต่พี่อู๋คงไม่เห็นสีหน้าเอาจริงเอาจังของกอริลลาก้องเท่าไหร่ พอไม่รู้จะคุยอะไรเราก็กลับมาเงียบใส่กันเหมือนเดิม สรุปที่พูดไปทั้งหมดก็ยังไม่ชัดเจน เคลียร์อยู่เรื่องเดียวคือห้ามแอบลักหลับนายก้องเกียรติ ส่วนความสัมพันธ์จะเป็นยังไง พี่อู๋ยังไม่พูด
“แล้วเราจะอยู่กันแบบนี้จริงๆเหรอ?”
คุณอิศรินทร์เป็นฝ่ายถาม เขาคงรู้สึกเหมือนกันว่ามันยังไม่เคลียร์
“เอาเป็นว่าผมรักพี่ พี่ชอบผม เราต่างรู้สึกดีๆให้กัน”
“ตกลงก้องรังเกียจพี่ไหม?”
“ผมไม่ได้รังเกียจพี่”
“งั้น – ถ้าพี่ขอจีบก้องให้เป็นเรื่องเป็นราว ก้องจะว่ายังไง?”
ผมเหวอเมื่อได้ยินคำว่าจีบ จีบ? จีบเนี่ยนะ จีบไอ้กอริลลาเนี่ยนะ ถามจริงเถอะพี่อู๋ ผมมีอะไรที่พี่สนใจเหรอ หน้าตาก็บ้านๆ ตัวมอมแมม หนวดขึ้นไม่เป็นทรง เรียนก็งั้นๆ กากๆเกินๆ เทียบคุณหมูพีแฟนเก่าของพี่ไม่ได้ซักนิด
“พี่ชอบที่ก้องจิตใจดี”
แหม เหมือนนิยายเลย
“ชอบที่เราอยู่ด้วยกันตลอดแต่ไม่ค่อยทะเลากัน”
“พี่ลืมไปแล้วเหรอว่าตอนเรียนพิเศษใหม่ๆ พี่ด่าจนผมร้องไห้ในรถ”
“ก็นานๆทีไง”
พี่อู๋ยิ้มแฉ่ง ครับ นานๆที แต่ทะเลาะกันทีก็บ้านแตก ขึ้นมึงขึ้นกู ไล่ออกจากบ้าน ด่าสารพัด มีการบอกว่ามึงตาย มึงตายแน่ ด้วยนะ
“แล้วพี่จะจีบผมยังไง?”
“บอกไปก็รู้ไต๋หมดดิ ของแบบนี้เขาไม่บอกกัน”
“ผมจีบยากนะ ผมไม่เคยมีแฟน ผมไม่เคยชอบใคร”
“เดี๋ยวก็รู้เองแหละ”
“สรุป – เราจะอยู่กันมึนๆต่อไปใช่ไหมครับ?” ผมถามผู้ปกครอง พี่อู๋พยักหน้าเป็นคำตอบ เขาบอกว่าผมน่ะ อยู่แบบมึนๆ ส่วนเขาชัดเจนแล้วว่าจะทำยังไงต่อ
“จีบไม่ติดก็เป็นพี่น้อง แต่ถ้าก้องชอบพี่เมื่อไหร่ เราเป็นแฟนกันนะ”
ผมปั้นสีหน้าไม่ถูก จึงได้แต่บอกว่าครับๆ เอาที่พี่สบายใจเนอะ งั้นตกลงว่าความสัมพันธ์ของเราเป็นความสัมพันธ์ที่ยังไม่ใช่แฟน แต่ก็จะไม่หยุดแค่ผู้ปกครองกับเด็กในการดูแล ผมเข้าใจถูกไหม พี่อู๋ยิ้มกว้างและบอกว่าใช่ มันจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ เขาจะทำให้ผมรักเขาหัวปักหัวปำเลยคอยดู
TBC
__________________________
#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in