เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกนักอยากเขียนSooth Suwansakornkul
JUMP TO THE FUTURE
  •           ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่บนขอบดาดฟ้าของอาคารเรียน ไม่รู้ว่าอะไรนำพาให้ผมมายืนอยู่ตรงจุดนี้กันแน่ ระหว่างความกดดันจากทางบ้าน หรือ ความเครียดจากการเรียน ผมว่าผมอาจจะเป็นโรคซึมเศร้าก็ได้ แต่ผมไม่อยากไปหาหมอ 

              ผมกลัวว่าใคร ๆ จะหาว่าผมสำออย หรือเป็นบ้าที่ต้องไปหาจิตแพทย์.ตอนนี้ผมอยากหายไปจากโลกนี้ อยากลบตัวตนของผมให้หายไปตลอดกาลโดยไม่เหลืออะไรไว้อีกเลย ผมเลยตัดสินใจกระโดดลงจากดาดฟ้า ลงสู่อนาคตที่เลือกไว้เบื้องล่าง ร่างของผมร่วงหล่นจากชั้นห้าของอาคารเรียน วูบเดียวเท่านั้นที่รู้สึกเหมือนว่าว่ามีลมมาปะทะที่หน้า แล้วร่างกายก็สะดุ้งเมื่อเห็นภาพพื้นในระยะใกล้ แล้วทุกอย่างก็มืดไปหมด แต่ผมไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อยแต่กลับรู้สึกว่ากำลังนอนอยู่พื้นคอนกรีตเรียบ ๆ เย็น ๆ เฉย 

              พอผมรวบรวมสติได้ ก็เปิดเปลือกตาขึ้น ผมพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเก้าอี้หินขัดหน้าอาคารเรียน พอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาก็พบว่า ตอนนี้เย็นมากแล้ว เมื่อมองไปรอบ ๆ ตัว ก็ไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลย ทุกคนคงกลับบ้านไปหมดแล้ว ผมจึงรวบรวมกำลังลุกขึ้น เพื่อเดินกลับบ้าน พอผ่านหน้าประตูโรงเรียน ผมก็ยกมือไหว้ขอบคุณลุงยามที่ยังเปิดประตูไว้ให้ แต่ดูเหมือนแกจะไม่สนใจผมเลย

              พอผมเดินกลับมาถึงบ้านก็รีบขึ้นห้องแล้วโยนกระเป๋านักเรียนทิ้ง เสียงกระเป๋ากระแทกพื้นคงดังจนทำให้แม่หงุดหงิด แต่ช่างเถอะ แม่หงุดหงิดเสมอแหละที่เห็นผม พอผมจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงพลันก็มีคนเปิดประตูเข้ามา ผมเห็นน้องสาวทำหน้าตื่นพร้อมกับตะโกนว่า

     "แม่ ใครก็ไม่รู้เข้ามาอยู่ในห้องพี่"
    "เดี๋ยวก่อนนิด นี่พี่เอง พี่หนึ่งไง" ผมตอบ
    "พี่หนึ่ง มีไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้มาอยู่ในห้องพี่" นิดตะโกนอีก
    แล้วครู่หนึ่งก็มีเด็กหนุ่มวิ่งตามเข้ามาพร้อมไม้เบสบอล
    "แกเป็นใครวะ มาอ้างตัวว่าเป็นฉัน" เด็กหนุ่มตวาด

              ผมมึนไปหมดไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอมองไปที่ปฏิทินบนกำแพง ผมก็ยิ่งตกใจมากขึ้น
     
    "วันนี้คือวันที่  22 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 หรือ " ผมถาม
    "เออสิวะ แปลกตรงไหน"
    นี่ผมข้ามเวลามาจากปี พ.ศ. 2560 ได้ยังไง
    "ออกไปเดี๋ยวนี้นะ" เสียงผู้สูงวัยคนหนึ่งดังขึ้น 

              พ่อของผมกำลังชี้ปลายปืนพกของเขามาที่ผม ผมไม่มีทางเลือกเลยยกมือทั้สองขึ้นแล้ววิ่งหลบออกมาจากบ้านตัวเองพลางนึกไปว่า "นี่มันเกิดอะไรขึ้น" จากนั้นผมจึงเดินไปที่บ้านของยศ เพื่อนสนิท

    "ยศ ไอ้ยศ" ผมทักมันขณะที่มันกำลังจะเดินเข้าบ้าน
    "มึงเป็นใครวะ กูไม่รู้จัก" ไอ้ยศตอบ
    "กูหนึ่งไง เพื่อนที่นั่งเรียนข้างมึงเมื่อสามปีก่อน"
    "กูไม่มีเพื่อนชื่อหนึ่ง มึงบ้าแล้ว ไปไกล ๆ กูอยู่แถวนี้มาตั้งแต่เกิด ยังไม่เคยเห็นหน้ามึงเลยด้วยซ้ำ" ไอ้ยศพูดแล้วเดินเข้าไปในบ้านแล้วปิดประตูใส่หน้าผม
    "นี่มันอะไรกันเนี่ย"
    วันนั้นผมเดินถามคนในซอยทั้งซอย ว่าใครรู้จักผมบ้าง แต่ไม่มีเลย 
              
              ผมตั้งใจเดินไปที่สถานีตำรวจเพื่อหาทางยืนยันตัวตนของผม ระหว่างทางนั้นเอง ผมเห็นแหวน เด็กหญิงชั้นป. 2 ที่อยู่ข้างบ้านผมกำลังเดินข้ามทางมาลาย และตอนนั้นเองรถกระบะคันหนึ่งแล่นมาด้วยความรวดเร็วไม่มีที่ท่าว่าจะเบรค ผมจึงรีบโดดเข้าคว้าตัวเธอไว้ก่อนที่รถจะแล่นผ่านหน้าเธอไปอย่างฉิวเฉียด

    "ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ" น้าแก้ว แม่ของแหวนรีบวิ่งมาอุ้มตัวลูกสาวไว้
    "น้าแก้ว นี่ผมเอง หนึ่งไง" ผมกล่าว
    "ขอโทษค่ะ น้าไม่รู้จักหนูเลย แต่ยังไงก็ขอบคุณนะคะ" น้าแก้วพูดกับผมแล้วอุ้มลูกสาวเดินจากไป
              
              ตอนนี้ผมกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับทุกคนไปเสียแล้ว ไม่มีใครรู้จักผม แต่ ใช่ ผมยังมีหลักฐานยืนยันตัวตนอย่างบัตรประชาชน ผมรีบควักกระเป๋าสตางค์ออกมา แล้วค้นหาบัตรประชาชนที่อยู่ข้างใน พอเอามาดูผมกลับพบว่า ชื่อและที่อยู่ของผมเปลี่ยนไป ผมจำได้ว่าผมชื่อ เอกชัย แสงสด ไม่ใช่ อำนาจ วุฒิไกร ผมอยู่กรุงเทพ ไม่ได้อยู่สงขลา นี่มันอะไรเนี่ย ผมตัดสินใจไปที่สถานีตำรวจ ขอลงบันทึกประจำวันกับร้อยเวร พอผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมร้อยเวรก็ทำท่าแปลก ๆ เขาบอกให้ผมนั่งรอ แต่สุดท้าย ผมไม่คิดเลยว่าเขาจะเรียกรถพยาบาลมารับตัวผมไปส่งสถานบำบัดทางจิตเวช ผมพยายามอธิบายให้หมอฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม แต่หมอก็ไม่เชื่อ ผมหงุดหงิดจนสติแตก พวกเขาจับผมมัดฉีดยาให้ผมจนหลับ ผมทำอะไรไม่ได้อีก นอกจากยอมรับตัวตนใหม่ของตัวเอง

    "ลองไปโดดอีกครั้งสิ" เสียงคนไข้จิตเวชคนหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ผมจะวูบหมดสติไป 

              พอผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ผมมีสติขึ้นมาก เขาก็ปล่อยผมออกมาจากโรงพยาบาล ผมถามเขาว่าเขารู้อะไรเกี่ยวกับผมบ้าง เจ้าหน้าที่ได้แต่บอกว่า เขาก็รู้เท่าที่ผมรู้ ผมจึงตัดสินใจไปที่ดาดฟ้าอาคารเรียนของวิทยาลัยอีกครั้งผมไม่ลังเลเลยที่จะโดดลงมา แล้วทุกอย่างเหมือนภาพซ้ำ ผมตื่นขึ้นบนเก้าอี้หินขัดหน้าอาคารเรียนที่เดิมอีกแล้ว ผมรีบวิ่งไปที่ป้อมยามแล้วถามว่าวันนี้วันที่เท่าไหร่ปีอะไร ลุงยามทำหน้าแปลกใจ แล้วตอบว่า 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 ผมรีบควักบัตรประชาชนออกมาดูอีกแล้วพบว่า 

    ผมชื่อ 
    "อธิษฐาน เป็นจริง"

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in