“แอนตาร์กติก!?” ชเว มินกิโน้มตัวจากพนักเก้าอี้ทันทีจนแทบจะเกยโต๊ะเลิกคิ้วขึ้นสูงและดวงตาเบิกกว้างขณะทวนคำจากคนรักที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารฝั่งตรงข้าม ล็อบสเตอร์ในจานเขาไร้รสชาติ... ความร้อนกำลังเข้ามาเยือนหัวสมอง มอบความอบอุ่นที่ไม่จำเป็นท่ามกลางอุณหภูมิหนาวเย็นจากลมกลางคืน และบรรยากาศรอบข้าง ส่วนคนฝั่งตรงข้ามก็ไม่แน่ใจว่าไม่รู้ร้อนรู้หนาวหรือแกล้งไม่เข้าใจเพื่อเอาตัวรอดกันแน่ ควักอาร่อนตอบรับอย่างไหลลื่นและพูดถึงรายละเอียดตั่งต่างอย่างกับเตรียมพรีเซนต์บก.
“ครับ” “เดี๋ยวเราไป..” “กระท่อมเอสกิโม” “สุนัขลากเลื่อน” “หิมะไกลสุดลูกหูลูกตา” “เพนกวินกับแมวน้ำ”
ถ้อยคำผ่านหูเขาครบทุกพยางค์ แต่สมองเขาจับได้ทันแค่เพียงบางประโยคที่ไม่น่าอภิรมย์ รังสีอันตรายแผ่ออกจากดวงตากลมโตที่หรี่ลงเรื่อยๆตามความหงุดหงิด
“กินข้าวก่อน” เขาตัดกลางจังหวะพักดื่มไวน์ของอาร่อน หลังจากฟังมาคร่าวๆ
มันเริ่มจากที่หลังเลิกงานวันนี่ควัก อาร่อนแฟนที่น่ารักจนถึงวินาทีที่ชวนเขาออกมากินข้าวเย็นนอกบ้านจะพูดถึงงานต่อไปว่ามีโปรเจ็คที่จะไปเขียนบทความประกอบหนังสือให้ เจย์ เพื่อนช่างถ่ายภาพอเมริกัน-เอเชี่ยนของอาร่อนที่เจอกันตอนทริปไปไอร์แลนด์เมื่อปีที่แล้ว
แน่นอน เขาไม่ซีเรียสอะไรเลยถ้าอาร่อนจะไปทำงานไกล อย่างมากที่สุดก็เป็นห่วง ตั้งแต่เจ้าตัวออกจากงานผู้ประกาศข่าวเศรษฐกิจให้สื่อใหญ่แห่งหนึ่งในนิวยอกร์กมาเป็นฟรีแลนซ์รับเขียนบทความเล็กน้อยไปจนบทความท่องเที่ยวลงเพจบ้างลงนิตยาสารบ้าง ทริปแรกๆยังไม่ไกลจากNYไปมาก จนพอถึงจุดหนึ่งก็มีสำนักพิมพ์ให้ความสนใจแล้วก็ขอตีพิมพ์บทความหลายๆชิ้นออกมาเป็นหนังสือ นั่นทำให้ทริปต่อๆมาขยับออกห่างจากเดิมไกลโข แล้วก็ข้ามทวีปไปเลย...เขาหมายถึงข้ามไปเลยหลายๆรอบ วนเก็บตกบ้าง
และเป็นเขาก่อนที่ทนเห็นสภาพซอมบี้ของอีกฝ่ายที่ปล่อยตัวเองโทรมหนวดเคราครึ้มจนดูไม่ได้ผ่านวิดีโอคอลในทริปแอฟริกาใต้ ยิ่งพอถามไปถึงการใช้ชีวิตต่างเมืองก็แทบจะถอนหายใจ ใครก็รู้ควัก อาร่อนดูแลเขาดีที่สุดตอนอยู่ด้วยกัน แต่พอออกลุยเดี่ยวตะลอนไปไหนๆก็กลายเป็นลุง30กว่าที่อีกนิดก็เหมือนโฮมเลส นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ทริปอินเดียครั้งแรกในชีวิตของเขาจากการตามไปเช็คให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ลืมซักกางเกงที่ใส่ซ้ำเกิน5วัน โกนหนวดทุกๆ3วัน หรือเลิกกินอาหารที่หมดอายุมาสี่ห้าวันเพราะเสียดาย แล้วมันก็มีทริปที่2-3-4... มินกิไม่สมารถใช้นิ้วทั้งหมดนับได้ว่ากี่ครั้งแล้วที่หอบหิ้วร่างของตัวเองไปตามที่ต่างๆกับแฟนที่เริ่มจะไม่หนุ่มแล้ว เขาแน่ใจแล้วแหล่ะว่า ควัก อาร่อนจะสามารถไปออกทริปสุดดิบอย่างพวกตามลุ่มน้ำอะเมซอนหรือวิ่งหนีจรเข้ได้ทั้งๆที่ยังสามารถรักษาสภาพดีๆไว้ได้ด้วยตัวเองพักนึงแล้ว.. หมายถึงประมาณ2ปีหน่ะนะ
ถึงอย่างนั้นพอพูดถึงทริปนี้เขาก็อดหัวเสียไม่ได้จริงๆ ควัก อาร่อนทำเกินไปจริงๆ
แพขนตายาวกลับกระพริบถี่รัวเพื่อไล่มวลของความน้อยใจให้แห้งเหือดไป เขาที่อิ่มก่อนอย่างไม่ต้องสงสัยพูดขึ้นมาบ้าง
“ไม่ไป”
อาร่อนเป็นฝ่ายเลิกคิ้วบ้างขณะกำลัง0กิน มือหนาวางส้อมกับมีดลงหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดปากก่อนจะถาม “ทำไมหล่ะครับ? ไม่ใช่ว่าอยากไปดูแมวน้ำหรอกหรอ”
“ใช่”
“ที่มินกิเคยให้พี่ดูในคลิปไง แมวน้ำลายพิณแบบนั้นเลยนะ”
“ไม่อยากดูแล้ว” เขาน่าจะตอบไวและห้วนเกินไปหน่อย
“หงุดหงิดอะไรมาครับ พี่ทำอะไรผิดไปรึเปล่า?” เพราะควักอาร่อนหงอลง...อีกฝ่ายเลื่อมมือมากุมมือเขา หัวแม่โป้งไล้วนเบาๆบนหลังมือเขาอย่างที่ืทำประจำและนุ่มนวล
“เปล่า..” มินกิเลี่ยงสบตา ก็อยากจะใจอ่อนนะแต่ไม่ได้จริงๆ เขาเปิดกระเป๋าข้างตัวออกหยิบกระดาษโง่ๆออกมาสองใบ...จริงๆก็ไม่โง่เท่าไหร่ พึ่งจะรู้สึดว่ามันดูเป็นอย่างนั้นนิดหน่อยเมื่อ15นาทีที่แล้วเอง
“ฮาวายสามวัน...” มือที่กำลังไล้อยู่หยุดลงทันใด ควักอาร่อนช็อก มินกิตีตั๋วไปฮาวาย แลมันอยู่ในระยะพอดีกันกับเขา...ตรงกันกับวันที่สองของการไปฮาวายและวันที่3ของทริปไปขั้วโลกใต้
...วันครบรอบ 7 ปี…
เสียงถอนหายใจหนักๆดังขึ้นพร้อมกับเสียงสูดลมหายใจสั้นๆ ทั้งสองคนจะมองกันและกัน....รอใครสักคนจะพูดก่อน
“วันครบรอบ/วันคร..” ชเวมินกิชนะ แต่สุดท้ายคนพูดก่อนก็แค่เหมือนจะเปิดปากแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
“พี่เปล่าลืมวันครบรอบ” ควักอาร่อนรีบแก้ไขความเข้าใจผิด
แต่น้ำตาเป็นของเสียที่ร่างกายไม่สามารถเรียกกลับคืนได้ ความชุ่มชื้นเปียกไปทั่วใบหน้าขาว...มือติดสากพยามจะเช็ดน้ำตาออกจากแก้มนุ่ม ไร้เสียงใดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากแดงที่เม้มเข้าหากันแน่นจนซีด...เป็นความเงียบที่สะท้อนไปทั้งใจของคนฟัง
“พี่ขอโทษ พี่ไม่รู้ว่าหนูวางแพลนแล้ว” น้ำเสียงอ่อนลงอย่างชัดเจน ควักอาร่อนตัวเล็กลงเรื่อยๆตามเวลา
“...” มินกิสูดน้ำมูก มือเรียวรวบสองมือของอีกฝ่ายออกจากใบหน้าเพื่อหยิบทิชชู่มาเช็ดเอง ความน้อยใจตีวนขึ้นทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจว่ามันน่าน้อยใจไหมนะ
“พี่คิดว่ามินกิน่าจะชอบแมวน้ำ...ก็เลยคิดว่าไปฉลองทีทีเดียวเลยก็น่าจ—“ ประโยคถูกตัดลงเมื่อกระดาษทิชชู่ลอยผ่านข้ามมา ยังไม่ทันจะได้ดุคนเด็กกว่าว่าอย่าขว้างของข้ามโต๊ะอาหาร คนตาแดงก็ทำให้เขาเงียบก่อน
“พี่ไม่ถามเลย...” มือเรียวปิดปากกระแอมไอเล็กน้อยพยามควบคุมน้ำเสียงให้ไม่สั่น
“พี่ไม่ถามเลยว่าเราอยากไปด้วยไหม”
“พี่ขอโทษ..”
“พี่เอาวันครบรอบเราไปทำงาน”
“คือพี่—“
“หยุด! ฟัง! เราเหนื่อย พี่อยากไปแอนตาร์กขนาดนั้นก็ไป เราจะไม่ล่มทริปที่พี่ทำแพลนมาขนาดนั้นแล้วหรอกนะ..”
“มินกิ..”ควักอาร่อนใจชื้นนิดหน่อย
“แต่เราก็จะไปฮาวาย เราก็แพลนมา” เหมือนเขาถูกราหูอม...สถานการ์ณแย่ลงเรื่อยๆ
“งั้นพี่ไปฮาว---“
“ไม่ต้อง พี่ไปทำงานของพี่ เราจะไปพักผ่อนของเรา มันก็แค่ครบรอบ7ปี...” เขามองไม่เห็นหรอกว่าอาร่อนกำลังทำหน้าแบบไหนเพราะม่านน้ำตาทำทุกอย่างเบลอไปหมด แต่บอกได้เลยว่าคงแย่ไม่ต่างจากเขา อาร่อนรีบเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาให้อีกรอบ “หยุดร้องก่อนนะคะคนดี”
“เว..งาน...ทริป...มันเหนื่อย...” คนที่กำลังน้อยใจปล่อยควักอาร่อนซับน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้าไปแต่ก็ยังพั่งพรูสิ่งที่อยู่ในใจออกมาแม้ว่าจะติดสะอื้นจนออกมาไม่เป็นประโยคเลยก็ตาม อันที่จริงอาร่อนได้ยินแค่คำหลังด้วยซ้ำไป สีหน้าเขาแย่ลงเรื่อยๆ เขาต้องทำอะไรสักอย่างแต่ว่าตอนนี้เขาก็หมดคำพูดเหมือนกัน
“We need.. A-a break...” น้ำเสียงแผ่วทำเอาคอร์กี้ตัวเท่าเขื่องหางตกกว่าเดิม
“หมายถึงหนูอยากพักหรอคะ? ไม่ใช่ที่หมายความว่าเลิกใช่ไหม?"
"หนูคะ we won't break up, right?” ประโยคลนๆจนแทบนึกว่าลิ้นพันกันไปแล้วออกมาจากปากของคนที่ใจเย็นเสมอ...ใครบัญญัติให้คำว่าพักเบรกกับเลิกกันมันใกล้กันแค่ตัวเดียวกันวะ
“พี่คิดว่าไง...?” ตาสีอ่อนสบเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่เคยกลมโต ใจคนคิ้วหนาอ่อนแรง...รอบจมูกและดวงตาของคนตัวบางเป็นสีแดงเข้มจนเขาอยากอุ้มกลับบ้านไปโอ๋กันยาวๆตอนนี้เลย
“หนูอยากเลิกกันเลยหรอคะ?” มินกิกลืนก้อนความไร้เหตุผลนั่นลงไปก่อน.. ควักอาร่อนที่มานั่งทำหน้ากำลังจะโดนทิ้งตรงหน้าเขา ดูไม่ได้จริงๆแหล่ะ... ตาเว้าวอนนั้นมันอะไร อย่ามาทำเหมือนจะร้องไห้นะ เขายังไม่พร้อมปลอบสักหน่อย
"ไม่ใช่" มินกิถึงรู้ว่าควรหยุดพูดเพราะน้ำตาจะยิ่งไหล..
ควักอาร่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาก้มหน้าลงมองมือตัวเองชั่วคเพื่อหาว่าจะกู้สถานการณ์กลับมาอย่างไรดี
"เราหยุด คุย ไม่...ห่างกันก่อน ไปพัก ปีนี้ผมจะไปอยู่กับตัวเองก่อน พี่ก็ไปทำงานให้เสร็จ แล้วค่อยเจอกัน" ช้าไป มินกิรีบเก็บตั๋วลงเก็บของลงกระเป๋าก่อนจะรีบขอตัวลุกออกจากโต๊ะ
"ทำงานแล้วก็เอ็นจอยด้วยนะ พี่ไม่ต้องคิดมากก็ได้" แผ่นหลังบางห่อด้วยเสื้อโค้ทสีเทาค่อยๆไกลออกไป คนตัวบางพยายามเมินเฉยเสียงเรียกของเขาที่เต็มไปด้วยความกังวล
"ไม่กลับบ้านเราหรอคะ...แล้วหนูจะไปไหน บอกพี่ได้ไหม? "
"..."
"คุยกับพี่ก่อนเถอะนะ.."
"ค่อยกลับมาคุยกัน ดูแลตัวเองดีๆ"
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่ประตูร้านจะปิดลง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in