"พ่อครับ ทำไมเราต้องมีกฎคอยห้ามนั่นห้ามนี่ บังคับให้ต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้"
"เพราะคนเราต้องอยู่ร่วมกันไงลูกกฎทำให้คนเราอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข"
"แล้วจะเกิดอะไรขึ้นล่ะครับถ้าคนไม่รักษากฎ"
"คนๆ นั้น ก็จะถูกลงโทษ หรือขับไล่ออกไปเพราะไม่อาจอยู่ร่วมกับคนอื่นได้"
"แต่พ่อครับทุกวันนี้เราก็ไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขนะครับ แล้วเจ้ากฎที่ว่านั่นใช้ได้จริงหรือ ผมว่ากฎน่ะมีไว้บังคับใช้กับคนที่เคารพมันคนที่ไม่เคารพกฎยังไงก็บังคับใช้กับพวกเขาไม่ได้ เหมือนกับว่าการใช้อำนาจลงโทษต่างหากที่จะทำให้สังคมเกิดความสงบสุข"
"นั่นก็จริงอยู่ แต่รู้ไหมลูกมีกฎอย่างหนึ่งที่ทุกคนหนีไม่พ้น ไม่ว่าจะเคารพหรือไม่เคารพมัน"
"กฎอะไรครับ"
"กฎแห่งกรรมไงลูก ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว"
"พ่อเชื่อหรือว่ากฎแห่งกรรมมีจริงผมเห็นคนไม่ดีได้ดีมีถมไป ผมว่ากฎแห่งกรรมไม่มีจริงหรอก"
"กฎแห่งกรรมเป็นกฎของธรรมชาติเป็นความจริงแท้"
"ในความจริงแท้ มีกฎด้วยเหรอครับพ่อผมคิดว่ากฎคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ในวันที่มนุษย์ยังไม่ถือกำเนิดขึ้นก็ไม่เห็นจำเป็นต้องมีกฎ"
"ถ้าลูกมองในมุมมองของมนุษย์ล่ะก็ใช่"
"พ่อหมายความว่ามีพระเจ้า"
"ไม่ถึงขนาดนั้นไม่ต้องมีพระเจ้าก็มีกฎ พระเจ้าเองก็อาจอยู่ภายใต้กฎนี้ พระเจ้าเห็นถึงสิ่งนี้พระองค์ถึงเป็นพระเจ้าพ่อเชื่ออย่างนั้น"
"มีกฎที่ไม่ยกเว้นแม้แต่พระเจ้าด้วย"
"ใช่"
"แต่... ไม่ใช่พระเจ้าหรือครับที่เป็นคนสร้างกฎ"
"เมื่อไหร่ที่คนสร้างกฎไม่ทำตามกฎเมื่อนั้นก็ไม่มีกฎแล้ว จะมีวันที่พระเจ้าของลูกจะไม่ทำตามกฎที่พระองค์สร้างไหมล่ะ"
"คงไม่มีครับแล้วคนที่ไม่เชื่อในกฎ ไม่เชื่อในพระเจ้าจะเป็นอย่างไรครับ"
"แม้พวกเขาไม่เชื่อก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะอยู่เหนือกฎ"
"แล้วผมจะเขียนเรื่องวันไร้กฎได้อย่างไรครับพ่อ"
"ก็เขียนไปสิ ว่าวันนั้นไม่มีจริง"
"พ่อครับแต่ผมมีงานที่จะต้องเขียนส่งนะครับ ถ้าบ้านเมืองเราไร้กฎ เราจะทำอะไรมันเป็นจิตนาการครับพ่อ"
"เอางั้นหรือ ถ้ามีวันไร้กฎพ่อก็ทำทุกอย่างอย่างที่ทำทุกวันไง"
"พ่อนี่ไร้จินตนาการจริง ๆ พ่อช่วยคิดมากกว่านี้หน่อยสิ"
"แล้วมันมีกฎห้ามคนทำทุกอย่างอย่างที่ทำทุกวันในวันไร้กฎด้วยหรือ อ่อ ที่เราคุยกันก็ยาวพอที่ลูกจะเขียนแล้วนะ เขียนไปตามนี้แหละ"
เช้าวันต่อผมตื่นมาก็พบว่าตัวเองลอยเท้งเต้งอยู่บนฟ้า พอมองไปรอบ ๆ ผมก็พบคนอีกหลายคนลอยอยู่เหมือนกัน ทั้งหมาทั้งแมว ต้นไม้ และสิ่งของต่าง ๆ
"คุณนี่มันเกิดอะไรขึ้น"หญิงสาวคนหนึ่งที่ลอยอยู่ใกล้ ๆ ถามผม ผมจำได้ว่าเธอคือเพื่อนบ้านที่อยู่บ้านถัดจากผมไปสองหลัง
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ดูเหมือนแรงโน้มถ่วงของโลกกำลังลดน้อยลง"
"คุณแน่ใจหรือ"หญิงสาวถามต่อ
"ผมก็ยังไม่แน่ใจนักอาจจะต้องขอเวลาคิดสักหน่อย"
"ฉันได้ยินว่าคุณเป็นนักวิทยาศาสตร์คุณไม่รู้หรือ"
"ผมขอเวลาคิดอีกสักหน่อย"
"คุณเคยได้ยินเรื่องวันไร้กฎไหม" ผู้หญิงคนเดิมตะโกนขึ้น
"ไม่อ่ะ ผมไม่เคยได้ยิน" ผมตอบ
"มีข่าวลือว่า วันไร้กฎคือวันนี้ เป็นวันที่กฎต่าง ๆ จะเริ่มหายไปทีละข้อ จนหมด" หญิงคนเดิมกล่าว
"หรือกฎของแรงโน้มถ่วงกำลังหายไป แต่บ้าจริง เรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้ยังไง ผมขอเวลาคิดก่อนนะ"
"ไม่มีเวลาคิดแล้วโยมอาตมาบิณฑบาตอยู่ดี ๆ ก็ลอยขึ้นมาเฉย ๆ ตอนนี้ผู้คนวุ่นวายไปหมดแล้ว"พระสงฆ์รูปหนึ่งกอดบาตรแล้วม้วนตัวตีลังกาเข้ามาพูดกับผม
"ตอนนี้กี่โมงแล้ว" ผมถามเพื่อนบ้านหญิง
"แปดโมงเช้า" เธอตอบขณะที่พวกเรากำลังลอยขึ้นฟ้าไปเรื่อย ๆ
"ต้องรอจนกว่าวันนี้จะผ่านไปสินะ" ผมกล่าว
"ตอนแรกอาตมาก็คิดอย่างนี้แต่ดวงอาทิตย์ไม่ขยับไปไหนเลยตั้งนานแล้ว" หลวงพี่ปล่อยบาตรแล้วชี้ให้ผมดูดวงอาทิตย์
"ดูท่ากฎของกาลเวลาก็จะหายไปด้วย" หลวงพี่สำทับ
"ถ้างั้นวันนี้ก็ไม่มีทางผ่านไปได้แล้วพวกเราจะทำยังไงดี" เสียงของผมเริ่มสั่น
"พวกคุณเชื่อในพระเจ้าไหม ฉันว่าวันนี้คงเป็นวันพิพากษาแน่ ๆ " เพื่อนบ้านของผมอีกคนหนึ่งที่ลอยตามมาพูดพลางยกมือข้างหนึ่งวาดรูปไม้กางเขนไปด้วย
แต่ไม่ทันไรก็มีตัวอะไรไม่รู้ลอยพุ่งตามขึ้นมาติด ๆ
"ซาตาน!" พวกเราอุทานพร้อมกัน ไม่มีใครไม่รู้จักมัน แม้แต่หลวงพี่ที่ลอยอยู่
พวกเรารู้สึกอกสั่นขวัญแขวนแต่พอพิจารณาท่าทีของมัน พวกเราก็หายกลัว เพราะมันก็ลอยเท้งเต้งทำอะไรไม่ได้ไม่ต่างจากพวกเรา
"พวกนายรู้ไหมตอนนี้กฎในพระคัมภีร์ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีการแบ่งแยกว่าใครเป็นพระเจ้า ปิศาจ และมนุษย์" ซาตานพูดด้วยเสียงแหบแห้ง
พอจ้าวปีศาจพูดจบพวกเราก็หลุดออกมาอยู่ในห้วงอวกาศ
"แปลกจริง ทำไมพวกเราไม่ตายทั้ง ๆ ที่ไม่มีอากาศหายใจ" ผมเอ่ยขึ้น
"กฎแห่งการเวียนว่ายตายเกิดคงไม่มีแล้ว" หลวงพี่ส่งโทรจิตมาหาผม
"ป่านนี้กฎแห่งกรรมก็คงไม่เหลือ" ซาตานหัวเราะ มันแอบฟังโทรจิตของพวกเรา
หลวงพี่โกรธมากท่านพยายามดีดตัวเข้าไปกระชากเขาของมัน แต่ก็ทำไม่ได้เพราะในอวกาศไม่มีแรงเสียดทาน
"ไม่อยากเชื่อว่าเราต้องอยู่อย่างนี้ตลอดไป" เพื่อนบ้านหญิงกล่าวผ่านทางโทรจิตของเธอ
"ดูโน่น! โลกกำลังจะหลุดออกนอกระบบสุริยะ" ผมตะโกนผ่านโทรจิตของผม
"โอ้! พระเจ้า!" เพื่อนบ้านอีกคนหนึ่งร้องขึ้นผ่านโทรจิตเช่นกัน
"ฉันอยู่ทางนี้! ช่วยด้วย!" พวกเรารู้สึกเหมือนใครคนหนึ่งร้องให้ช่วยผ่านโทรจิตของพวกเราทั้งหมด
‘แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดีให้กฎกลับมา’ ผมคิด
"อา...ใช่แล้ว! ผมรู้แล้วว่าจะทำให้กฎกลับมาได้อย่างไร" ผมตะโกนลั่นด้วยโทรจิต
"แล้วพวกเราต้องทำยังไง" พวกคนที่เหลือถาม
"ถ้าเราเชื่อในกฎและเคารพกฎ กฎทุกอย่างอาจจะค่อย ๆ กลับมา" ผมตั้งข้อสังเกต
"ฉันอยู่ทางนี้! ช่วยด้วย!" เสียง ๆ เดิมร้องซ้ำ
"ฉันคือพระเจ้า ฉันกำลังจะหายไป" คนที่อยู่ไกลออกไปตะโกนอีก พวกเราเห็นว่าร่างของเขากำลังเลือนรางลง
และร่างของพวกเราก็เริ่มเลือนรางลงเช่นกันแน่นอน รวมทั้งเขา และซาตานด้วย
"พระเจ้า พระองค์จะไม่หายไปฉันเชื่อในพระองค์" เพื่อนบ้านผู้เปี่ยมศรัทธาวาดมือเป็นรูปไม้กางเขน
"เอาล่ะพวกเธอก็ต้องช่วยกัน เชื่อว่าพระองค์มีอยู่จริง" เธอสำทับ
เมื่อทุกคนมองไปที่พระองค์ ร่างของพระองค์ก็ชัดเจนขึ้น แต่นักวิทยาศาสตร์อย่างผมยังรู้สึกแปลก ๆ ผมไม่สามารถมองเห็นพระองค์ได้ชัดถนัดตา และตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่า ในอวกาศไม่ได้มีแต่พวกเราเสียแล้วแต่ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ได้รับโทรจิตจากพวกเรา บางคนวาดมือไปมาเป็นรูปกางเขนบางคนพนมมือเป็นรูปดอกบัว ผมคิดว่าพวกเขากำลังสวดอธิษฐาน ให้ความเชื่อบางอย่างของพวกเขาเป็นจริง
"หรือว่านี่จะเป็นความฝัน" ผมรีบหยิกตัวเอง
"เจ็บแฮะ นี่ไม่ใช่ฝันแล้ว" ผมอุทาน
"แล้วเธอจะเชื่อในคำของฉันบ้างได้ไหม" ใครสักคนเอ่ยขึ้นจากด้านหลังของผม
"พระพุทธองค์งั้นหรือ" ผมและหลวงพี่อุทานขึ้นทันที ที่เห็นชายคนหนึ่งสวมจีวรปรากฏกายขึ้นตรงหน้า
"กำลังศรัทธาของคนกลุ่มหนึ่งเรียกฉัน ฉันจึงมาปรากฏอีกครั้ง"
สำหรับผมแล้วภาพกายของพระพุทธองค์ก็ยังไม่แจ่มชัดเหมือนกัน
"พระพุทธองค์สภาวะเช่นนี้คืออะไรหรือครับ" ผมถามขึ้น
พระพุทธยิ้มแล้วถามผมกลับมาว่า "แล้วเธอคิดว่าเป็นอะไร"
ขณะผมนิ่งคิด ขณะที่ซาตานถูกพระเจ้าใช้พลังในพระคัมภีร์ขับไล่ไปอยู่ในภพภูมิของมันเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้ก็มีใครอีกคนมาปรากฏตัวอยู่ข้าง ๆ ผม
ผมใช้เวลานึกไม่นานก็จำได้ทันทีว่าชายชราผู้นี้คือศาสดาของลัทธิเต๋า
แล้วคำที่แวบขึ้นมาในหัวผมตอนนั้นก็คือคำว่า Singularity หรือภาวะเอกฐาน นั่นเอง
ภาวะที่ทุกอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถึงจุดนี้แล้ว ผมจะไม่เชื่อก็ไม่ได้
‘แต่การที่จะทำให้ คนที่เชื่อในพระเจ้าเชื่อในพระพุทธ และคนที่เชื่อพระพุทธเชื่อในพระเจ้าด้วย มันจะเป็นไปได้ยังไง แม้ตอนนี้ผมจะเชื่อ แต่คนอื่นล่ะจะเชื่อเหมือนผมไหม’ ผมคิด
พระพุทธยิ้ม แน่ล่ะ ตอนนี้ทุกคนได้ยินสิ่งที่คนอื่นคิดกันหมดนี่นา
แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าผมก็ยิ่งทำให้ผมตื่นใจยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อทวยเทพนานาภูมิภาคปรากฏกายขึ้นแล้วพวกเขาก็ช่วยกันประคองโลกไว้ให้หยุดนิ่ง
"พวกเธอต้องเชื่อพวกเราด้วยไม่เช่นนั้นโลกจะไม่มีทางกลับไปเป็นแบบเดิมได้อีก" ผมรู้สึกว่ามีคนกลุ่มหนึ่งตะโกนเรียก พวกเขาเริ่มมีร่างที่แจ่มชัด ผมจำได้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่คือนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังที่ผมรู้จัก และพวกเขาล้วนเสียชีวิตไปแล้ว
"และสิ่งที่ผมต้องเชื่อในตอนนี้ก็คือ เชื่อในกฎใช่ไหม" ผมตะโกนขึ้น
แล้วศาสดาของลัทธิเต๋ายิ้มแล้วก็หายตัวไป ผมไม่รู้ว่าเขาปรากฏตัวให้ผมเห็นเพื่ออะไรอะไร พอเขาหายวับไป ผมคิดว่าเขาคงหายไปในสิ่งที่เขาเรียกว่าความว่าง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญในตอนนี้ แล้ว เหล่าวิญญาณของนักวิทยาศาสตร์ก็เริ่มพูดคุยกันให้เราได้ยิน
แล้วแสงสว่างวาบหนึ่งก็เกิดขึ้น มันสว่างจนทุกอย่างกลายเป็นสีขาวโพลนไปหมด จนผมต้องหลับตาลง
พอลืมตาขึ้น ก็พบว่าหลุมดำหลายขนาดปรากฏขึ้นหลายแห่งในอวกาศ และนั่นทำให้โลกเคลื่อนเข้าสู่วงโคจรเดิม
แต่แล้วพวกทวยเทพก็เริ่มหายไปทีละองค์
"ทุกอย่างกำลังกลับสู่สภาวะปกติแล้วหรือ" ผมเอ่ย
"สังสารวัฏได้เริ่มหมุนเวียนอีกครั้งแล้ว" พุทธองค์เอ่ย ผมเชื่อว่าตอนนี้บางคนได้ยิน และบางคนก็ไม่ได้ยิน บางคนฟัง และบางคนก็ไม่ฟัง และบางคนเข้าใจ และบางคนก็ไม่เข้าใจ
ผมรีบถามท่านว่า "พระพุทธ ท่านจะจากไปแล้วหรือ"
พระพุทธตอบว่า "เราไม่เคยจากไปไหน เราจะอยู่ในทุก ๆ ที่" พระพุทธตรัสแล้วก็หายไป
"เอาล่ะถึงเวลาที่แต่ละคนต้องไปทำหน้าที่ของตัวเองแล้วนะ" พระผู้เป็นเจ้าตรัส
"แล้วผมจะได้พบพระองค์อีกไหม" ผมถาม
"ฉันจะอยู่กับพวกเธอเสมอ และจะสำแดงตัวเมื่อเราต้องการกันและกัน"
ผมเชื่อว่าคำตอบนี้บางคนได้ยิน บางคนก็ไม่ได้ยิน บางคนฟัง บางคนก็ไม่ฟัง บางคนก็เข้าใจ และบางคนก็ไม่เข้าใจ
ตอนนี้เหลือเพียงพวกเราเหล่ามนุษย์ กับสรรพสิ่งที่เคยลอยขึ้นไป ทุกอย่างค่อย ๆ ลอยต่ำลงมายังพื้นผิวโลกอีกครั้ง
ผมพยายามจ้องมองนาฬิกาที่หล่นลงบนพื้นแล้ว เข็มวินาทีของมันยังไม่กระดิก มันยังหยุดนิ่ง
"พวกเราค้นพบความลับแล้ว และเราคงต้องลากันตรงนี้เอง เราจะคืนเวลาให้กับพวกเธอ" เสียงคนกลุ่มหนึ่งพูดขึ้น พวกเขาคือวิญญาณของพวกนักวิทยาศาสตร์ผู้ล่วงลับทั้งหลาย แล้วร่างของพวกเขาก็เลือนหายไป
ทันทีที่ผมถึงพื้น ผมเห็นเข็มวินาทีก็กระดิกเดินต่อ
"พวกคุณเชื่อเรื่องนี้ไหม" ผมหันมาถามคนที่อยู่รอบข้าง
"เรื่องนี้มันเหลือจะเชื่อจริง ๆ " พวกเราพูดขึ้นพร้อมกัน
และแล้วสมุดบันทึกเล่มหนึ่งก็หล่นลงมาตรงหน้าของผม พอผมหยิบมันขึ้นมาอ่านก็ตกใจเหมือนโดนไฟฟ้าช๊อต
‘นี่มันลายมือของลูกผมนี่นา และนี่คือเรียงความเรื่องวันไร้กฎของเขานี่นา’
และเรื่องที่ผมประสบมาเมื่อครู่ เหมือนสิ่งที่เขียนอยู่ในสมุดเล่มนี้เปี๊ยบเลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in