29
ที่ปรึกษาเรื่องการเรียนของผมไม่ใช่สมาร์ท แต่เป็นรุ่นพี่คณะวิทยาศาสตร์ที่เป็นน้องสาวของเพื่อนของพี่อู๋ ผู้ปกครองของผมแนะนำพี่ฝ้ายให้รู้จักหลังหยุดเรียนพิเศษได้แค่วันเดียว เขาพาผมไปเจอพี่ฝ้ายที่สตาร์บัคส์ในพารากอน หลังซื้อชาเขียวและเค้กให้เราสองคน คุณอิศรินทร์ก็ปลีกตัวไปนั่งอีกโต๊ะกับพี่นุ่นซึ่งเป็นพี่สาวของพี่ฝ้าย ปล่อยให้ผมมีโอกาสปรึกษาปัญหาชีวิตกับผู้เชี่ยวชาญด้านเคมี
“เรียนไม่รู้เรื่องเหรอ? ก็เปลี่ยนติวเตอร์สิ” พี่ฝ้ายยิ้มสดใส “คือเราต้องยอมรับก่อนนะว่าก้องไม่ได้เรียนกับเขาตั้งแต่เริ่ม ทีนี้เทคนิคการสอน การทำโจทย์ก็อาจจะไม่เหมาะกับคนเพิ่งลงเรียนคอร์สแรกอย่างก้องไง วิธีแก้คือไม่ต้องเรียน หาคนสอนใหม่”
“แต่พี่อู๋จ่ายเงินให้ผมเรียนไปแล้ว ผมเสียดายตัง”
“การเรียนพิเศษก็เหมือนการลงทุนอ่ะ มันมีความเสี่ยงทั้งนั้น ถ้าเรียนแล้วไม่เข้าใจ รู้สึกว่าไม่ใช่ ก็แค่หาติวเตอร์คนใหม่ เดี๋ยวนี้ติวเตอร์เคมีเยอะแยะ จะเรียนกับพี่ก็ได้นะ” เธอหัวเราะเขินๆ “แต่ถ้าเสียดายเงินก็ลองขอย้ายคอร์สไปเรียนตอนเปิดเทอม บอกเขาว่าก้องมีปัญหาเรื่องสุขภาพทำให้เรียนไม่ไหว พี่ว่าเจ้าหน้าที่ก็คงไม่ว่าอะไร เขาไม่ได้งกขนาดนั้น”
“เรียนตอนเปิดเทอมมันจะต่างจากตอนนี้ยังไงเหรอครับ?”
พี่ฝ้ายทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะอธิบายว่า อย่างน้อยถ้าย้ายไปเรียนตอนเปิดเทอม ผมจะมีเวลาเว้นว่างให้ได้อ่านและทบทวนอยู่หลายวันก่อนเรียนเทปถัดไป เช่นวันไหนอาจารย์ให้การบ้านห้าสิบข้อ ผมยังพอมีเวลาทยอยทำวันละยี่สิบ สามสิบข้อได้ ไม่ต้องอัดบู้มรวดเดียวเหมือนคอร์สซัมเมอร์ ซึ่งคอร์สพวกนี้มันออกแบบมาเพื่อยัดเนื้อหาให้ครบอยู่แล้ว ไม่แปลกที่เขาจะสอนเร็วเพราะเวลามันจำกัดมาก เด็กส่วนใหญ่มาเรียนเพื่อเอาโจทย์เอาเทคนิค แต่คนที่ไม่เข้าใจเลยมันก็มีนะ มีเยอะด้วย ก้องไม่ต้องเครียดหรอก ก้องอาจจะแค่ซวยที่ได้นั่งข้างเด็กเก่ง แต่ไอ้เรื่องเด็กเก่งเนี่ยพี่อยากให้ทำใจไว้เลยเพราะยังไงมันต้องมีคนเก่งกว่าเราอยู่แล้ว ถ้าเราไม่ได้อยากเรียนคณะเดียวกับเด็กพวกนี้ก็ไม่เห็นต้องซีเรียส ยังไงเส้นทางมันต่างกัน เราจะเหมารวมเอาทุกคนว่าเป็นคู่แข่งไม่ได้ ประสาทตายพอดี
โอเค – ผมคิดในใจว่าโอเค เดี๋ยวคุยกับพี่ฝ้ายเสร็จผมจะไปตึกวรรณสรณ์เพื่อขอเปลี่ยนคอร์สดูเพราะยังไงการฝืนดันทุรังเรียนก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดีอยู่แล้ว ไหนๆก็ขาดไปตั้งหลายครั้ง ผมควรหยุดตามคำแนะนำของพี่ฝ้ายแล้วค่อยเริ่มใหม่ตอนเปิดเทอม
“ส่วนคณิตกับฟิสิกส์ ถ้ามันไม่ได้หนักอะไรมากจะเรียนต่อก็ได้นะ” พี่ฝ้ายแนะนำต่อ “แต่ก้องถนัดคำนวณใช่ไหม? พี่ว่าคนเก่งวิชาพวกนี้ได้เปรียบมากเลย ไม่เห็นต้องเครียด แค่เคมีตัวเดียวไม่น่ากลัวหรอก”
“แต่ผมไม่ได้ลงเรียนชีวะ”
“อ่านเองก็ได้ อ่านทุกวันๆมันจะซึมเข้าหัวเอง เดี๋ยวกินขนมเสร็จไปร้านหนังสือกับพี่สิ พี่จะแนะนำให้ว่าเล่มไหนเขียนดี เขียนละเอียด เล่มไหนเข้าใจง่าย”
ผมรีบดูดชาเขียวจนหมดแล้วขออนุญาตพี่อู๋ไปซื้อหนังสือกับพี่ฝ้าย เขาไม่ว่าอะไรแถมยังให้เงินอีกสองพันเป็นค่าหนังสืออีก วันนั้นผมได้หนังสือเรียนเพิ่มอีกสามเล่ม เป็นชีวะหนึ่งเล่ม รวมโจทย์คณิตอีกหนึ่งเล่ม และภาษาอังกฤษหนึ่งเล่ม พอซื้อเสร็จผมก็ยกมือไหว้ขอบคุณพี่นุ่นกับพี่ฝ้ายที่เสียเวลามาแนะนำการเรียน ก่อนแยกย้าย พี่อู๋บอกว่าพี่ฝ้ายเป็นติวเตอร์มาตั้งแต่ปีหนึ่ง ถ้าผมไม่ไหวกับเคมีก็รีบบอก เขาจะจ้างพี่ฝ้ายให้มาสอนเอง
“ผมขอลองดูก่อนได้ไหมครับ เผื่อหลังเลื่อนคอร์สแล้วผมจะเรียนรู้เรื่องขึ้น”
พี่อู๋ตอบว่าได้ เขาไม่ว่าอะไรก่อนจะพานายก้องเกียรติไปพญาไทเพื่อย้ายคอร์สเรียน เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยเราก็กลับลาดพร้าว ผมหยิบโจทย์เลขขึ้นมาทำทันทีเมื่อมีเวลา ผมชอบนั่งทำหน้าทีวีจนพี่อู๋ไล่ให้ไปอ่านหนังสือในห้องจะได้มีสมาธิ แต่ผมบอกเขาว่าไม่เป็นไรหรอก ทำเล่นๆขำๆ ดูทีวีไปทำไปก็สนุกดี
ดังนั้นผมกับพี่อู๋จึงได้ใช้เวลาร่วมกันในบ่ายวันเสาร์ เขานอนดูเน็ตฟลิกซ์บนโซฟา ส่วนนายก้องเกียรตินั่งบนพื้น คิดโจทย์เลขไปเรื่อยๆจนถึงหกโมงเย็น พอเริ่มหิว พี่อู๋ก็สั่งไลน์แมนให้ซื้อก๋วยเตี๋ยวมาส่ง เรานั่งกินด้วยกันหน้าทีวีจนถึงหนึ่งทุ่ม ผมปลีกตัวเข้าไปอ่านชีวะในห้องอีกสองชั่วโมงจึงเรียกพี่อู๋ให้เขานอน
“พี่ได้งานหรือยังครับ?”
ผมถามระหว่างใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมให้หมาด พี่อู๋ตอบว่าได้แล้ว เขาเพิ่งคอนเฟิร์มตอนกอริลลาก้องไปซื้อหนังสือนี่เอง ที่ทำงานใหม่อยู่แถวอโศก เขายังไม่รู้เลยว่าควรนั่งรถไฟฟ้าหรือซิ่งวีออสไป แต่ดูจากสภาพการจราจรช่วงนี้แล้ว ควรลาออก
หลังรอพี่อู๋อาบน้ำเสร็จ ผมก็ปิดไฟเตรียมกระโดดขึ้นเตียงนอน วันที่หนึ่งของการปรับแผนการเรียนใหม่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี สำหรับผม วันดีๆไม่ใช่วันที่มีโอกาสออกไปกินของอร่อยๆหรือเดินช็อปปิ้งสบายอกสบายใจในห้าง แต่มันคือวันที่เราสองคนไม่ต้องทะเลาะกัน วันที่พี่อู๋พูดดีกับผม และปฏิบัติต่อผมเหมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวที่ไม่ถูกละเลยต่างหาก
☁
กอริลลาก้องแข็งแรง คุณอิศรินทร์ก็มีความสุข
ตั้งแต่ย้ายคอร์สเรียน ผมกับพี่อู๋ไม่ทะเลาะกันอีกเลย ทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติที่ผู้ปกครองจะออกไปทำงานตั้งแต่หกโมงครึ่ง ส่วนนายก้องเกียรติไปเรียนคณิตศาสตร์ตอนสิบโมง ถึงจะไม่หน้ามืดจนเป็นลมเหมือนเดือนก่อนแต่อาการวูบตัวชายังคงมีเป็นระยะๆ บางทีแค่เอนหลังพิงเก้าอี้แรงเกินไปก็โหวงถึงไส้ หมอบอกว่าต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอเพื่อฟื้นฟูร่างกายกว่าจะกลับมาเป็นปกติ เพราะฉะนั้นอย่าดื้อ ไม่งั้นผมต้องเวียนหัวตลอดไปแน่ๆ
นอกจากสุขภาพแล้ว ความสัมพันธ์ของเราสองคน – ก็ยังคงเหมือนเดิม พี่อู๋ยังคงใส่ใจและดูแลผมอย่างดี ถึงงานจะหนักจนกลับดึกสี่ห้าทุ่มทุกวัน แต่พี่อู๋ไม่เคยละเลยหรือเลี้ยงผมแบบทิ้งๆขว้างๆซักครั้ง เวลากลับถึงห้องเหนื่อยๆ ประโยคแรกที่เขาถามคือหิวไหม กินอะไรหรือยัง รอนานไหม วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง พี่อู๋คอยถามและให้ความสำคัญกับนายก้องเกียรติเสมอไม่เคยเปลี่ยน และผมก็จะตอบแทนความรักความเป็นห่วงของเขาด้วยการอุ่นกับข้าวให้ บางวันก็นั่งทำงานเป็นเพื่อนจนถึงตีสองตีสามเพราะบริษัทญี่ปุ่นให้งานพี่อู๋หนักเหมือนเคย มันหนักจนผมอดคิดไม่ได้ว่าเงินเดือนเฉียดแสนมันคุ้มค่าไหมกับการอดหลับอดนอนและต้องสแตนบายเพื่อนายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบนี้
ดังนั้นคืนไหนผมอ่านหนังสือเสร็จแต่พี่อู๋ยังนั่งทำงานหน้าโน้ตบุ๊กอยู่ ผมจะบีบเท้าให้ บางวันก็บีบขา บางวันก็นวดหลัง ผมช่วยพี่อู๋ผ่อนคลายด้วยทักษะการนวดนาทีละสิบห้าบาท – ล้อเล่น นวดฟรี ไม่คิดเงิน ซึ่งคุณอิศรินทร์ชอบมากเวลาผมเอาใจด้วยการนวดและหาของว่างให้กิน เขาชอบถึงขนาดให้ทิปผมหนึ่งร้อยบาทเป็นค่าขนมเลย
วันเวลาผ่านไปจนจบคอร์สซัมเมอร์ แผนการเรียนของนายก้องเกียรติเหลือแค่เคมีกับแบ่งเวลาอ่านหนังสือตามตารางที่พี่ฝ้ายแนะนำเท่านั้น วันไหนมีเรียนผมก็จะกลับมาทบทวนที่บ้านตลอด ทำโจทย์ผิดบ้าง ถูกบ้างก็ช่างมันเพราะเคมีเป็นวิชาที่ต่อให้พยายามแค่ไหนก็ทำไม่ได้ ผมไม่ถนัดเคมี ผมยอมรับ ดังนั้นผมจึงบ้าทำโจทย์คณิตกับฟิสิกส์มากๆเพื่อนำคะแนนไปเกลี่ยเคมีที่ไม่ค่อยรุ่งแทน
ในหนึ่งวันผมอ่านหนังสือประมาณหกชั่วโมง ไม่ได้อ่านติดกันรวดเดียวแต่จะหยุดพักทุกๆชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ คณิตศาสตร์คือของหวานสำหรับนายก้องเกียรติ มันไม่ได้ง่ายถึงขนาดทำถูกทุกข้อแต่อยู่กับมันแล้วมีความสุขมากกว่าวิชาอื่น เดี๋ยวนี้ผมสามารถทำโจทย์เลขกับฟิสิกส์ได้วันละหกสิบข้อ วิชาท่องจำอย่างชีวะก็อ่านเรื่อยๆแบบท่องซ้ำเป็นนกแก้วนกขุนทองจนกว่าจะจำได้ ส่วนภาษาอังกฤษยังคงล้มลุกคลุกคลาน ผมทำได้เกินห้าสิบเปอร์เซ็นแต่ก็ไม่เก่งพอจะถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นเหมือนพี่อู๋เสียที
ผมใช้ชีวิตแบบนี้อยู่จนถึงเดือนพฤศจิกายน เหลืออีกไม่กี่เดือนผมต้องเริ่มทยอยสมัครสอบแล้ว พอเวลาขยับเข้ามากระชั้นชิดมากขึ้น ความกังวลก็เพิ่มขึ้นไม่รู้ตัว จากที่เคยคิดว่าน่าจะทำได้ก็เริ่มแพนิคจนนอนไม่หลับและกินอะไรไม่ค่อยลง ผมดูเซื่องซึมจนพี่อู๋ต้องให้กำลังใจด้วยการบอกว่าตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาผมทำเต็มที่แล้ว ผมขยันและเขาเองก็รับรู้ หลังจากนี้ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง คะแนนจะได้เท่าเศษเล็บขบหรือเยอะจนดาวน์รถได้ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต เพราะไม่ว่าจะสอบได้ที่ไหน พี่อู๋รับประกันว่าเขาจะส่งผมเรียนจนจบแน่นอน
คนรอบตัวมองว่าเวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ผมควรจะมีคณะในดวงใจเสียที แต่เปล่าเลย นายก้องเกียรติยังคงลังเลและไม่มั่นใจว่าตัวเองอยากเรียนอะไร ผมตัดคณะที่เกี่ยวกับศิลปะออก สถาปัตย์ จิตรกรรม ศิลปกรรม และคณะที่ต้องใช้ฝีมือในการออกแบบสร้างสรรค์ ตัดทิ้งไปให้หมดเพราะผมไม่มีพรสวรรค์ด้านนั้น นอกจากนี้ยังตัดเภสัช ตัดวิทยาศาสตร์ ตัดรัฐศาสตร์กับกฎหมายเพราะผมไม่สนใจ ตัดๆๆๆ ตัดไปหลายคณะแต่ก็ยังเหลือในตัวเลือกอีกเยอะ ผมยังไม่ได้คิดว่าจะเรียนอะไร แต่ตั้งใจไว้ว่าคะแนนออกเมื่อไหร่ค่อยให้พี่อู๋ช่วยเลือกก็แล้วกัน
แกร๊ก!
เสียงประตูห้องเปิดขึ้น นายก้องเกียรติที่กำลังนั่งทำโจทย์เลขอยู่บนโต๊ะรีบเงยหน้ามอง พี่อู๋ส่งยิ้มแหยแปลกๆเหมือนทำอะไรผิดมา ผมยกมือไหว้ทักทายผู้ปกครองก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนเมื่อวันนี้เขาพาคนแปลกหน้ากลับบ้านด้วย
“ก้อง นี่เจ้านายพี่ ชื่อชิราอิชิซัง ชิราอิชิซัง โคะเระวะ โบขุ โนะ โคไฮ เดส”
(白石さんこれはぼくのこうはいです。)
(คุณชิราอิชิครับ นี่รุ่นน้องผมเองครับ)
“อ้า – ฮาจิเมะมะชิเตะ ชิราอิชิ เดส โยโรชิขุเนะ”
(あーはじめまして。白石です。よろしくね。)
(ยินดีที่ได้รู้จักนะ ผมชื่อชิราอิชิ ขอฝากตัวด้วย)
เจ้านายของเขาโค้งนิดๆเป็นเชิงทักทาย ส่วนนายก้องเกียรติโค้งจนหัวแทบทิ่มเพราะไม่เคยเจอคนญี่ปุ่นตัวเป็นๆมาก่อน ผมถามผู้ปกครองว่าทำไมซูชิซังถึงมาบ้านของเราได้ เขาบอกว่านายทำกุญแจหาย
“เขาไม่มีกุญแจสำรองเหรอครับ?”
“หายหมดทั้งสามชุด”
ผมเหวอ กุญแจหายก็เดาได้ว่าคืนนี้คุณซูชิน่าจะต้องค้างที่ลาดพร้าวแน่ๆ ผมทำตัวไม่ถูกเลยเมื่อชายวัยสี่สิบกลางๆเดินไปนั่งบนโซฟา เขาปลดเน็กไทออกและเก็บใส่กระเป๋าหนังก่อนจะหันมาคุยกับพี่อู๋
“ก้อง ทำกับข้าวให้พวกพี่กินหน่อยสิ ตั้งแต่เลิกงานยังไม่ได้กินอะไรเลย”
ผมตอบครับๆและถามเจ้านายของผู้ปกครองว่าอยากกินอะไร เขาบอกว่าอยากกินแกงเขียวหวาน อู๋จังทำให้กินได้ไหม จ่ายเงินเท่าไหร่ก็ได้ ผมน่ะอยากกินแกงเขียวหวานที่สุดเลย นายก้องเกียรติที่กลายเป็นพ่อครัวจำเป็นต้องเดินไปเซเว่นเพื่อซื้อเครื่องแกงเขียวหวานและกะทิสำเร็จรูป โชคดีที่ในตู้เย็นยังมีวิญญาณหมูเหลืออยู่บ้างก็เลยทำแกงเขียวหวานหม้อเล็กๆให้นายของเขาได้ ชิราอิชิซังตักเขียวหวานเข้าปากคำแรกก็เอาแต่ชมว่าโออิชี่ๆๆๆ ก้องจังเก่งนะเนี่ย ทำกับข้าวอร่อย อู๋จังโชคดีจริงๆได้กินแกงเขียวหวานทุกวันเลย ผมได้แต่คิดในใจ มันเก่งตรงไหนวะ ก็แค่เทกะทิ เทผงปรุงรสและใส่หมู แค่เนี๊ยะ แทบไม่ต้องแสดงฝีมือเลยด้วยซ้ำ
“ใครมันจะกินแกงเขียวหวานทุกวันวะ”
พี่อู๋บ่นเป็นภาษาไทย ผมถามผู้ปกครองว่าพูดแบบนี้ไม่กลัวโดนไล่ออกเหรอแต่คุณอิศรินทร์ก็บอกให้สบายใจว่าไม่ต้องห่วง ชิราอิชิซังฟังภาษาไทยแทบไม่เข้าใจ พูดเก่งอยู่คำเดียวคืออะไรก็ได้
“อารายก้อด้าย ไทยจินว่ะ อารายก้อด้าย”
ผมหัวเราะตามมารยาทและเก็บจานชามไปล้างเมื่อพวกเขาทานเสร็จ เจ้านายของพี่อู๋ถามว่าที่นี่สูบบุหรี่ได้ไหม พอรู้ว่าไม่ได้ แกก็หยิบคีย์การ์ดและบ่นงึมงำๆลงไปสูบข้างล่างแทน
“นายจะมาอยู่กับเรากี่วันเหรอครับ?”
“คืนเดียวพอ พรุ่งนี้พี่ไล่เอง”
“พี่กล้าไล่นายเหรอ? เขาให้เงินเดือนพี่นะ”
“นายคนนี้ไม่ประสาทแดกเท่าไหร่ พูดด้วยเหตุผลก็รู้เรื่อง” เขาบอก “แต่โคตรเซ็งว่ะ นายมาค้างด้วยแบบนี้ต้องทำงานต่อแน่ๆ”
ผมฟังแล้วสงสารพี่อู๋ เลิกงานมาเหนื่อยๆแต่กลับต้องทำหน้าที่เป็นนางสนองพระโอษฐ์ต่อเพราะนายมาค้างด้วย นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มสามสิบหกนาที ชิราอิชิซังกลับห้องโดยมีเบียร์ติดมือมาด้วยหลายกระป๋อง แกวางเครื่องดื่มผู้ใหญ่ลงบนโต๊ะกินข้าวก่อนจะถามผมว่าฮาวโอลอาร์ยู พอผมตอบเอ้ดทีน เขาก็พูดต่อว่าดริ้งๆ ดริ้งทูเกเตอร์
พี่อู๋ที่ไม่รู้มาจากไหนรีบเดินเข้ามากลางวง เขาคุยกับนายว่า โนเมมาเซน โนเมมาเซน อยู่สองหนจนยามาโมะโตะซังขมวดคิ้ว
“โดชิเตะ”
(どうして。)
(ทำไมวะ?)
“โคโดโมะดะคะระ”
(子供だから。)
(เพราะ(ก้อง)ยังเด็กอยู่)
“โคโดโมะจะเน่”
(子供じゃね!)
(ไม่เด็กแล้วโว้ย!)
“อิเอะๆๆๆ ดาเมะเดสุ เซ็ทไต ดาเมะ”
(いえ。いえ。だめです。ぜったいだめ。)
(ไม่ได้ครับ ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด)
ผมงง ไม่เข้าใจว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไร แต่สรุปได้ว่านายก้องเกียรติอดชิมเบียร์จิบแรกเพราะพี่อู๋ไม่อนุญาต ดังนั้นผมจึงได้แต่นั่งกินเลย์รสซาวด์ครีมกับน้ำแอปเปิ้ลโซดาระหว่างฟังบทสนทนาของพวกเขา จนถึงตอนนี้ผมยังไม่ได้ยินนายเรียกพี่อู๋ว่าอิศรินทร์ซังเลย ผมได้ยินแค่ อู๋จัง อู๋จัง อู๋จัง บางครั้งก็ก้องจัง ฟังดูแล้วน่าจะพาดพิงผมเยอะพอสมควร
“ทำไมเป็นอู๋จังล่ะครับ? ทำไมไม่อู๋ซัง อู๋คุง อู๋ซามะ?”
“แกกวนเฉยๆ อู๋ซามะนั่นแปลว่าท่านอู๋ ไม่มีนายคนไหนเรียกพนักงานว่าท่านหรอก ยกเว้นหาเรื่องกวนตีน” ผู้ปกครองของผมหัวเราะและซดเบียร์กับเจ้านายอีกหลายอึก
“พี่แปลบ้างสิครับ ผมอยากรู้ว่านายคุยเรื่องอะไร”
“นายถามถึงก้องเฉยๆ อายุเท่าไหร่ เรียนที่ไหน เป็นอะไรกับพี่”
“พี่บอกเขาว่าเราเป็นอะไรกันครับ?”
“รุ่นน้อง”
“อ๋อ --”
ผมขานรับ แต่แอบรู้สึกพิลึกชะมัดที่เรามักจะบอกใครต่อใครว่าเป็นรุ่นน้องตลอด พี่อู๋กินเบียร์กับนายหมดไปหลายกระป๋องจึงขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ทิ้งนายก้องเกียรตินั่งเกร็งกับคุณลุงชิราอิชิเพียงลำพังในห้องนั่งเล่น ผมคิดว่าถ้านั่งเฉยๆไม่ทำตัวเฟรนด์ลี่ เจ้านายของเขาก็คงไม่ชวนคุย แต่ที่ไหนได้ พี่อู๋หันหลังแค่แป๊ปเดียว ชิราอิชิซังชวนผมคุยเหมือนผมจบศิลป์ญี่ปุ่น
“ฟูตาริเดะ ซุนเดะอิรุ?”
(2人で住んでいる。)
(อยู่กันสองคนเหรอ?)
มาแล้ว ฟูตาริ ความหมายเดียวกับโมริ โคโกโร่หรือเปล่าวะ
พอกอริลลาก้องทำหน้างง ชิราอิชิซังก็ชูสองนิ้ว ชี้มาที่ผมและชี้ไปที่ห้องน้ำเป็นเชิงถามว่ามีแค่นายก้องเกียรติกับนายอู๋เหรอ ผมตอบเยส ทูพีเพิ่ล ลิฟอินดีสรูม
“อู๋จังวะ กาลุฟุเรนโดะกะอิรุ?”
(ウーちゃんはガールフレンドがいる。)
(อู๋มีแฟนไหม?)
การุฟุเรนโดะ ผมทวนย้ำในใจ
การุฟุเรนโดะ การุฟุเรนโดะ –
อะไรวะ การุฟุเรนโดะ
อ๋อ! Girlfriend?!
“เกิวเฟน?”
“อื้อๆๆ การุฟุเรนโดะ”
(うん。ガールフレンド)
(ใช่ๆ แฟน)
“อ๋อ โนครับ ไม่มี”
“ม่ายมี่?”
ชิราอิชิซังถามย้ำ สีหน้าแกดูตกใจมากราวกับไม่เชื่อว่าพี่อู๋ไม่มีแฟน
“ครับ โนๆ พี่อู๋ด้อนแฮฟเกิวเฟรน”
แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยมีบอยเฟรนน้า –
ไม่เอา ไม่บอกดีกว่า
“อ๋า ซันเน็นนา ฮันซามุนาโนนิ”
(ざんねんな。ハンサムなのに。)
(น่าเสียดายเนอะ ออกจะหล่อแท้ๆ)
แกบ่นงึมงำๆแล้วเงียบไป ผมคิดว่าชิราอิชิซังน่าจะหมดเรื่องสงสัยแต่เปล่าเลย นี่คือจุดเริ่มต้นของการคุยข้ามภาษา เจ้านายของคุณอิศรินทร์เป็นคนช่างพูดอย่างน่าเหลือเชื่อ เขาเองก็รู้ว่าผมไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นแต่ยังจะพ่นมันออกมาอยู่นั่นแหละ แรกๆก็อวดว่าตัวเองอายุสี่สิบเจ็ดแล้วนะ หน้าดูไม่แก่เลยใช่ไหมล่ะ ถึงจะหัวล้าน (แกชี้ไปที่หัวของแกเองนะ ผมเปล่า) แต่ยังไม่แก่ขนาดนั้น คุยเรื่องผมบนหัวเสร็จก็เปลี่ยนเรื่องพูดเป็นชื่อจังหวัดขึ้นมาหน้าตาเฉย ชงบุริ ไกมาก ไกมากๆ แต่บังโคคุสุโก้ย พอบทสนทนาเริ่มกาว นายก้องเกียรติก็ต้องงัดเอาภาษาอังกฤษมาคุย ไม่งั้นคงได้แต่นั่งยิ้มแหย ตอบแค่เยส เยส เยส เยส โอเค โอเค โดยไม่เข้าใจอะไรแน่ๆ
โชคดีที่พี่อู๋เดินหน้าแดงออกมาจากห้องน้ำเสียก่อน ไม่งั้นนายก้องเกียรติคงต้องนั่งเป็นผู้ให้สัมภาษณ์กับคุณชิราอิชิอีกนานแน่ๆ พอเลขาคนเก่งเดินออกมา เจ้านายก็หันไปคุยกับเขาแล้วบอกว่าเคลียร์โต๊ะให้หน่อย ผมอยากได้พื้นที่ไว้ทำงานซักชั่วโมงสองชั่วโมง
“ตีห้าแน่กู”
พี่อู๋คร่ำครวญเป็นภาษาไทยเพื่อบอกให้นายก้องเกียรติรู้ ผมถามเขาว่าพี่เลี่ยงไม่ได้เหรอ ปฏิเสธคุณชิราอิชิไม่ได้เหรอว่าพี่อยากพัก พี่อู๋ผู้เก่งกาจของผมได้แต่ส่ายหน้า เขาบอกคนเป็นนายทำงานหามรุ่งหามค่ำ เลขาจะนอนกินแรงเอาเปรียบเขาได้ยังไง – อันที่จริงก็ได้แหละถ้านายไม่อยู่ แต่นายมันนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ เลขาอย่างเขาก็คงเลี่ยงไม่ได้ ต้องจำใจทำไปก่อน
ผมจึงไม่ว่าอะไรเพราะคิดว่าไหนๆพรุ่งนี้ก็วันเสาร์ ถ้าต้องทำงานจนถึงเช้าจริงๆก็ยังมีเวลาให้นอนวันถัดไป พอเคลียร์โต๊ะกินข้าวจนสะอาดเรียบร้อย คุณชิราอิชิก็หยิบกระดาษแผ่นใหญ่ออกมาจากกระเป๋า ผมแอบมองด้านหลังเห็นเป็นแปลนอะไรซักอย่างที่ดูไม่ออก ในแปลนมีรอยปากกาแดงขีดฆ่าเต็มไปหมด ผมถามผู้ปกครองว่าแปลนบ้านเหรอ พี่อู๋บอกว่าไม่ใช่ นั่นแปลนเครื่องจักรที่วิศวะออกแบบพลาด นายเขากำลังเม้งแตกจะแดกหัววิศวะแล้ว
“เฮ้อ”
คุณชิราอิชิถอนหายใจเหมือนท้อแท้ เขาเปิดเบียร์อีกหนึ่งกระป๋องแล้วบ่นงึมงำๆให้พี่อู๋ฟัง ผมเดาเอาว่าเขาคงด่าวิศวะหรือไม่ก็ด่าขิงด่าข่าด่าลมฟ้าอากาศไปเรื่อย แต่พอเห็นพี่อู๋หัวเราะ ผมก็เลยถามเขาว่ามีเรื่องอะไรน่าตลกเหรอ ทำไมไม่แปลให้ผมขำด้วย ขายขำให้ผมฟังบ้างสิ
“นายบอกว่ากูอยากเกิดเป็นหมาว่ะอู๋จัง”
ผมหัวเราะออกเสียง มีคนอยากเกิดเป็นหมาเหมือนผมด้วยอ่ะ
“นายบ่นอีกว่าทำไมกูต้องมาทำงานหนัก”
“ผมคิดว่าคนญี่ปุ่นชอบทำงานซะอีก”
“ไม่ทุกคนหรอก คนเพี้ยนแบบนายพี่ก็มี”
ผมนั่งดูชิราอิชิซังชี้กระดาษแปลนเครื่องจักรพร้อมกับบ่นไฟแล่บ พี่อู๋เอาแต่พูดโซเดสเน โซเดสเนและหัวเราะร่วน พอเห็นผมนั่งมองว่าพวกเขาทำอะไร ชิราอิชิซังก็กวักมือเรียกให้เข้าไปใกล้ๆเพื่อดูแปลนเครื่องจักรที่ผิดพลาด
“อันนี้คือชิ้นส่วนหนึ่งของเครื่อง แต่ละเครื่องก็มีหลายพาร์ท แต่ละพาร์ทก็มีส่วนประกอบยิบย่อยเป็นชิ้นๆอีก” พี่อู๋ล่ามให้ผมฟัง “เครื่องนี้เป็นเครื่องเป่าลมชิ้นส่วน”
“ทำไมต้องเป่าครับ?”
“เอาเศษผงที่ติดตามชิ้นส่วนออกก่อนเอาไปชุบน้ำมัน”
“แล้วทำไมต้องชุบน้ำมันอ่ะครับ?”
“กันสนิม”
พี่อู๋บอก พอได้ยินคำว่าสนิม ชิราอิชิซังก็หันมา สะหนิ้ม สะหนิ้ม แล้วหยิบโทรศัพท์มาเปิดรูปชิ้นส่วนที่มีสนิมเกาะให้กอริลลาก้องดู
“สนิมวะ ดาเมะ NG มายด้ายๆ”
(サ二ムはだめ。)
(ให้มีสนิมไม่ได้)
“งานที่มีสนิมเป็นงาน NG แบบนี้ใช้ไม่ได้”
“NG แปลว่าอะไรครับ?”
“NG มาจาก No Good อย่าไปพูดกับฝรั่งล่ะ ศัพท์นี้ญี่ปุ่นสร้างเองใช้เองแต่คุยกับต่างชาติไม่รู้เรื่อง เคยมีฝรั่งงงแดกทั้งห้องประชุมมาแล้ว”
พอเห็นผมสนอกสนใจอยากรู้ว่างานของเขาต้องทำอะไรบ้าง ชิราอิชิซังก็เปิดคลิปที่อัดไว้ในโทรศัพท์ให้ดู มันเป็นคลิปเครื่องจักรขนาดใหญ่ในโรงงานที่กำลังหยิบชิ้นส่วนต่างๆวางบนสายพานก่อนนำไปชุบเคลือบอะไรบางอย่าง ชิราอิชิซังอวดใหญ่เลยว่าเครื่องจักรชุดนี้เขาเป็นออกแบบเองนะ ราคาตั้งสามสิบล้าน แถมได้กำไรด้วย ได้ยินแบบนั้นผมถึงกับตาลุกวาว ไม่ใช่เพราะตื่นเต้นกับจำนวนเงินมหาศาลก้อนนั้น แต่ผมสนใจว่าทำไมเขาถึงสร้างเครื่องจักรได้หลายอย่างมากกว่า
“ชิราอิชิซังจบคณะอะไรครับ?”
“วิศวะ” พี่อู๋ตอบแทน
“แล้ว – ชิราอิชิซังทำอะไรได้บ้างครับ?”
พี่อู๋ถามคุณชิราอิชิให้ แกยิ้มกว้างภูมิใจบอกว่าทำได้ทุกอย่าง วิศวะน่ะ ออกแบบเครื่องบินก็ได้ สร้างหุ่นยนต์ก็ได้ ออกแบบเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ไฮเทคกว่าปัจจุบันก็ได้ แต่ส่วนตัวแกถนัดออกแบบเครื่องจักรให้ได้ตามความต้องการของลูกค้ามากกว่า งานพวกนี้กำลังเป็นที่ต้องการเพราะโรงงานอยากลดต้นทุนแรงงาน ใช้เครื่องจักรโอกาสผิดพลาดน้อย ทำเวลาได้เร็วกว่า แถมไม่ประท้วงหยุดงานด้วย
“ยิ่งเครื่องไหนลูกค้าอยากได้ลูกเล่นเยอะๆ เราก็คิดเงินเยอะๆ”
พี่อู๋แปลเมื่อคุณชิราอิชิอธิบายการออกแบบคร่าวๆให้ฟัง ตอนนี้แกไม่ใช่คุณลุงวัยสี่สิบเจ็ดที่บ่นว่าอยากเกิดเป็นหมาแล้ว แกดูเหมือนวิศวกรตัวพ่อที่มีความรู้ความสามารถจนเก็บออร่าเอาไว้ไม่อยู่ นานเกือบชั่วโมงที่ผมมีโอกาสนั่งดูแปลนเครื่องจักรและดูคลิปที่คุณชิราอิชิถ่ายเก็บไว้ในโทรศัพท์ พี่อู๋บอกว่าจริงๆแล้วแปลนพวกนี้ให้คนนอกดูไม่ได้นะ แต่แกคงอยากขิงให้เด็กมันรู้ถึงได้ชวนนายก้องเกียรติคุยเป็นวรรคเป็นเวร
“เป็นไง? ชอบไหม?”
ผมตอบแค่ว่าก็ดีครับก่อนจะปลีกตัวเข้าห้องเพราะเที่ยงคืนครึ่งแล้ว ผมถามพี่อู๋ว่าพี่ต้องคอยทำงานอยู่กับนายจริงๆเหรอ เขาบอกว่าน่าจะแบบนั้นแหละ ก้องนอนก่อนเลย พรุ่งนี้พี่จะหาทางกำจัดนายออกจากบ้านเอง
ผมหัวเราะขำและขอตัวไปนอน ตอนนี้ในหัวของนายก้องเกียรติไม่ได้มีแค่ข้อสอบที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้ ผมกำลังคิดถึงเงินก้อนกับงานออกแบบเจ๋งๆของคุณชิราอิชิ เขาเป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้เด็กอย่างผม โตขึ้น – ผมอยากจะออกแบบอะไรซักอย่างที่เจ๋งมากๆ มีตำแหน่งดีๆ มีเลขาเก่งๆแบบพี่อู๋คอยช่วยกันทำงาน ผมอยากเท่แบบคุณชิราอิชิที่พูดว่าอยากเกิดเป็นหมาแต่เก่งเกินกว่าจะเป็นหมา ผมอยากเป็นเหมือนเขาจริงๆนะ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่อยากใช้คุณชิราอิชิเป็นต้นแบบก็คือหัวล้าน ผมไม่อยากหัวล้านตอนแก่ แต่ดูจากทรงผมของพี่อู๋ที่ค่อยๆเหม่งขึ้นเรื่อยๆเหมือนนายแล้ว ผมต้องมีชะตากรรมไม่ต่างจากพวกเขาแน่นอน
☁
วันที่สิบสี่ธันวาคม พี่ตั้มเพื่อนสนิทของพี่อู๋หย่ากับภรรยา
ทำไมผมถึงจำวันนี้ได้เหรอ? เพราะมันเป็นวันที่ผมอ่านหนังสือหนักที่สุด เหนื่อยที่สุด และมีเรื่องประหลาดที่สุดเกิดขึ้นในชีวิตของผม
ตอนสี่โมงเย็น พี่อู๋โทรมาบอกว่าวันนี้เขาอาจกลับบ้านดึกหน่อยเพราะจะออกไปกินเหล้ากับเพื่อนๆ ผมไม่ว่าอะไร เข้าใจว่าพี่อู๋คงอยากผ่อนคลายตามประสาคนทำงานหนัก ผมบอกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวนายก้องเกียรติออกไปซื้อไส้กรอกที่เซเว่นมากินเอง ส่วนพี่เที่ยวให้สนุกเถอะ อย่าเมาหัวทิ่มเหมือนคราวก่อนก็แล้วกัน ผมตามเช็ดอ้วกพี่ไม่ไหว เหม็นมาก ผู้ปกครองของผมรับปากอือๆๆได้ๆๆก่อนจะวางสาย ผมนึกว่าเขาคงจบแค่นั้น แต่พอห้าทุ่ม คุณอิศรินทร์ก็โทรมาใหม่
“ก้อง พี่ขอกลับดึกกว่านี้ได้ไหม?”
“กี่โมงครับ?” ผมถาม เดาเอาว่าคงตีสองตีสาม แต่คำตอบของเขามันไกลกว่าที่คิด
“พรุ่งนี้”
“พี่ตกถังเหล้าเหรอถึงกินข้ามวันข้ามคืน?”
“ไอ้ตั้มมันเพิ่งหย่ากับเมีย พี่สงสารมัน”
อ่ะ โอเค สงสารก็สงสาร
ผมไม่มีสิทธิ์ยุ่งอะไรกับชีวิตเขาจึงได้แต่ตอบครับๆและให้สัญญาว่าจะล็อกห้องอย่างดี คืนนั้นผมทำโจทย์ภาษาอังกฤษจนถึงเที่ยงคืนแล้วเข้านอน ผมหลับๆตื่นๆตลอดเพราะได้ยินเสียงก๊อกแก๊กทีไรก็ชอบคิดว่าพี่อู๋กลับมาทุกที นาฬิกาบอกเวลาว่าตีสามห้าสิบแปดนาที ผมรู้สึกตัวตื่นเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆของคุณอิศรินทร์เดินเข้ามาในห้อง ทีแรกผมจะลุกไปดูแต่ก็ขี้เกียจ ถ้ากลับบ้านเร็วกว่ากำหนดแบบนี้คงไม่เมาเท่าไหร่หรอกมั้ง – ผมคาดเดา
ซักพักประตูห้องนอนก็เปิด กลิ่นเหล้าฉุนกึกฟ้องในทันทีว่าพี่อู๋ดื่มเยอะแค่ไหน ผมแอบปรือตามองผู้ปกครองยืนกดโทรศัพท์อยู่หน้าห้องน้ำ สีหน้าคร่ำเครียดเหมือนมีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้น ผมหรี่ตามองเขาอยู่นาน เห็นพี่อู๋ถอนหายใจสลับกับสบถคำหยาบเป็นระยะๆ ซักพักเขาก็เดินหายไปเข้าห้องน้ำ เสียงกดชักโครกดังขึ้น คุณอิศรินทร์เดินโงนเงนออกมาพร้อมกับรับสายโทรศัพท์ ฟังดูแล้วน่าจะกำลังคุยกับเพื่อน
“เออ กูถึงห้องแล้ว” เขาพูดเบามาก เบาเหมือนกระซิบราวกับกลัวผมตื่นมาด่า “กลับเช้าได้ไง ไอ้ห่า ก้องอยู่บ้านคนเดียว”
บทสนทนาของเขาออกแนวบ่นๆเชิงแก้ตัวว่าทำไมถึงกลับเร็ว ผมเดาเอาว่าเพื่อนๆในวงน่าจะโมโหพอสมควรที่พี่อู๋ชิ่ง แต่เขาก็บอกว่าจะจ่ายค่าเหล้าให้ขวดนึงเป็นการทดแทน ฝากบอกไอ้ตั้มด้วยว่ากูแดกจนเช้าไม่ได้จริงๆ งานก็ต้องทำ เด็กก็ต้องดู
“ถึงไหนอะไรล่ะ กูยังไม่เคยพูดเล้ย” เขาหัวเราะ “เออ ถือสายรอแป๊ป”
ผมหลับตาเมื่อเห็นพี่อู๋เดินมาที่เตียง เขาก้มหน้าลงมาหอมแก้มผมก่อนจะเดินเกาตูดออกจากห้องนอนไปหน้าตาเฉย ผมอึ้ง ช็อค ทำตัวไม่ถูกเลย ถึงพี่อู๋จะไม่อยู่ในห้องแล้ว แต่สัมผัสอุ่นๆของเขายังติดอยู่ตรงแก้มของนายก้องเกียรติ ผมหน้าร้อนฉ่า หัวใจเต้นตึกตักเพราะสับสนว่าพี่อู๋ทำอะไร เขาหอมแก้มผมทำไม เขาทำแบบนี้เพื่ออะไร เป็นเพราะเขาเมาหรือโดนใครในสายท้าให้ทำพิเรนทร์อย่างหอมแก้มกอริลลาก้องเหรอถึงได้ทำแบบนี้
ในสมองของเด็กอายุสิบแปดที่ไม่เคยมีความรักได้แต่ตั้งคำถาม ผมพยายามหาเหตุผลของการกระทำอันอุกอาจของพี่อู๋ด้วยความสับสน ตั้งแต่เกิดมา คนที่หอมแก้มผมมีแค่แม่กับเพื่อนผู้หญิงสมัยอนุบาล ผมไม่เคยโดนผู้ชายหอมแก้มมาก่อน ไม่เคยถูกใครสัมผัสด้วยริมฝีปากนอกจากแม่ที่ตายไปปีกว่า ไม่เคย – ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ มันใหม่และประหลาดสำหรับเด็กผู้ชายที่อยู่ช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ผมนึกหาคำตอบอยู่นานว่าคนเราจะหอมแก้มกันไปทำไมถ้าไม่ใช่เพราะรัก แม่รักผมก็เลยหอมแก้ม เพื่อนสมัยอนุบาลชอบผมก็เลยหอมแก้ม แล้วพี่อู๋ล่ะ? เขาหอมแก้มผมทำไม เขาทำแบบนั้นทำไม หรือว่าเขา –
เขาชอบผม?
บ้าเหรอ ใครมันจะมาชอบมึงวะก้อง พี่อู๋ที่เห็นมึงแสดงสันดานเสียๆเอาแต่ใจเนี่ยนะจะชอบมึง เฮ้ย – แต่เขาเป็นเกย์นี่หว่า เกย์แล้วไงวะ เกย์ก็เลือกเหมือนกันหรือเปล่า เขาเคยมีแฟนระดับคุณหมูพีเลยนะเว้ย คนที่เคยมีแฟนเพอร์เฟ็คขนาดนั้น จะชายตามองเด็กมอมแมมอย่างมึงได้ไงวะไอ้ก้อง ประสาท
แต่ถ้าพี่อู๋ชอบมึงจริงๆล่ะ?
พอคิดแบบนี้ผมก็กลัวจนใจหล่นไปที่ตาตุ่ม ผมรักพี่อู๋นะ ผมซาบซึ้งบุญคุณและเทิดทูนเขาเหนือสิ่งอื่นใด แต่ผมก็ไม่อยากให้พี่อู๋รักผมเหมือนที่รักคุณหมูพี ความรักรูปแบบนั้นสามารถพังทลายได้ตลอดเวลา ซึ่งผมอยากมีความสัมพันธ์ดีๆกับเขาจนตาย ไม่อยากเลิกกันเหมือนความรักของพวกเขา อีกอย่างผมไม่ใช่คนดีอะไรเลย ผมไม่เหมาะจะเป็นแฟนของใคร และที่สำคัญ – ผมเป็นผู้ชาย
ผมเป็นผู้ชาย
ผมเป็นผู้ชาย แต่ผมควรทำยังไงในเมื่ออีกฝ่ายคือผู้มีพระคุณที่ดีกับผมมาโดยตลอด คืนนั้นทั้งคืนผมคิดเรื่องนี้ไม่ตกเลย มันทั้งกังวล ทั้งกลัว ทั้งตื่นเต้นที่มีคนมาชอบ พอคิดว่าพี่อู๋ชอบ มันก็จะมีความรู้สึกเล็กๆคัดค้านอยู่ตลอด เขาไม่ชอบมึงหรอก เขาจะชอบมึงได้ไง มึงมอมแมมจะตาย หน้าตาก็บ้านๆ จืดๆ เรียนไม่เก่ง คนหล่อแบบเขาจะชอบมึงได้ยังไงวะก้อง
แต่เขาหอมแก้มมึงเลยนะเว้ย
เออ – เขาหอมแก้มผมเลยนะ พี่อู๋ชอบผมเหรอ เพ้อเจ้อชิบหาย คนอย่างพี่อู๋จะชอบนายก้องเกียรติได้ไง สงสัยต้องหยุดคิดไกลก่อน ผมควรรออีกหน่อยเผื่อเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเขาเมา คนเราเวลาเหล้าเข้าปากมักจะกล้าทำอะไรบ้าบิ่นเสมอ ดูอย่างคราวก่อนสิ พี่อู๋ยังลุกขึ้นเต้นเพลงผีเสื้อราตรีทุกคืนเลย ฤทธิ์น้ำเมาของแท้ งั้นผมจะโทษว่าเป็นเพราะเหล้าก็แล้วกัน ที่หอมแก้มไปเมื่อกี๊ก็จะคิดเสียว่าไม่ถือสาคนเมา แต่ถ้าคราวหน้ามีอีก ผมคงต้องจับเข่าคุยกับพี่อู๋แล้วล่ะว่านี่มันเรื่องอะไร
แต่ที่แน่ๆ -- พี่อู๋ไม่ได้ชอบมึงหรอกก้อง
มึงมันมอมแมม! มึงเป็นลิงจรัญสนิทวงศ์! ใครจะชอบมึง!
TBC
__________________________
#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in