ผมชอบมองดูท้องฟ้าในทุก ๆ ช่วงเวลา ซึ่งแต่ละเวลาก็จะมีความสวยงามที่แตกต่างกันออกไป และในแต่ละวัน ท้องฟ้าของแต่ละช่วงเวลาก็จะมีความสวยงามไม่เหมือนกันอีกด้วย ท้องฟ้าของต้นปีก็จะอีกแบบหนึ่ง ท้องฟ้าของกลางปีก็จะอีกแบบหนึ่ง ปลายปีก็จะอีกแบบหนึ่ง วันที่ฝนตกก็จะอีกแบบหนึ่ง วันที่อากาศหนาวก็จะอีกแบบหนึ่ง วันที่อากาศร้อนก็จะอีกแบบหนึ่ง มันเป็นเรื่องโชคดีที่เราสามารถมองเห็นสิ่งสวยงามได้เสมอ โดยคุณไม่ต้องออกเดินทางท่องเที่ยวไปไหนไกลเลย
การได้มองดูท้องฟ้าสวย ๆ เป็นเรื่องที่ดีเสมอ แม้ในวันที่ผมต้องเจอแต่เรื่องห่วย ๆ มาก ๆ ก็ตาม มันช่วยให้ผมดึงอารมณ์ที่กำลังดิ่งลงกลับขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนกับว่า มีเชือกที่คอยฉุดรั้งเราไว้ไม่ให้ตกจากเหวลึก แต่น่าเสียดายที่เชือกเส้นนี้ทำหน้าที่แค่ฉุดรั้งไม่ให้ผมตกลงไป มันไม่ได้พาผมขึ้นไปบนยอดเขา ผมยังอาศัยอยู่ทีี่ช่องระหว่างเขาที่ทั้ง แคบ และ มืดมิน ถ้าไม่สามารถขึ้นไปข้างบนได้ ก็ขอตกลงไปให้สุดเลยดีกว่า ผมคิดแบบนั้นจริง ๆ บทเพลงแห่งความโศกเศร้า อาจจะถูกสร้าง มาเพื่อคนอย่างผมก็ได้ ยิ่งเศร้าก็ยิ่งอยากจะจมดิ่งให้ลึกลงไป คุณเข้าใจผมใช่ไหม มันคงเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่ทุกคนต้องเคยเป็นแน่ ๆ ผมรู้สึกอย่างนั้น ผมพยายามทำทุกอย่างที่ผมพอจะทำได้ ไม่ว่าจะเป็น ฟังเพลง ดูหนัง อ่านหนังสือ แต่มันก็ไม่สมแก่ใจผมสักที่ อยากจะร้องไห้ ผมจำได้ว่าการร้องไห้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะเรารู้สึกแย่ ผมเคยได้ยินมาว่าเราจะร้องไห้เมื่อเราดีใจก็ได้ แต่มันไม่เคยเกิดขึ้นกับผมนะ ตอนที่ร้องไห้มันทำให้รู้สึกแย่มาก ๆ แต่มันก็ทำให้รู้สึกดีด้วย ผมก็ไม่เข้าใจนะ ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นเหมือนกันหรือเปล่า อยากจะร้องไห้จริง ๆ
เช้าวันหนึ่ง เป็นเช้าที่ฟ้าครึ้มเป็นพิเศษ ผมรู้สึกได้ว่าฝนน่าจะตกแน่ ๆ ผมจึงออกจากบ้านเร็วกว่าปกติ เพราะกลัวว่าถ้าฝนตกแล้วจะไปเรียนลำบากกว่าปกติ ระหว่างเดินทางฟ้าก็ยังครึ้มอยู่อย่างนั้น แต่กลับไม่มีฝนตกลงมาสักหยด จนผมเดินทางมาถึงมหาวิทยาลัย ท้องฟ้าสีดำก็ยังไม่มีเม็ดฝนตกลงมาเฉยเคย ผมไม่แน่ใจว่านี้คือเรื่องดีเรื่องร้าย เพราะผมมาถึงก่อนเวลาเรียน 1 ชั่วโมงกว่าเห็นจะได้ เมื่อไปถึงห้องเรียนก็ไม่พบใครมาเลยสักคน ผมเข้าไปในห้องเรียนที่ร้างผู้คน และเปิดหน้าต่างออกไปให้ลมเข้า ผมมองดูท้องที่มืดครึ้มจนเป็นสีดำนั้นแล้วคิดในใจว่า วันนี้ฝนคงไม่ตกแล้วละ เวลาผ่านไป 15 นาทีเศษๆ
เป็นเวลา 15 นาทีที่ยาวนาน ผมเริ่มเบื่อกับการนั่งฟังเพลงและไถโทรศัพท์ไปมา ผมจึงตัดสินใจออกจากห้องไปยังชั้นดาดฟ้า ผมขึ้นไปบนดาดฟ้าครั้งเมื่อไม่กี่วันก่อน เพราะตอนนั้นต้องหาสถานที่เพื่อทำงานกำกับศิลป์ ที่ได้รับมอบหมายมาจากอาจารย์ในรายวิชา ค่อนข้างเป็นทางการเลย แต่ครั้งที่สองนี้ผมขึ้นไปเพราะไม่มีอะไรทำจริง ๆ และผมก็อยากเห็นว่าข้างบนนั้นตอนท้องฟ้าครึ้ม ๆ มันเป็นยังไงนะ ไหน ๆ ฝนมันก็ไม่ตกลงมาแล้วด้วย
ข้างบนนี้ลมจะแรงกว่าข้างล่างนิดหน่อย มองออกไปจะเห็นวิวเป็นตึกเรียงรายต่อกัน ความสูงใหญ่ไม่เท่ากัน แต่กับดูกลมกลืนเป็นระเบียบ ท้องฟ้าครึ้ม ๆ ทำให้บรรยากาศดูเหนือจริง และดูน่ากลัวเหมือนโลกกำลังจะแตกยังไงก็ไม่รู้ แต่ฝนไม่ยอมตกลงมาเช่นเคย ในขณะนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง น้ำเสียงแบบนั้น การสูดลมหายใจแบบนั้น มันเสียงที่ผมคุ้นเคยดี แต่ก็ไม่ได้ยินมันจริง ๆ ก็นานแล้ว ผมเดินไปหาต้นเสียงนั้น แล้วผมก็พบกับผู้หญิงที่นั่งมองท้องฟ้าอยู่ ดูจากเครื่องแต่งกายเธอคงเป็นนักศึกษาเช่นเดียวกับผม ผมยาวหน้าม้าของเธอทำให้ผมนึกถึงนางเอกหนังเรื่อง after the rain ของญี่ปุ่นขึ้นมาเลย สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครคือแววตาที่บวมและแดงของเธอ เป็นใบหน้าที่ผมไม่รู้จัก แต่ก็อยากเห็นมานานแล้ว ผมมองไปที่ท้องฟ้าที่เธอกำลังมอง ภาพท้องฟ้าที่ผมมองเริ่มเบลอขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับภาพวาดที่ระบายด้วยสีที่ผสมน้ำมากเกินไปจนทำให้ภาพบิดเบี้ยว เธอมองมาที่ผม ผมก็มองไปที่เธอ ท้องฟ้ามืดครึ้มในที่สุดฝนก็ตกลงมาสักที เหมือนกับมันได้ปลดปล่อยความอัดอั้นที่สะสมมานานออกมาทั้งหมด แววตาของผมเริ่มบวมและแดงเช่นเดียวกับเธอ เราอยู่ด้วยกันบนดาดฟ้าแห่งนี้ทามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างรุนแรง ผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ก้นเหว หรือ บนยอดเขากันแน่ .
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in