เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Then it will end one daykizu_amakusa
ฉากที่๓
  • เสียงกระซิบของลม  เสียงปีกแมลงที่กำลังบิน…


    เสียงใบไม้เปียกชื้นที่โดนฝีเท้าเหยียบ


    เสียงร้องไห้ของยักษ์เด็ก


    เสียงฝีเท้าของสิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่ง สาม...ไม่ซิ สี่..


    เสียงสนทนาของมนุษย์…


    ทมิฬจำแนกทุกสรรพเสียงที่เข้ามาแตะปลายประสาทการได้ยิน และขยายในส่วนที่เขาต้องการ  เขาวิ่งแหวกกิ่งไม้ทึบตามทางและตามเสียงเหล่านั้นไป ถึงจะมืดมิดและเต็มไปด้วยป่ารกทึบจนเหมือนไม่เคยมีใครย่างกรายมาที่นี่ แต่เสียงเล็กๆเหล่านั้นก็เป็นเหมือนดั่งทางที่เปิดกว้างในวิสัยทัศน์ของเขา


    ทารคาวิ่งตามมา อย่างเงียบๆ แต่ภายในใจนั้นกลับสุมไปด้วยความร้อนรุ่ม


    ร่างสีม่วงมองตายักษาผู้พี่ที่ยืนอยู่ข้างๆและเดินนำออกไปก่อนอย่างไร้เสียง


    ทารคาพินิจมองแผ่นหลังของคนนำทางตรงหน้า

    ..บางทีก็เหมือนจะชัดเจน แต่บางครั้งก็เหมือนร่างสีม่วงนี้จะหายลับเข้าไปในความมืดนั้นเฉยๆ จนบางคราเขาเกือบจะเผลอเอื้อมมือไปคว้าจับไว้เพราะคิดว่าอาจจะเป็นภาพลวงตาหรือกลอุบายที่เจ้าป่าเจ้าเขาส่งมาทำให้เขาไขว้เขวก็เป็นได้...


    ...ข้ายังไม่เข้าใจ ว่าทำไมทมิฬตนนี้จึงยื่นมือเข้ามาช่วย.. แต่ตอนนี้คงไม่ใช่เวลาที่จะสงสัยเรื่องนั้น…



    มารตา….



    พวกมนุษย์สี่คนหิ้วขาสีแดงชาดของยักษาตัวน้อย ปล่อยให้หัวทิ่มลงกับพื้น นัยน์ตาสีฟ้าใสเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาและคราบดิน

    “พรุ่งนี้เอาไปขายที่ตลาดค้าทาสเหอะ ยักษ์สีชาดหายาก น่าจะได้เงินดี”


    “จะขายทั้งตัวเลยรือ น่าเสียดายว่ะ ข้าเคยได้ยินมาว่าถ้าได้กินเนื้อพวกยักษ์หายาก มันจะเป็นยาอายุวัฒนะ ถ้าแล่เป็นชิ้นๆแล้วค่อยขาย น่าจะได้เงินดีกว่า”


    พวกมันคุยกันสนุกปากจนเหมือนเป็นเรืองปกติ ที่จะทำตัวเป็นจ้าวชีวิตของสัตว์ที่พวกมันล่าได้



    นี่ล่ะมนุษย์...หากมันมีอำนาจอยู่ในมือ มันจักพึงใช้  

    ไม่ว่าอำนาจนั้นจะเหยียบย่ำใครหรือไม่ก็ตาม...



    พวกมันเดินเข้าที่พักไปในความมืดพร้อมกับยกข้อเท้ายักษ์สีชาดขึ้น เพื่อพิศดูเหยื่อของมันอย่างภูมิใจ พลันแสงตะเกียงเล็กๆก็ลอดออกมาตามรอยแยกของข้างฝาบ้าน


    ดวงตาสีทองสองคู่ลอบมองผ่านเงามืดจากด้านบนหลังคามุงจาก  ทารคามองพวกมันผ่านรอยแยกของหลังคาอย่างไม่วางตา



    ...ความเขลานำพาพวกเจ้ามาถึงจุดนี้แล้วล่ะมนุษย์…



    ทมิฬพินิจดูยักษาตนนี้อย่างเงียบๆ เขามองเส้นผมสีแดงที่โดดเด่นแม้ยามอยู่ในความมืด มันช่างขับกันได้ดีกับสีผิวมรกตที่เป็นพื้น ไหนจะดวงตาสีอำพันอันโกรธเกรี้ยวที่บางคราก็ผันเปลี่ยนเป็นสีเลือดเพียงชั่วอึดใจ…


    น้ำค้างจากใยแมงมุมหยดลงมาโดนลายดอกบัวที่หน้าผากของร่างสีม่วง และไหลผ่านไปดั่งหยดน้ำกลิ้งบนใบบอน ความเย็นที่แผ่ซ่านเล็กๆของมันทำให้เขารู้สึกตัวและตื่นจากความคิด


    เขาขยับเข้าไปใกล้ยักษาจากด้านหลัง พลางกระซิบพอให้ได้ยิน

    “เราจะรอพวกมันหลับ แล้วค่อยพาน้องเจ้าออกมาเงียบๆ..”


    พลันสายตาที่เหมือนกับจะเปล่งแสงก็หันจับจ้องมาที่เขา ทมิฬถึงกับเย็นวาบจากแกนสันหลังจนน้ำค้างที่ปลุกเขาเมื่อซักครู่นั้นระเหิดไปจากความรู้สึก


    “อย่ามาสั่งข้า! แค่พวกมนุษย์กระจ้อยร่อยไม่คณามือข้าหรอก!”


    “แต่เจ้ายังบาดเจ็--”


    พูดไม่ทันสิ้นเสียง ทารคาก็กระโดดลงไปกลางวงที่พวกมันนั่งอยู่ โต๊ะแตกแยกออกเป็นเสี่ยงถูกเหยียบขยี้แตกหักที่แทบเท้า พวกมันร้องเสียงหลงได้แต่ตกใจในคราแรก แต่เมื่อเห็นเป็นยักษ์เด็กอีกตนก็ดีใจเหมือนได้เพชรได้พลอย พลางว่าไม่ต้องคิดแล้วว่าจะขายยักษ์เล็กนั่นเป็นๆหรือแล่ดี

    ทารคาหรี่ตามองสีหน้าอันแช่มชื่นเบิกบานของพวกมันทีละคน ความฉีกยิ้มยินดี.. หัวเราะร่าถึงทรัพย์ที่จะได้มาในวันรุ่ง บ้างจับมือกระโดดโลดเต้นไปมา พร้อมหันไปคว้าอาวุธที่ทำจากเหล็กหวังฟาดฟัน….

    พลันสายตาวาวโรจน์ก็เหลือบไปมองมารตาที่อยู่ในกรงเล็กๆด้านหลัง ยักษ์สีชาดตัวจ้อยกำมือจับซี่กรงเหล็กขึ้นสนิมไว้แน่น พยายามใช้แรงจากแขนเล็กๆนั่นงัดซี่กรงออก แต่ก็ไม่สำเร็จ.. แววตาสีฟ้าหม่นลงและเปื้อนไปด้วยน้ำตา


    ยักษ์น้อยเงยหน้ามองพี่ชายอย่างสิ้นหวัง  ทารคามองตอบและยกมือขึ้นลูบเปลือกตาตนเองให้ปิดลงข้างหนึ่ง แล้วพูดกับอนุชาโดยไม่เปล่งเสียง


    …..หลับตาลงซะน้องข้า….



    เป็นสัญญาณที่เรารู้กันในยามที่ศัตรูล้อม มันจะเหมือนมนต์ศักสิทธิ์เล็กๆที่ตอนเปิดตาในภายหลังพลันศัตรูก็หายไปหมดแล้วเหลือแค่เราสองพี่น้อง...

    ดวงตาสีฟ้าเบิกขึ้นอย่างเข้าใจสาร พร้อมกับยกมืออวบเล็กๆปิดตาทั้งสองข้างอย่างเชื่อฟัง


    ทารคาดีดตัวสูงเท่าศีรษะมนุษย์ แล้วใช้กรงเล็บทั้งฝ่ามือฟาดเข้าไปที่กะโหลกเต็มแรง เสียงดังแกร๊บเหมือนกับกิ่งไม้ใหญ่หักดังก้องไปทั่วห้อง เสียงมันกังวาลแต่ก็ทุ้มแบบแปลกๆจนมนุษย์ที่เหลือต้องหันมามอง ร่างที่เคยเป็นคนล้มลงกระแทกพื้นยังไม่ทันจะนิ่งดี ทารคาก็ยกเท้าบดขยี้เหยียบร่างนั้นจนกระดูกสีขาวเจือสีชมพูเข้มแทงทะลุออกมา

    มนุษย์ที่เหลือหันมาหาทารคาด้วยความตกใจและเดือดดาล พวกมันพุ่งเข้ามาหวังจะบรรดาลโทสะและสอนให้รู้ถึงความอวดดีด้วยการละเลงเลือดแบบที่พวกมันถนัด


    ทารคาพลิกมือเรียกไฟสีฟ้านิลกาฬออกมา มันพลิ้วไหวแทรกซึมเข้าไปในร่างพวกมนุษย์ทั้งเป็น ทีละคน..ทีละคน... มนุษย์ทั้งสามดิ้นพราดไปด้วยความแสบร้อนจากแก่นภายในไปจนถึงขั้วกระดูกและกล้ามเนื้อ พวกมันเริ่มล้มลงจนเข่ากระแทกพื้นและแตกเป็นชิ้นเถ้าแห้งๆออกมาชิ้นแล้ว..ชิ้นเล่า

    ชิ้นแล้ว..ชิ้นเล่า..



    ร่างสีมรกตที่บาดเจ็บจนเสียแขนไปข้างหนึ่ง กับผมสีแดงเพลิงท่ามกลางเปลวไฟสีหมอกเมฆนิลกาฬช่างตราตรึงสายตาของทมิฬให้หยุดอยู่กับที่  ยักษาที่ปลิดชีวิตมนุษย์อย่างง่ายดายไร้การลังเลกำลังค้อมตัวลงช้อนตัวยักษาน้อยขึ้นมาสู่อ้อมอก


    “ข้าเปิดตาได้หรือยังท่านพี่”


    “ยังก่อนน้องข้า ข้าเคยบอกว่าต้องรอให้เสียงเงียบก่อนใช่มั้ย”

    สีชาดตัวน้อยพยักหน้าพร้อมกับมืออวบที่ยังปิดตาทั้งสองข้างอย่างแนบแน่น


    เสียงโหยหวนของเหล่าอดีตมนุษย์ดังหวีดหวิวไปในยามค่ำคืน ทั้งเสียงทั้งขี้เถ้าปลิวบิดไปกับสายลม ถ้าชาวบ้านที่ไหนได้ยินเข้า คงคิดว่าเป็นเสียงผีเปรตที่มาร้องขอส่วนบุญในป่าใหญ่เป็นแน่แท้..


    ______________________



    ทารคาใช้นิ้วเกลี่ยเศษขี้เถ้าดำออกจากแก้มนวลสีแดงของอนุชาตัวน้อยที่ตอนนี้นอนหลับอย่างเบาใจอยู่ข้างกายผู้เป็นพี่


    พวกเขาออกจากกระท่อมของมนุษย์นั่นและหาที่พักในป่าแทน อาจเพราะความคุ้นชินและรู้สึกปลอดภัยกว่าถ้าแวดล้อมไปด้วยพื้นที่ของตนเอง


    ทมิฬนั่งอยู่ไม่ไกล พลางมองทุกอากัปกิริยาของยักษ์เขียวตนนี้ ไม่รู้ทำไมนับตั้งแต่เหตุที่เพิ่งเกิดขึ้น เขารู้สึกกระสับกระส่ายแปลกๆ รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าที่ควร


    พลันยักษาที่โดนจ้องอยู่ก็ละสายตาจากยักษ์น้อยที่ผล๊อยหลับไปแล้ว เงยหน้าขึ้นมาสบตาสีอำพันอีกคู่

    ทมิฬสะดุ้งเฮือกเพราะเหมือนโดนมองทะลุเข้าไปในความคิด ทารคาค่อยๆลุกขึ้นเดินมาหยุดนั่งตรงหน้าเขา


    “เจ้าต้องการอะไรจากข้า”

    โอรสแห่งคีรีกัณฑ์ถามอย่างไม่อ้อมค้อม ถึงจะเป็นเพราะความสงสัยอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งก็เป็นเพราะตนรู้สึกติดหนี้บุญคุณกับทมิฬตนนี้เหลือเกิน ทั้งช่วยชีวิตเขาจากหลุมนั่น ทั้งยังช่วยตามหามารตา และยังจัดแจงหาที่พักที่จะลับตามนุษย์พอ หลังจากจบเรื่องพวกนั้น


    ข้า?...อยากได้อะไรจากเจ้างั้นรึ…… ทมิฬเอียงคอสงสัยพร้อมกระพริบตาสีทองพื้นดำนั่นอย่างแคลงใจ


    “เจ้าสะกดรอยข้ามาหลายวันหลายยาม แต่ไม่ได้โจมตีหรือทำร้าย

    แล้วยังตามมาช่วยน้องข้าอีก หากเจ้าไม่ได้อยากได้ชีวิตพวกข้าแล้วเจ้าอยากได้อะไร”

    โอรสยักษ์ตีหน้าเคร่งขรึม ที่ผ่านมาหากไม่มีข้อแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อก็ไม่มีมันผู้ใดออกแรงโดยไม่หวังผล ยิ่งหากใครผู้นั้นบอกว่าเพราะความจงรักภักดีต่อกษัตริย์องค์ก่อน ก็ยิ่งน่าสงสัยเกินไป ทีจะเก็บไว้ใกล้ตัว


    “ข้า….” ร่างสีม่วงมองยักษาตรงหน้าในระยะประชิดที่ห่างกันเพียงคืบ


      นั่นซิ ข้าตามหาเจ้ายักษ์เขียวนี่ทำไมกัน...

    ข้าเดินทางไกลจากหมู่บ้านเข้ามาในป่าลึกเพื่อหาเจ้ายักษ์ตนนี้ทำไม...

    พลันสายตาก็ไปหยุดมองคิ้วสีแดงเข้มที่กำลังขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิดและมองตรงมาที่เขาเพื่อรอฟังคำตอบ


    “ข้าแค่....เฝ้ามองเจ้า ..เฝ้ามองพวกเจ้า”


    ยักษาทำหน้าแบบไม่เข้าใจ การเฝ้ามองเฉยๆมีประโยชน์อันใด

    เขายังเชื่อว่ามันต้องมีเบื้องหลังอย่างอื่นที่ไม่ใช่แค่การเฝ้ามอง


    “ข้า..อยู่กับแม่ที่ชายป่าอีกด้านกับเผ่าทมิฬตนอื่นๆ เราจะหนีและสู้กับพวกที่ไลล่าเราเป็นบางครั้ง พวกมันต้องการเราไปขายหรือใช้งานเพราะความสามารถของเผ่าพันธุ์ พวกทมิฬตนที่แข็งแกร่งรวมทั้งพ่อข้าต้องออกไปทำสงครามกับมนุษย์เพื่อแย่งดินแดน พวกเราที่อยู่เฝ้าหมู่บ้านจึงต้องดูแลตนเอง...

    เมื่อครั้งหลบซ่อนข้าก็ได้ยินพวกมนุษย์บ้าง ยักษ์บ้าง หรือเผ่าพันธ์อื่นๆ พูดกันถึงลูกยักษ์ที่ได้สมยานามว่าเทหะยักษา พวกมันเฝ้าหาเจ้าอยู่ ชื่อเสียงที่มีแต่ความโหดเหี้ยม ขจรขจาย พวกมันหวาดกลัวว่าเจ้าจะเป็นภัยในภาคหน้า แต่บางตนก็ว่าไร้สาระ แต่ทุกผู้ก็บอกเป็นเสียงเดียว หากเจอเจ้าก็ให้ฆ่าเสีย..”


    ทารคามุ่ยหน้ากับข่าวคราวพวกนี้..


    “ข้าติดใจกับความคิดพวกมัน กับแค่ลูกยักษ์ตัวเดียวทำไมจะต้องเป็นที่โจษจันขนาดนี้ และข้าได้ยินว่าเจ้าคงยังวนเวียนอยู่ในป่า เลยลองเสาะหาดู เพราะข้าว่า เผ่าทมิฬเช่นข้าต้องเจอเจ้าก่อนพวกมันแน่นอน แล้ววันแรกที่ข้าเจอเจ้า……”


    ทมิฬเงียบไป….


    จะบอกได้อย่างไรว่าการที่เฝ้าติดตามเจ้า เห็นเจ้าต่อสู้ด้วยตัวคนเดียว เห็นเจ้าดูแลน้องมาร่วมอาทิตย์ ข้าหลงใหลในความเด็ดเดี่ยวที่เจ้ามี ความอ่อนโยนที่เจ้าปฏิบัติกับน้อง... เจ้ามีแค่สองมือสองเท้าเหมือนทุกตน แต่เจ้าพึ่งพาโลกแค่พื้นที่เล็กๆที่สองเท้าเจ้าเหยียบเท่านั้น. ข้าคิดว่าข้าคงหลงใหลอะไรบางอย่าง….จึงตามเจ้ามาเรื่อยๆ จากนั่งเฝ้าดูเป็นชั่วโมง…


    เริ่มเปลี่ยนเป็นคืน...


    เริ่มนานเป็นวัน...


    และข้า..


    เริ่มหยุดไม่ได้ที่จะมาเฝ้ามองเจ้าทุกวัน….



    ยักษามองทมิฬที่เงียบไปเหมือนตกในภวังค์แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงใดๆ




    ฟ้าใกล้สาง…ทมิฬรีบรุดกลับไปที่หมู่บ้าน เพราะคืนนี้เขาออกมานานเกินกว่าคืนใด นานกว่าที่บอกแม่ไว้ นางอาจจะคิดว่าเขาโดนจับหรือโดนทหารของซักเผ่าฆ่าทิ้งไปแล้วก็เป็นได้


    “พรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่ ข้าจะล่าเนื้อทรายมาให้เจ้าและน้องได้ลองชิม”

    ทมิฬบอกเขาไว้ก่อนออกวิ่งไปในความมืด เขาเฝ้ามองแผ่นหลังสีม่วงนั่นหายไปช้าๆ เหมือนกับโดนกลางคืนกลืนกิน


    มารตานอนดิ้นถีบผ้าคลุมออก ทารคาจึงเขยิบตัวมากอดเจ้ายักษ์ตัวน้อยไว้ พลางลืมตามองสิ่งต่างๆรอบตัว  เสียงแมลงเงียบไปแล้ว...

    หากเป็นตอนที่อยู่ในวัง มารตาคงไม่ได้นอนใกล้ชิดเขาขนาดนี้ เพดานที่เคยมีการประดับประดา บัดนี้เป็นเพียงแง่งหินที่มีความชื้น และหยดน้ำก็กำลังกลั่นตัวหยดลงมาโดนตัวเขา   



    เย็น….


    มันมีความงดงามตามธรรมชาติในแบบของมัน..


    ถึงที่ผ่านมาแทบจะต้องอาบเลือดต่างน้ำ แต่มันก็ไม่แย่นัก แค่ฟาดฟัน กัดฟัน และฟาดฟัน…ไปเรื่อยๆ

    ทุกอย่างเป็นเรื่องจำเป็น ทำให้ชาชิน แล้วมันก็จะค่อยๆผ่านไป



    แต่.....ไม่เคยคิดเลยว่า..


    ความรู้สึก “เฝ้ารอให้พรุ่งนี้มาถึง” มันจะยังกลับมาได้..



    เขาเอื้อมมือไปจับนิ้วเล็กๆของมารตาและหลับตาลง...





    To be continued...

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in