―1960
ผมตุกหลุมรักง่ายดายเหลือเกิน
ผู้คนบนท้องถนนต่างหยุดฝีเท้าแล้วแหงนมองไปยังหน้าต่างห้องพักหมายเลข 15 ของโฮเทล ยูนิเวอร์โซ เสียงทรัมเป็ตของชายแปลกหน้าบรรเลงถ้อยคำดึงดูดผู้คนให้หยุดฟังราวต้องมนตร์สะกด ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่าคนเราสามารถตกหลุมรักใครสักคนที่ลมหายใจเข้าออกและเสียงที่ได้ยินผ่านทรัมเป็ตแทนการเปล่งวาจาผ่านเส้นเสียงได้จริงหรือ มันคงฟังดูแปลกในสายตาคนอื่นราวกับตัวโน้ตแปร่ง ๆ ที่ออกจากปลายทรัมเป็ตของมือสมัครเล่น ผมยืนอยู่จนกระทั่งรู้ตัวอีกทีผู้คนรอบกายก็หายไปหมด เหลือเพียงผมกับโน้ตตัวสุดท้ายของชายแปลกหน้า อ้อยอิ่งอยู่เหนือท้องฟ้าเมืองลุคคา ชายในห้องพักหมายเลข 15 วางมือที่กุมทรัมเป็ตลง เขาหันมาสบตาผมก่อนจะปิดหน้าต่างแล้วหายลับไปหลังม่าน
ผมตกหลุมรักรวดเร็วเกินไป
วันรุ่งขึ้นผมกลับไปที่เดิมอีกครั้งโดยอ้างกับเพื่อนร่วมงานว่าตนใช้เส้นทางสายนี้เดินกลับบ้านเป็นประจำ เพื่อนที่รู้ทั้งรู้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยใช้เส้นทางนี้กลับปล่อยให้คำโกหกผ่านเลยไปโดยไม่ซักไซ้ไล่เลียง เมื่อนึกดูแล้วผมช่างโง่งมเสียจริง
อาทิตย์อัสดงส่องกระทบบานหน้าต่างห้องพักหมายเลข 15 ย้อมภายในห้องให้กลายเป็นสีแดงส้ม สักพักชายแปลกหน้าก็เดินมานั่งลงที่เดิมแล้วเริ่มบรรเลงบทเพลงของเขา ใบหน้าคมคายของวัยหนุ่มรับกับแสงอาทิตย์ราวรูปปั้นกรีกที่ถูกขัดเกลาอย่างพิถีพิถัน ปลายนิ้วจรดลงบนทรัมเป็ตราวกับมันถูกสร้างมาเพื่อเป็นอวัยวะชิ้นที่ 33 ท่วงทำนองของเขาคือผลผลิตของแสงแดดยามเช้า สายลมที่ปลอบประโลมในฤดูร้อน ความอบอุ่นของเตาผิงในฤดูหนาว และศิลปะแบบ romanticism
วันนั้นผมยืนดูจนแสงอาทิตย์ลับตาไป
―1961
ผมตกหลุมรักอย่างหนักหน่วงเกินต้านทาน
ช่วงเวลาเกือบ 1 ปีที่หน้าต่างห้องพักหมายเลข 15 ว่างเปล่าลง ผมยังคงเดินผ่านสถานที่นั้นทุกวันด้วยใจที่หวังว่าเขาจะโผล่หน้ามายามตะวันตกดิน แต่เมื่อใบหน้าที่ยื่นออกมานอกหน้าต่างกลับกลายเป็นคนอื่น ผมก็ต้องเดินคอตกกลับไปทุกครา ผมไม่ได้พบเขาอีกเลยหลังจากนั้น ผมไม่รู้ว่าเขาหายไปไหนและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือใคร ผมไม่ตั้งคำถามและไม่พยายามหาคำตอบ เมื่อนึกดูแล้วมันช่างโง่บรม
ขณะนี้ผมยืนอยู่หน้าโรงละคร Teatro del Giglio มันเป็นคืนที่ลมหนาวพัดผ่าน หนุ่มสาวต่างกระชับเสื้อโค้ทเพื่อปกป้องร่างกายจากสายลมยะเยือกที่บาดลึกถึงกระดูก ท่ามกลางความจอแจของผู้คนที่เริงร่าในคืนวันศุกร์หลังเลิกงาน เสียงทรัมเป็ตที่ลอยมากลับชัดเจนยิ่งกว่าเสียงอื่นใด ผมชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับไปพบใบหน้าที่เฝ้าคอยมาเนิ่นนาน ผมสาวเท้าเข้าไปใกล้เพื่อให้เห็นแน่ชัดว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดไป แม้ว่าจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง ผมก็รู้ดีว่าท่วงทำนองที่ได้ยินนี้ไม่มีวันโกหกแน่นอน ริมฝีปากที่สัมผัสเมาท์พีซและน้ำหนักมือที่กดลงไปบนเครื่องทองเหลืองไม่แปรเปลี่ยนไปจากความทรงจำเลยแม้แต่น้อย เมื่อบทเพลงจบลง เขาสบตาผมแล้วพยักหน้าให้ ผมไม่แน่ใจความหมายของท่วงท่านั้น
คืนนั้นผมเฝ้ารอจนหน้าโรงละครว่างเปล่าเพื่อจะถามชื่อเขา
Note:
เชต เบเกอร์ไปเยือนอิตาลีในปี 1960 เขาพำนักที่ Hotel Universo เมือง Lucca ในห้องพักหมายเลข 15 ซึ่งสามารถมองออกไปเห็นโรงละคร Teatro del Giglio สถานที่ที่เขาได้มีโอกาสไปแสดงดนตรีหลายครั้ง เชตชอบนั่งริมขอบหน้าต่างของห้องพักแล้วเล่นทรัมเป็ต ภาพนั้นดึงดูดสายตาของคนเดินถนนให้หยุดมองและชื่นชมในเสียงเพลงเสนาะหู เขาถูกจำคุก 16 เดือนในข้อหาครอบครองยาเสพติดก่อนกลับมาเล่นคอนเสิร์ตที่ Teatro del Giglio อีกครั้ง เชตจากอิตาลีไปในปี 1964 เพื่อกลับไปยังสหรัฐอเมริกา
ห้องพักหมายเลข 15 ใน Hotel Universo กลายเป็นที่นิยมของผู้ที่ชื่นชมเขา มีคนรีเควสต์ขอเข้าพักเป็นจำนวนมากต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
จะรอเรื่องถัดไปค่ะ ชอบสำนวนและลีลาการเขียนของคุณมากๆเลยนะ
มีความหวาน อ่านแล้วยิ้ม (แต่พอลองไปส่องประวัติของคุณเชต เบเกอร์เพิ่ม
กลายเป็นว่าชวนเศร้าซะอย่างนั้น TT)