ความรักของเราสั่นคลอนอยู่บนเกลียวคลื่นและเราทั้งคู่พยายามทรงตัวอยู่บนแผ่นกระดาน
อันตรายของการโต้คลื่นคือเราไม่สามารถควบคุมธรรมชาติได้ คลื่นลมอาจโหมกระหน่ำเมื่อมีพายุฝนและเงียบสงบลงตามฤดูกาล เราฝากความรักไว้กับทิศทางลม ผูกความสัมพันธ์ไว้กับกระแสน้ำ มอบชีวิตไว้ในกำมือเทพแห่งท้องทะเลและหวังว่าคลื่นใต้ฝ่าเท้าจะพาเราไปยังจุดหมาย หากแต่ธรรมชาติไม่อาจคาดเดาได้และบางครั้งเราถูกคลื่นพิโรธม้วนกลืนลงไปใต้มหาสมุทร เรากระเสือกกระสนดิ้นรนหาอากาศแต่สายน้ำเย็นเฉียบกลับแทรกซึมเข้าไปในหลอดลม ในขณะที่เรากำลังกังวลว่าจะจมดิ่งสู่ก้นบึ้งมหาสมุทรอันดำมืด เกลียวคลื่นก็สำรอกเรากลับคืนสู่ผิวน้ำ
ความเจ็บปวดคือหยาดน้ำตาที่เปลี่ยนทะเลเป็นสีแดงและเราทั้งคู่คือผู้ที่มีบาดแผลจากโขดหิน
เราขยาดกลัวเลือดที่หลั่งออกมาจากร่างกายเพราะมันคือหลักฐานว่าของมีคมกำลังกรีดเฉือนลงไปบนผิวหนัง เราเบือนสายตาจากบาดแผลเพราะไม่ต้องการรับรู้ความรุนแรงจากผลของการกระทำนั้น แต่ความเจ็บแสบที่แล่นแปลบเมื่อน้ำทะเลกระฉอกมา หรือยามที่สำลีชุบแอลกอฮอล์สัมผัสโดนกลับบาดลึกเสียยิ่งกว่าขอบแหลมของหินผา เราต่างเจ็บปวดไม่ทางใดก็ทางหนึ่งและเรายอมรับอันตรายของมันตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบเท้าลงบนผืนทราย เราเฝ้าถามตัวเองว่ามันคุ้มกันไหมกับค่ารักษาพยาบาลที่ต้องจ่าย คำตอบถูกเย็บปิดไปพร้อมบาดแผลที่เหลือทิ้งไว้เพียงรอยแผลเป็น
ความทรงจำคือสายลมที่พัดมาปะทะใบหน้าและเราทั้งคู่ถูกอาบด้วยกลิ่นของน้ำทะเล
หมู่นกนางนวลสยายปีกต้านแรงลมอยู่บนท้องฟ้ายามราตรี เราสองคนเป็นเพียงเงาเล็กวูบไหวภายใต้แสงสีเหลืองนวลของดวงจันทร์ สายลมโอนอ่อนโชยกลิ่นเค็มของน้ำทะเลมาสัมผัสปลายจมูก ฉันกางแขนทั้งสองแล้วออกวิ่งไปในค่ำคืน ปลายผมปลิวไหวเป็นอิสระไปตามแรงลม เธอส่ายศีรษะ ส่งเสียงหัวเราะกังวานราวเสียงช้อนกระทบแก้วแล้วออกวิ่งตามหลังมา
เกลียวคลื่นลูกสุดท้ายซัดเข้ามากระทบฝั่ง ลบเลือนภาพของเราไปพร้อมกองปราสาททราย
แต่คุณเพิ่มบาดแผลที่ทิ้งไว้เมื่อความรักหายไปด้วย ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือเปล่านะตรงปราสาททราย น่าจะคล้ายกับรักที่พังทลายง่ายดายไหมนะ
ชอบเวลาอ่านเรื่องที่ทำให้คิดแบบนี้มากเลยค่ะ ยิ่งเห็นการตีความที่แตกต่างยิ่งรู้สึกว่าโลกสามารถกว้างใหญ่ได้มากกว่าเดิมอีก ขอบคุณที่เขียนนะคะ