เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกนักอยากเขียนSooth Suwansakornkul
เอกภาวะยามค่ำคืน
  • คืนหนึ่ง ผมรู้สึกแปลก ๆ
    เหมือนกับมีใครบางคนกำลังเรียกชื่อผมซ้ำ ๆ อยู่ในหัว
    อยากบอกว่า ผมเคยเป็นแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว
    และผมก็ไม่รู้หรอก ว่าใครเป็นคนเรียก
    บางขณะที่ได้ยินเสียงในหัว
    ผมก็อยู่ท่ามกลางฝูงชนเสียด้วย
    เจ้าของเสียงที่พูดคุยกับผมในหัว มีหลากหลายคน
    ทั้งที่รู้จักโดยตรง โดยอ้อม และบางคนก็ไม่เปิดเผยตัว
    ผมเคยบอกหมอ ว่าผมคุยกับใครก็ไม่รู้ในหัวตัวเอง
    หมอบอกว่า ผมอาจมีอาการหูแว่ว
    ที่เกิดจากความผิดปกติของสมดุลเคมีในสมอง
    แต่ผมไม่กล้าเล่าเนื้อหาที่ผมพูดคุยกับเสียงปริศนาเหล่านั้นให้หมอฟัง
    เพราะมันแปลก เกินที่คนปกติจะเชื่อว่าเป็นจริง
    เอาเป็นว่า ผมจะลองเล่าให้คุณฟัง
    คุณจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่
    .....
    คืนนั้น มีเสียงวี้ด ดังขึ้นในหัวของผม
    มันปลุกผมให้ตื่นจากอาการหลับลึก
    ตอนแรกผมก็นึกว่าเป็นความฝัน
    แต่พอลืมตา เสียงนั่นก็ยังอยู่
    ตอนนั้นผมอยู่คนเดียวในห้อง
    และไม่กล้าไปถามใครว่าได้ยินเสียงแบบที่ผมได้ยินหรือเปล่า
    .....
    สิบเก้า แปด เจ็ด หก ห้า...
    สี่ สาม สอง หนึ่ง... ศูนย์
    เสียงนับถอยหลังจากสิบมาถึงศูนย์ดังขึ้น
    ซิงโครไนเซชั่น กำลังปรับคลื่นความถี่
    จากเสียงวี้ด กลายเป็นเสียงคนพูด
    จักรวาลกำลังเข้าสู่ภาวะเอกฐาน ซิงกูลาริตี้
    บรรยากาศรอบตัวผมเงียบสงัด
    มีเพียงเสียงปริศนา ที่ยังพูดอยู่
    "ยานอวกาศเรากำลังจะขึ้น เรากำลังอพยพสู่ดาวดวงใหม่
    เราต้องการความช่วยเหลือ" เสียงปริศนากล่าว
    .....
    ผมเงียบ และรอฟังว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
    "เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหมือนอยู่ห่างไกลจากคุณมาก
    แต่แท้จริงมันก็แค่ไม่กี่ช่วงความถี่และช่วงคลื่น เราสื่อสารกับคุณด้วยคลื่นความถี่ที่ต่ำมาก
    จนพวกคุณไม่รู้สึก มีแค่เพียงคุณและคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นที่รับรู้ได้" เสียงปริศนานั่นพูดในหัวผม
    .....
    อีกสักครู่เราจะแปลงรูปแบบการสื่อสารด้วยเสียงเป็นภาพให้คุณรับรู้
    เสียงปริศนาเงียบไป แต่แล้วกลับเกิดมโนภาพบางอย่างในหัวผม ผมเห็นภาพอะไรบางอย่างทั้ง ๆ ที่ลืมตาอยู่ ตัวผมกำลังเห็นยานรูปร่างกึ่งรีกึ่งแบนกำลังพุ่งทะยานออกจากดาวอะไรสักดวง
    .....
    "ดาวฤกษ์ศูนย์กลางระบบดวงดาวของเรากำลังจะสิ้นอายุขัย เราจึงต้องอพยพ"
    ผมเริ่มสงสัยว่า นี่เป็นข้อความเมื่อกี่ปีมาแล้วเนี่ย ตามหลักฟิสิกส์หากระยะทางจากดาวของเขาอยู่ห่างจากโลกมาก คลื่นที่ใช้ใรการสื่อสารต้องใช้เวลาเดินทางนานมาก ๆ แน่ ๆ
    เหมือนเขาจะรู้ว่าผมสงสัย เขาพยายามอธิบายเรื่องคลื่นที่เขาใช้สื่อสารกับผม และอธิบายเรื่องการลัดช่วงเวลาในการเดินทาง
    ผมเข้าใจบางส่วน และไม่เข้าใจบางส่วน
    เขาอธิบายว่าคลื่นที่เขาใช้เป็นคลื่นความถี่ต่ำมาก
    และเดินทางโดยไม่ต้องมีตัวกลาง ส่งตรงเข้าสู่สมองของคนที่มีประสาทสัมผัสอย่างผม ในภาวะที่ช่วงคลื่นตรงกัน ผมก็จะสื่อสารกับพวกเขาได้
    .....
    เขาส่งสัญญาณให้ผมหยิบปากกาขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่าง
    จุด ... จุด จุด ๆ ๆ มือของผมสั่นและขยับขึ้นลงเพื่อบันทึก จุด หลายจุด
    มันคือรหัสมอร์ส นั่นคือสิ่งที่ผมนึกขึ้นได้ ไม่นานนักมือของผมก็ขยับไปเอง แล้วเริ่มเขียนเป็นตัวอักษร คอนเนคติ้ง...
    .....
    ตอนนี้มือของผมขยับเองโดยไม่ต้องสั่งการ มันเขียนวงกลมวงหนึ่ง และจุด ๆ หนึ่งขึ้นมา ผมเขาใจว่าเขากำลังพยายามใช้สมองของผม และใครอีกหลายคนเพื่อช่วยคำนวณค่าการเคลื่อนที่ของบางสิ่ง
    ผมเห็นภาพยานอวกาศทะยานจากดาวไปสู่จุด จากจุดที่เล็ก ๆ ขยายกลายเป็นภาพใหญ่ กลายเป็นดาวอีกดวงหนึ่ง เขากำลังอินทิเกรตสมองของผมเข้ากับระบบบางอย่าง เพื่อใช้ประโยชน์ในการคำนวณวิถีของยานอวกาศ
    .....
    ในที่สุดยานอวกาศกึ่งรีกึ่งแบนก็พุ่งเข้าสู่วงโคจรดวงดาวดวงใหม่
    "การลงจอดปลอดภัย ขอบคุณ อีกไม่นานเราจะพาคุณออกจากภาวะเอกฐาน ระหว่างนี้คุณสามารถติดต่อกับเราได้ จนกว่าจักรวาลจะเข้าสู่ภาวะปกติ"
    .....
    "ภาวะที่เราคุยกันอยู่นี้คืออะไร" ผมตั้งคำถาม
    เป็นภาวะเสมือนจักรวาลหยุดนิ่ง เมื่อเราอ้างอิงกรอบเวลาที่ตรงกัน ตำแหน่งต่าง ๆ ทีเริ่มจากเวลาเป็นศูนย์ถือเป็นตำแหน่งอ้างอิงเริ่มต้น เมื่อทั้งจักรวาลเริ่มนับเวลาที่หนึ่งพร้อมกัน ทุกอย่างก็จะเริ่มกระบวนการต่อไปเรื่อย ๆ ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งดูเหมือนไร้ระเบียบ ภาวะที่เราสื่อสารกันอยู่นี้ถือว่าเป็นภาวะที่ผู้อพยพร้องขอ เพราะดาวฤกษ์ศูนย์กลางของระบบ ระบบหนึ่งอันไกลโพ้นกำลังหมดอายุขัย พวกเราเลยตัดสินใจเริ่มต้นช่วงเวลาใหม่พร้อม ๆ กัน
    .....
    โอเค เอาเป็นว่า มีมนุษย์ต่างดาวอยู่จริงสินะ ผมสรุป
    แล้วตกลงทำไมต้องเป็นผมล่ะ ผมมีอะไรดีกว่าคนอื่นหรือไง ถึงต้องเลือกผมมาเป็นอะไรแบบนี้ แน่นนอนผมเคยประสบเคราะห์กรรมแปลก ๆ ในอดีตมา แต่พอเจอเรื่องแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นคนบ้า
    .....
    สัญญาณบางอย่างบอกผมว่าให้หันไปที่หน้าปัดนาฬิกาบนผนังห้อง เขาบอกให้ผมเริ่มนับถอยหลัง จาก หกสิบ ไปศูนย์ มันแปลกตรงที่เข็มวินาทีนาฬิกาไม่ขยับแฮะ โอเค อาจเป็นไปได้ที่ถ่านมันจะหมด แต่ ๆ ๆ พอนับถึงสศูนย์นาฬิกาก็คืนชีพ เข็มวินาทีกระดิกเดินต่อ โอ นี่มันอะไรกันฟะเนี่ย
    .....
    กำลังลดระดับการติดต่อ... พอได้ยินคำนี้ ผมก็รู้สึกวูบ ๆ คล้ายจะหมดเรี่ยวหมดแรง
    อยู่ในระยะรหว่างการเข้าสู่ภาวะปกติ...
    แน่นอนมันยังไม่จบแค่นี้
    .....
    ซิมโฟเซียม...
    X
    by Counterflix

    ซิมโฟเซียม ผมเรียกภาวะนั้นว่าซิมโฟเซียม คือ ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นกล้องบันทึกภาพและเสียง ตั้งอยู่ท่ามกลางที่ประชุมที่ไร้ขนาดกว้างยาวและลึก
    ผมรู้สึกได้ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งอยู่ในที่นั้น พวกเขาคุยกันเรื่องกำหนดเวลาต่าง ๆ ระบบปฏิทิน และเส้นเวลาในอนาคต
    .....
    ใช่พวกเขากำลังวางเส้นเวลาคร่าว ๆ ไว้สำหรับอนาคตนั่นแหละ
    ผมได้รับอนุญาตเป็นเพียงแค่ผู้สังเกตการณ์ในซิมโฟเซียม
    แน่นอน ข้อมูลบางอย่างมันก็ลึกและซับซ้อนเกินกว่าที่ผมจะเข้าใจได้
    .....
    เพื่อไม่ให้เส้นเวลาคลาดเคลื่อน ทุกคนควรบันทึกเวลาอันสำคัญไว้ พวกเขาพูด
    พวกเขาพาผมไต่ไปตามเส้นเวลาที่แตกแขนงไปมากมาย มันคือความน่าจะเป็นของอนาคต เมื่อพบเครื่องหมายอัศเจรีย์บนป้ายสีเหลือง
    นั่นหมายความว่าเป็นเส้นเวลาส่วนบุคคลเป็นเขตหวงห้าม มีเพียงเจ้าของและผู้ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่จะผ่านเข้าไปได้
    .....
    การสื่อสารกำลังลดระดับสู่ระดับปกติ ผมดีดตัวออกจากซิมโฟเซียม สติและความเป็นตัวของตัวเองกลับมาอีกครั้ง ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าสิ่งที่ผมพบเจอนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ลึก ๆ ลงไปในความรู้สึก ผมแอบเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
    .....
    แต่ถ้าผมบอกว่าที่เขียนมาเป็นเรื่องจริง คนอื่นก็คงคิดว่าผมบ้า
    งั้นเอาเป็นว่าผมแต่งมันขึ้นมาก็ได้
    ผมไม่รู้ว่า ยูริ เกลเลอร์ เคยเจอเรื่องแบบนี้ไหม
    แต่... ผมเจอ
    อ่อ ลืมบอกไป ผมงอช้อนแบบเขาไม่ได้นะครับ 555

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in