เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกนักอยากเขียนSooth Suwansakornkul
บันทึกนักอยากเขียน ๒


  • สมัยก่อนตอนเขียนบล็อกที่บล็อแก๊งค์ก็เขียนไว้เยอะอยู่ เลยกำลังคิดว่าจะย้ายเรื่องที่บล็อกแก๊งค์มาลงไว้ในนี้อีกดีไหม เพราะใส่รูป และจัดหน้าได้ง่ายกว่า เวลาพิมพ์แล้วก็สบายตากว่า
    แรกเริ่ม ผมก็เขียนบันทึกธรรมดานี่แหละ อยากเขียนอะไรก็เขียน สมัยเด็กก็ฉีกเอาสมุดที่เหลือมาเย็บเล่มเป็นสมุดวาดเล่น ทั้งวาดทั้งเขียนจิปาถะไปหมด อ่อ ผมอยากจะบอกว่าผมก็มีอายุแล้วล่ะ เกิดทันทีวีขาวดำเลยเชียว

    สมัยนั้นมีมังงะของญี่ปุ่นแปลเป็นไทย อ่อ ตอนนั้นยังไม่เคร่งครัดเรื่องลิขสิทธิ์เท่าสมัยนี้หรอก ผมจำได้ว่ามีมังงะ เรื่องหมัดเทพเจ้าดาวเหนือ ซึ่งดังมาก ๆ ลายเส้นเห็นแล้วมีพลังเหมือนดื่มโคล่าเข้าไปเต็มขวด

    การได้อ่านมังงะ เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตผมเลยล่ะ ทำไมน่ะหรือ ก็แต่เดิมไม่เคยอ่านอะไร ตอนนั้นผมอยู่ประถมสาม พี่ชายที่อายุแก่กว่าสองปีก็พาไปซื้อการ์ตูนมังงะแปลไทย "ชิวกัง" จำได้ว่ามีตัวเอกของหมัดเทพเจ้าดาวเหนือขึ้นปก "เคนชิโร่ ผู้สืบทอดตำนานหมัดเทพเจ้าดาวเหนือ"

    จริง ๆ ในชิวกังก็มีมังงะหลายเรื่อง แต่เท่าที่จำได้ติดตาติดใจคือ หมัดเทพเจ้าดาวเหนือนี่แหละ ที่ประทับใจเพราะตัวการ์ตูนมังงะในเรื่องนี้มันไม่หน่อมแน้มไง ยิ่งสมัยนั้นหนังกำลังภายในจากจีนก็ยังฮิต ลูกผู้ชายเวลามีเรื่องตกลงกันไม่ได้ก็ต่อยตีกัน

    สมัยก่อนบ้านผมอยู่ในซอยเล็ก ๆ  แถวปากคลองตลาด สมัยที่ยังมีคนใช้รถเข็น เข็นผักกันเต็มไปหมด และมีเศษผักตกเกลื่อนตามฟุตบาทริมทาง สมัยที่สี่แยกบ้านหม้อยังขายเครื่องเสียง  เด็ก ๆ ในซอยจะรวมกลุ่มกันเป็นแก๊งค์ เด็กหัวโจกก็อายุมากที่สุด

    พอเสาร์อาทิตย์ก็ออกมาเล่นกันในซอยได้ สมัยก่อนรถไม่เยอะหรอก สามสิบปีมาแล้วมั้ง มาเล่น "อัดมั่ว"
    ไม่ก็ "โบราณเรียกชื่อ" ส่วนใหญ่ก็มีแต่เด็กชายแหละ เจ็บตัวบ้าง ทะเลาะกันบ้าง ร้องไห้บ้าง แต่สุดท้ายพอเวลาผ่านไป ตัวหัวโจกที่อายุมากก็กลายเป็นวัยรุ่น มีเด็กหน้าใหม่จากต่างถิ่นย้ายเข้ามา ทำให้บรรยากาศในซอยเปลี่ยนไป

    พอมีเรื่องเข้ากันไม่ได้หนักเข้า ผมก็ถูกห้ามออกไปเล่นในซอย เป็นอันจบเรื่องราวของเด็กท้ายซอยในตอนนั้น วิชาหมัดเทพเจ้าดาวเหนือที่ศึกษามาจากมังงะเลยไม่ได้เอามาใช้ ถือว่าเป็นโชคดีที่ไม่ต้องเจ็บตัวจนหัวร้างข้างแตก

    สมัยโน้นยังมีการ์ตูนตลกไทยที่ฮิตมาก คือขายหัวเราะ กับมหาสนุก ขายหัวเราะเป็นการ์ตูนแก๊ก ส่วนมหาสนุก จะมีเรื่องยาวเข้ามาปนด้วย มุกตลก เป็นมุกวัยรุ่น เด็กอย่างผมเลยอ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เลยหันมานิยมมังงะมากกว่า

    ชีวิตผมก็วนเวียนอยู่กับการอ่านมังงะนี่แหละ ผมไม่ชอบอ่านหนังสือเรียน เพราะรู้สึกเบื่อ มีแต่ตัวหนังสือยาวพรืดไปหมด พอมีหนังสือการ์ตูนเป็นตัวเลือก ผมก็เลยไม่อ่านหนังสือเรียนไง จะอ่านบ่อยที่สุดก็หนังสือภาษาไทย มานะ มานี ปิติ ชูใจ นี่แหละเพราะเป็นเรื่อง เป็นตอนสั้น ๆ มีภาพประกอบด้วย อ่านสนุก แต่ไม่ค่อยเร้าใจเด็กทะโมนเท่าไหร่

    อ่อ ลืมไป สมัยนั้นมีรายการวิทยุที่นำเอานิยายยอดนิยมมาอ่านออกอากาศ ผมก็ชอบนะ และนั่นก็เป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมเริ่มสนหนังสือ แต่ก็ไม่มากพอที่จะเจียดเงินค่าหนังสือการ์ตูนมาซื้อนิยาย

    แน่นอน หนังสือเรียนคือหนังสือที่ต้องฝืนอ่าน แต่หนังสือการ์ตูนไม่ต้อง เพราะหนังสือเรียนมีแต่ตัวอักษร ผมเลยพาลมีอคติต่อหนังสือนิยายที่มีแต่ตัวหนังสือไปด้วย ผมไม่ชอบอ่านหนังสือที่ไม่มีภาพนั่นแหละ จนกระทั่งวันหนึ่ง โดนบังคับให้อ่านหนังสือนอกเวลาสมัยมัธยม เรื่อง จันทร์เสี้ยว ของรพินทรนาถ ฐากูร

    หนังสือเล่มนี้เปลี่ยนชีวิตของผม และเปิดโอกาสให้ผมเข้าสู่โลกอีกด้านหนึ่งของหนังสือ คือเรื่องที่มีใน จันทร์เสี้ยวนั้น หาอ่านไม่ได้จากในหนังสือการ์ตูนไง ภาษาที่แปลมาก็อ่านง่าย อ่านแล้วเห็นภาพในใจด้วย ไม่ซับซ้อนเกินที่ผมจะจินตนาการได้ เรื่องราวในหนังสือเล่มบาง ๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต และจิตใจของผมไปแล้ว

    ตั้งแต่นั้นมาก็เลยเริ่มเข้าร้านหนังสือ แต่กระนั้นผมก็ไม่ค่อยอ่านนิยายหรอก นอกจากนิยายกำลังภายใน เพราะให้อารมณ์ในการอ่านคล้ายหนังสือการ์ตูนที่อ่าน จนป่านนี้ก็อ่านนิยายน้อยมาก ภาษาเขียนของผมเลยไม่ไพเราะเท่าไหร่  

    เขียนไปเขียนมา วาดไปวาดมา ก็ได้สำนวนภาษา และลายเส้นของตัวเองประมาณนี้เท่าที่ได้อ่านได้ชมนี่แหละครับ เคยพยายามทำลายเส้นตัวเองให้น่ารัก แต่ก็ทำไม่ได้แล้ว นี่แหละหนา ที่เขาว่า อ่านอะไรก็เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น ก็เขียนออกมาอย่างนั้น

    บางครั้งผมก็ไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นตัวเองอยู่ดี 555
    จบบทนี้ดีกว่า





เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in