เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกลับเซินเจิ้นSALMONBOOKS
INTRO




  • 8 มกราคม 2011

    ผมกำลังนั่งอยู่บนเครื่องบินของสายการบินหางแดง ตอนนี้เป็นเวลาเกือบห้าทุ่มแล้ว เหล่าผู้โดยสารเริ่มตื่นจากการหลับใหล พร้อมด้วยอาการเหนื่อยล้าและเมื่อยขบจากการเดินทางด้วยที่นั่งชั้นประหยัดอันคับแคบ

    เครื่องลดเพดานบินลงพร้อมเสียงประกาศจากกัปตัน

    ตุ๊ง ท่านผู้โดยสารครับ ขณะนี้เรากำลังเข้าสู่ท่าอากาศยานนานาชาติเป่าอัน เซินเจิ้น ประเทศจีน ขอให้ท่านผู้โดยสารรัดเข็มขัด ปรับระดับที่นั่งให้เรียบร้อย กรุณาประจำอยู่ ณ ที่นั่งของท่านจนกว่าสัญญาณไฟรัดเข็มขัดจะดับลง ขอบคุณครับ เลดี่แอนด์เจนเทิ่ลเหม็น ...”
  • ประเทศจีน... เมื่อพูดถึงคำนี้ ในหัวผมก็มีประเด็นไม่ดีวนเวียนเต็มไปหมด USB ปลอม ไข่ไก่ปลอม หน่อไม้ปลอมทำจากตะเกียบ ปลาหมึกปลอมทำจากยางลบ ไหนจะกลัวเรดการ์ดจับ (กลุ่มเยาวชนที่คลั่งลัทธิเหมา เจ๋อ ตุงจัดตั้งขึ้นตามแผนการปฏิวัติวัฒนธรรมจีน—กองบรรณาธิการ) ไหนจะเรื่องคนไม่มีศาสนา คอมมิวนิสต์ แล้วไปถึงแม่งจะมีใครฆ่าเอาไตกูมั้ย

    ผมรู้สึกได้ถึงสารพัดความกังวลที่กำลังกัดกินจิตใจ

    แต่นอกจากเรื่องกลัวไข่ปลอมกับ USB ปลอมแล้ว ผมก็แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับประเทศจีนอีกเลย เคยมาเที่ยวอยู่เจ็ดวัน แต่นั่นมาเที่ยวไงครับ ปั๊บๆ ถ่ายรูป แจกของ ร้องเพลง กลับ แล้วคราวนั้นมันเซี่ยงไฮ้ไง ใครบ้างไม่รู้จักเซี่ยงไฮ้ เมืองใหญ่ ไฮโซอลังกวย หนังสือนำเที่ยวก็มีขายเยอะแยะ รีวิวพันทิปก็มากมาย

    ครั้งนี้ไม่ใช่การมาเที่ยว มันต่างออกไป ผมอาจจะต้องอยู่ที่นี่ไปอีกอย่างน้อยสามปี ในเมืองที่ไม่มีใครรู้จักมันเลย ข้อมูลที่พอจะหาได้ก็เป็นติ่งเล็กๆ ที่แปะอยู่ตามท้ายหนังสือนำเที่ยวฮ่องกง เป็นของแถมให้มันเต็มๆ ไป แบบเที่ยวสามเมือง ฮ่องกง มาเก๊า เซินเจิ้น แม่งดูเหมือนเยอะไง แต่ก็เพียงแค่นั้น

    ใช่ครับ นี่คือการตัดสินใจมาทำงานตามคำชักชวนของเพื่อน โดยที่ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเมืองนี้เลย

    เมืองที่ชื่อว่า เซินเจิ้น

    ถนนลูกรังมันจะหมดหรือยัง? คนจีนมันจะขี้บนพื้นแบบที่เห็นในอินเทอร์เน็ตมั้ย? คอมมิวนิสต์กินคนจริงหรือเปล่า? แล้วไข่มันจะปลอมจริงมั้ยวะ? บางคนบอกว่าน่าจะประมาณแม่สาย อาจจะเป็นเมืองที่อยู่ในเขตอิทธิพลของกลุ่มว้า หรือไม่ก็คะฉิ่น

    ผมออกจากเครื่องบินพร้อมกับผู้โดยสารที่เบียดเสียดยัดเยียดและรีบร้อนจนแทบวิ่งลงจากเครื่อง สัญญาณไฟอะไรของกัปตันนั่นก็ช่างหัวมันเถอะวะ! ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะเที่ยวบินนั้นแทบไม่มีคนไทยโดยสารมาด้วยเลย ผมคิดในใจว่าคนจีนต้องเร่งรีบและวุ่นวายแบบนี้แหละ ก็เบียดคืนไป กูตัวใหญ่กว่า เอาสิ!

    จบจากเกมวิ่งวิบากย่อมๆ ผมเข้าสู่พิธีตรวจคนเข้าเมืองที่เต็มไปด้วยบรรยากาศมาคุและเคร่งขรึม ผิดกับบรรยากาศยิ้มแย้มของเมืองท่องเที่ยวอย่างประเทศไทยโดยสิ้นเชิง แต่สุดท้ายผมผ่านอย่างไม่มีปัญหาใดๆ ที่ซ้อมพูด “หนีห่าว” (สวัสดี) หรือ “เชี้ย เชี้ย” (ขอบคุณ) เตรียมไว้ก็ไม่ได้ใช้ จะแต๊งกิ้วก็เกรงใจ ว่ากันว่าคนจีนไม่พูดภาษาอังกฤษ ผมเองก็พูดจีนอะไรไม่ได้ นอกจากสองสามคำที่ซ้อมมา

    เอาเป็นว่า กูรีบไปจากบริเวณนี้คงจะดีกว่า

    ผมตรงไปรับกระเป๋าสัมภาระ แล้วเดินต่อจนถึงประตูทางออก ลมหนาวพัดวูบเข้ามาปะทะใบหน้า

    และวันนี้ก็คือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in