Theme: Dark Fantasy
Pairing: Chwe Hansol x Boo Seungkwan
Rating: PG15
Warning: เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
◍ ◍ แนะนำให้ฟังเพลง Melting Waltz ของ Abel Korzeniowski
หายใจไม่ออก...
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างยากลำบากคล้ายกับมีบางอย่างถ่วงเปลือกตาทั้งสองข้างไว้ ความมืดรายล้อมไม่เป็นอุปสรรคใด ๆ กับการมองเห็นของเขา เว้นเสียแต่...
มือของใครสักคนกำรอบลำคอของเขาไว้ ค่อย ๆ ออกแรงบีบรัดทีละนิด เสียงคำรามและพละกำลังมหาศาลยามที่เขากลายร่างเป็นอสูรร้ายมิอาจช่วยให้เขาหลุดจากพันธนาการนี้ได้ มือเย็นเยียบอีกข้างของมันลูบไล้แผงอกของเขาอย่างย่ามใจ
ดวงตาสีอำพันเบิกกว้างเมื่อถูกมือน่าขนลุกแทงทะลุหน้าอก เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าตอนนี้มือนั่นกำลังทำสิ่งใด
และนั่นทำให้เขากลัว
“อย่า...” เอ่ยร้องขอขณะคืนร่างเดิมอย่างน่าสมเพช ดวงตาจับจ้องช่วงอกที่ถูกแหวกกระดูกซี่โครงทั้งสองฝั่งออกจากกัน เสียงกระดูกหักลั่นอย่างน่าขนลุกดังก้องในหูของเขา ความเจ็บปวดแล่นริ้วเจียนตาย แต่เขากลับทำได้เพียงนอนนิ่งเท่านั้น
เสียงหัวใจดังเป็นจังหวะเร็วระรัว ค่อย ๆ แผ่วลง... แผ่วลง... ขณะที่รอบกายของเขาสว่างจ้าและพร่างพราว
งดงามทว่าน่าหวั่นหวาด
หัวใจที่หลุดออกจากร่างไปกำลังเต้นตุบในฝ่ามือของใครบางคน
มันแลบลิ้นไล้เลียหัวใจของเขา... ขณะที่ดวงตาสีชาดราวกับอัญมณีงามจับจ้องเขาไม่วางตา
.
.
.
นัยน์ตาสีเฮเซลกวาดมองรอบกายตนอย่างหวาดหวั่นเมื่อนึกถึงความฝันที่พานพบแทบทุกคืน คล้ายกับว่าทุกสิ่งในความฝันกำลังเด่นชัดขึ้นจนน่ากลัว
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นว่าที่อัลฟ่าในอนาคตของเผ่าพันธุ์ แต่นั่นก็ไม่ได้ประกันว่าหมาป่าวัยกำดัดที่ไม่เคยย่างกรายออกนอกอาณาเขตของตนจะยิ่งใหญ่... ในเขตแดนที่มีแต่กลิ่นของอสูรตนอื่นรุนแรงเช่นนี้
นี่เป็นครั้งที่สองที่เขารู้สึกถึงคำว่า ‘กลัว’
อสูรกายในร่างมนุษย์หันไปมองประตูหินบานใหญ่ที่ปิดสนิทเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปในป่ารกชัฏที่ไร้แม้กระทั่งเสียงลมหวีดหวิวอย่างที่ควรจะเป็น
ด้วยเผ่าพันธุ์ของเขามีพิธีกรรมแปลกประหลาด ว่ากันว่านี่คือวิธีดึงศักยภาพของว่าที่อัลฟ่าในอนาคตออกมา เมื่อเบต้าซึ่งเป็นหน่อเนื้อเชื้อไขของอัลฟ่าตนปัจจุบันอายุครบ 20 ปี เขาหรือเธอผู้นั้นต้องพิสูจน์ความแข็งแกร่งและความเป็นผู้นำของตนด้วยวิธีการที่ค่อนข้างโหดร้ายกับอสูรกายผู้ไร้เดียงสาต่อโลกภายนอก
ใช้ชีวิตในป่ามรณะหนึ่งอาทิตย์
เกเบรียล พี่ชายต่างมารดาคือเบต้าอีกตนที่ผ่านการทดสอบนี้ เขาจำวันที่ร่างสมบูรณ์ของแวร์วูล์ฟผู้พี่หลังจากผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในป่ามรณะได้ดี
ดวงตาสีอำพันประกายกร้าวท่ามกลางความมืดที่ไร้ดวงดารา ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีสนิท คราบโลหิตเกรอะกรังตามร่างกายสูงและใบหน้า มิอาจแยกออกมาเป็นของมนุษย์หรืออมนุษย์ตนใดบ้าง
อำนาจที่ทำให้เบต้าหรือแม้กระทั่งอัลฟ่าอย่างบิดาของเขาหวาดหวั่น แผ่ซ่านออกมาจากกายาเปลือยเปล่านั่น
หารู้ไม่ว่าวันนั้นคือสัญญาณบอกเหตุว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงจ่าฝูงในไม่ช้า
และก็เป็นเช่นนั้นจริง
เกเบรียลได้สังหารอัลฟ่าซึ่งเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดในค่ำคืนที่เงียบสงัด กลิ่นกายของอัลฟ่าตนใหม่ทำให้สมาชิกในฝูงตนอื่นยอมศิโรราบอย่างง่ายดาย
เขาไม่เข้าใจความคิดของพี่ชาย พอ ๆ กับไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเฉยเมยนัก ยามสบสายตากับดวงตาเบิกโพลงไร้ซึ่งแววแห่งชีวิตของบิดา
เสียงโหยหวนของชายชราผู้นั้นไม่ต่างกับเหยื่อที่พวกเขาสังหาร
อาจเป็นเพราะวิถีแห่งเดรัจฉาน
และอีกไม่นาน ร่างที่แน่นิ่งบนเบื้องบาทเขาคงจะเป็นผู้ใดมิได้ นอกจากเป็นเกเบรียล
กระทั่งผ่านพ้นงานเฉลิมฉลองวันที่เขาอายุครบ 20 ปี อัลฟ่าหนุ่มพาร่างสูงสง่าเดินเข้ามาหาเขาที่ห้อง
‘เจ้าอยากเป็นอัลฟ่าหรือไม่?’
แม้จะแปลกใจ แต่เขาก็ตอบแทบจะทันทีว่า ‘อยาก’
ดวงตาคมที่ไม่เคยอ่านออกสักครั้งจ้องมองเขาอยู่นาน ก่อนที่จะเอ่ยเสียงแผ่วเบาราวกับกลัวว่าใครจะได้ยินบทสนทนาของเขาทั้งสอง
เสียงขยับไหวของบางอย่างทำให้เขาเบนความสนใจมายังผืนป่ามรณะอีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกในรอบวันที่เขาสัมผัสได้ถึงเสียงอื่นนอกจากลมหายใจของตน พระจันทร์เต็มดวงไม่อาจส่องแสงสว่างได้อย่างที่ควร แต่ก็ยังดีกว่าช่วงกลางวันนัก
ว่ากันว่า ป่ามรณะไม่เคยพานพบกับแสงอาทิตย์ เนื่องจากต้นไม้สูงแผ่กิ่งก้านบดบังผืนดินเบื้องล่าง หากแต่ป่าแห่งมนตรานี้กลับต้อนรับแสงจันทร์ที่ภูติพรายโปรดปรานเท่านั้น
เรื่องเล่าจึงไม่ต่างกับความจริงที่เขาเพิ่งประสบพบเจ—
ดวงตาของหมาป่าหนุ่มเบิกกว้าง
กลิ่นหอมประหลาดคล้ายดอกไม้ป่าลอยมาตามสายลมผะแผ่ว แทนที่จะทำให้อสูรกายผ่อนคลาย กลิ่นหอมหวานนั้นกลับเร่งเร้าให้หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น ประสาทสัมผัสอันเฉียบคมคล้ายจะไร้ประสิทธิภาพในทันที เขาไม่อาจจับจุดได้ว่ากลิ่นหอมเยือกเย็นที่ว่านี้มาจากแห่งใด หรือแม้กระทั่งสุรเสียงที่เกิดขึ้น
หนีไปซะ...
สัญชาตญาณบอกอสูรหนุ่มเช่นนั้น
เขาหลับตาลง พลันเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาสีน้ำตาลไหม้ได้เปลี่ยนเป็นสีอำพันของสัตว์ร้าย เขาเลือกที่จะไม่เชื่อสัญชาตญาณ แต่เชื่อความคิดที่ถูกปลูกฝังจากมารดาครั้นที่นางยังมีชีวิตอยู่
‘เจ้าจักยิ่งใหญ่กว่าใคร ลูกข้า’
ในเมื่อเขาเป็นบุตรชายเพียงหนึ่งเดียวของอัลฟ่าชายและหญิงที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์ จึงไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะต้องเสียตำแหน่งนี้ให้กับเกเบรียลที่มีมารดาเป็นเพียงโอเมก้าชั้นต่ำ
หากเกเบรียลเป็นเบต้าที่รอดกลับมาจากป่ามรณะได้ หากเกเบรียลพิเศษขนาดนั้น
‘เจ้ามั่นใจรึ? น้องข้า’ เขาจำสายตาของเชษฐาต่างมารดาได้ดี ‘...ว่าเจ้าจักทำได้?’
สายตาดูแคลนของอัลฟ่าฝังฝากในความทรงจำของเขา ผลักทุกความผวาหวาดไปจนหมดสิ้น
แต่ยิ่งเขาหาญกล้ามากขึ้นเท่าไร กลิ่นหอมประหลาดยิ่งชัดเจนขึ้น
ก่อนที่จมูกของเขาจะสัมผัสบางอย่าง
กลิ่นคาวเลือด
“ครุ่นคิดบางอย่างอยู่รึ?”
ดวงตาของเขาเบิกกว้างก่อนจะหันไปตามทิศของสุรเสียงที่ไม่คุ้นเคย ผู้มาใหม่อยู่ใกล้กับเขา ใกล้เกินไป ลมหายใจเย็นเยือกชวนขนลุกเป่ารดต้นคอ นั่นทำให้หัวใจของหมาป่าหนุ่มแทบหยุดเต้นเมื่อลมหายใจนั้นคลุ้งคละไปด้วยคาวโลหิต
แวมไพร์
ชายตรงหน้าไม่แม้แต่ขยับกาย เป็นเขาเสียเองที่ถอยห่างออกมาอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มถือดีบนใบหน้าหยิ่งยโสแลดูไม่ตกใจกับกลิ่นของเขาแม้แต่น้อย ทั้งที่สิ่งมีชีวิตปวกเปียกอย่างแวมไพร์ควรกลัวมนุษย์หมาป่าอย่างเขาเสียด้วยซ้ำ
แสงจันทร์เพียงน้อยนิดลอดตามช่องว่างระหว่างกิ่งไม้ ช่างพอดิบพอดีกับตำแหน่งที่ชายหนุ่มในอาภรณ์หรูหรา สีแดงเลือดหมูขลิบดิ้นทองขับผิวไร้สีเลือดของอมนุษย์ตรงหน้าได้เป็นอย่างดี แวมไพร์หนุ่มเสยผมสีเข้มที่ปรกหน้าอย่างเกียจคร้าน ขณะที่ดวงตาคู่สวยจับจ้องเขาไม่วางตา
“คิดจะลองดีอย่างนั้นรึ” เขากดเสียงต่ำ พลางเผยเขี้ยวแหลมคมและกางกรงเล็บพร้อมที่จะบั้นคอหอยของเจ้าของเรือนกายตรงหน้า “ไม่รู้รึไงว่าข้าเป็นใคร”
เสียงหัวเราะกังวานราวจะเย้ยหยันดังขึ้น ดวงตากลมดูรั้นคู่นั้นเป็นประกายคล้ายพึงใจ “รู้สิ...” บางอย่างในนัยน์เนตรงามทำให้เขาหายใจไม่ทั่วท้อง “เจ้าก็แค่เด็กน้อย... เดรัจฉานที่หลงฝูงและโดดเดี่ยว...”
“หึ เดรัจฉานอย่างเจ้ามิได้สูงส่งกว่าข้าเลย แวมไพร์”
แวมไพร์หนุ่มเหยียดยิ้มกับคำพูดของเขา แต่ดวงตาที่จ้องมองเขาในคราแรกเปลี่ยนไป ไม่มีแววเย้ยหยันหรือดูแคลน แต่เป็นความไม่พอใจซึ่งกรุ่นอยู่ในนัยน์ตาสีเข้มอย่างชัดเจน ร่างเล็กกว่าเขาเยื้องย่างอย่างใจเย็น แต่หมาป่าหนุ่มไม่ยอมเช่นนั้น เขาตวัดกรงเล็บหมายจะปลิดชีพอสูรต่างเผ่าพันธุ์ตรงหน้า
“กลัวงั้นรึ?” มือเรียวของแวมไพร์หนุ่มหยุดทุกความตั้งใจของเขา แรงที่กำข้อมือของเขาไม่ต่างจากคีบเหล็กที่กำลังบดกระดูกข้อมือของเขาให้ร้าว จิตสังหารของร่างตรงหน้าแรงกล้าจนเขาแทบหายใจไม่ออก “นึกว่าเดรัจฉานที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอย่างเจ้า จะใจกล้าไม่แพ้ปากเสียอีก”
เขาคำรามกร้าว พยายามสะบัดมือออกจากการเกาะกุม เมื่อเห็นว่าไร้ประโยชน์ เขาจึงเลือกหยิบไพ่ตายใบสุดท้ายออกมา
.
.
.
เสียงลั่นของกระดูกผสานกับเสียงฉีกขาดของอาภรณ์ทำให้เอลเดอร์แวมไพร์ตัดสินใจปล่อยข้อมือที่ขยายใหญ่ไป
ไม่ใช่เพราะหวาดกลัวอย่างที่เดรัจฉานเบื้องหน้าคาดคิด
แต่เพราะเขาสนใจมากต่างหาก
ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นพวกเผ่าพันธุ์สวะเหล่านี้กลายร่าง มนุษย์หมาป่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่โง่เขลา มักคิดว่าตนเองจะเป็นต่อเสมอหากได้เผยร่างกายที่แท้จริงออกมา ดังหมาป่าหนุ่มตรงหน้า แต่ทว่าร่างกายกำยำกว่าเผ่าพันธุ์เดียวกันสักสองถึงสามเท่าเห็นจะได้ ทำให้เขาแปลกใจไม่น้อย นอกจากรูปร่างใหญ่โตที่แสดงถึงพลังอำนาจหากเด็กคนนี้เติบใหญ่เต็มที่แล้ว สิ่งที่สะดุดตาเขาจนไม่อาจละสายตาได้เห็นจะเป็นขนสีขาวพิสุทธิ์ที่ดูนุ่มนวลน่าสัมผัส ไม่หยาบกระด้างเหมือนพวกชั้นต่ำตนอื่น ๆ ที่เขาเคยพานพบ
เสียงคำรามชวนขนหัวลุกกึกก้องไปทั่วป่ามรณะ ไม่มีสัญญาณใดตอบรับกลับมานอกจากความเงียบงันและรอยยิ้มบางที่ปรากฏบนใบหน้าของเขา
แวมไพร์หนุ่มรู้สึกสนุกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ดวงตาสีดำขลับแปรเปลี่ยนเป็นสีชาด เขามองมนุษย์หมาป่าร่างสมบูรณ์ที่กระโจนมายังเขาอย่างรวดเร็ว ทักษะการเคลื่อนไหวสมบูรณ์บ่งบอกว่าร่างใหญ่เบื้องหน้าถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี หมาป่าตนนี้ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้นอกจากว่าที่จ่าฝูงของเผ่าพันธุ์
หากแต่... จะมีโอกาสกลับไปเป็นหรือไม่ นั่นก็อีกเรื่อง
เขาฉวยข้อมือข้างเดิมที่เขาเคยจับไว้ก่อนหน้านั้น ขนาดใหญ่โตของมันไม่ใช่อุปสรรคของแวมไพร์หนุ่มเลยแม้แต่น้อย เขาม้วนตัวไปอยู่ด้านหลังอมนุษย์ร่างสูงใหญ่ เตะขาเบา ๆ เสียทีหนึ่ง หมาป่าผู้น่าเกรงขามในคราแรกจึงไม่ต่างจากลูกหมาตัวน้อยที่พยายามดิ้นพล่านให้หลุดจากมือของเขา
หากแต่ลูกหมาตนนี้ยังไม่สิ้นพยศ แขนอีกข้างที่เป็นอิสระพยายามทุกวิถีทางที่จะสร้างบาดแผลให้แก่ศัตรู รอยเล็บแหลมคมฝากบาดแผลลึกบนใบหน้าหมดจด
“อั่ก!” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของหมาป่าหนุ่มดังขึ้นพร้อม ๆ กับตอนที่เขาตัดสินใจหักแขนข้างหนึ่งของมันไป แวมไพร์หนุ่มแสยะยิ้ม นัยน์เนตรสีโกเมนมองอสูรกายอัปลักษณ์ดิ้นทุรนทุรายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมแพ้กับความเจ็บปวด ค่อย ๆ คืนร่างกลับมาเป็นมนุษย์ที่แสนอ่อนแอดังเดิม
เอลเดอร์แวมไพร์กดร่างสูงใหญ่กว่าตนลงกับพื้น มือเรียวยังมิปล่อยจากแขนปวกเปียกของอีกฝ่าย
“ไม่น่าเชื่อว่าพวกเจ้ายังโง่งมในธรรมเนียมแสนเขลานี้อีก” เขาหัวเราะ ลอบมองเรือนกายกำยำแม้นอยู่ในร่างมนุษย์ ยิ่งเสริมความมั่นใจว่าร่างที่เขากักกันอยู่ตำแหน่งใดของหมาป่าฝูงนี้ “หลงใหลในอำนาจกันเสียขนาดนั้น น่าอดสูสิ้นดี”
“เจ้าเป็นใคร?!”
ใบหน้าอ่อนเยาว์ยกยิ้มกับคำถามนั้น เขามองเสี้ยวใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักของหน่อเนื้อฝั่งตะวันตกอยู่ครู่หนึ่ง นึกขบขันในใจที่อีกฝ่ายพร้อมที่จะฟาดฟันเขาด้วยสายตาแม้จะมีสภาพเหมือนนกปีกหักเช่นนี้
“โชคดีของเจ้าที่วันนี้ข้าอารมณ์ดีนะ หนุ่มน้อย คราวหน้าคราวหลังหากพานพบกันอีก ช่วยรักษากิริยากักขฬะไม่น่ารักนี้ด้วย เพราะข้าอาจไม่ใจดีเช่นนี้อีก”
นัยน์ตาสีอำพันของแวร์วูล์ฟวาวโรจน์ ความโกรธาและจิตสังหารดุดันที่แผ่ออกมาจากร่างสูง เข้นข้นจนอึดอัด เพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง แวมไพร์หนุ่มรู้สึกขลาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดวงตากลมพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาแววตาถือดีของตนไว้เช่นเดิม น่าสมเพชนักที่เขารู้สึกกลัวแวร์วูล์ฟ ซ้ำสิ่งที่เขากลัวกลับเป็นหมาป่าที่อายุน้อยกว่าเกือบสองศตวรรษ
แวมไพร์หนุ่มหัวเราะในลำคอ พลางยกมือปาดบาดแผลลึกที่ข้างแก้ม เขาขยับร่างข้างใต้จนอสูรอีกตนนอนราบ มือเรียววางไว้ที่แผงอกกำยำ รู้สึกหัวใจที่เต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง ส่วนอีกข้างค่อย ๆ เชยคางของเจ้าของกายาเปลือยเปล่าขึ้นมา สอดเรียวนิ้วที่เปรอะหยาดโลหิตของตนลอดผ่านริมฝีปากบางที่เม้มแน่น
หนึ่งหยดน้ำในห้วงธาราเรียบสงบ
“จำรสชาตินี้ไว้ หากเจ้าอยากฆ่าข้านักก็เอาตัวรอดจากป่าแห่งนี้ให้ได้...”
ห้วงธาราไหวกระเพื่อม เป็นเกลียวคลื่นหลากระลอก
“แต่ข้า...” รอยยิ้มเย้ยหยันเหยียดกว้าง “ไม่คิดว่าเจ้าจักรอดออกไปได้ดอกนะ”
อย่างรุนแรงและหนักแน่น
เขี้ยวของหมาป่าหนุ่มขบนิ้วของเขาเต็มแรง ดวงตาคมมองเขาด้วยความเกลียดชัง แต่แวมไพร์หนุ่มเห็นบางอย่าง... ม่านตาของอีกฝ่ายขยายกว้างจนน่าขัน มิใช่โทสะเท่านั้นที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเช่นนี้
ห้วงธารามิอาจรักษาความเยือกเย็นของตนได้อีกต่อไป
เอลเดอร์แวมไพร์เลิกคิ้ว ใบหน้างามมิแสดงอากัปกิริยาเจ็บปวดใด ๆ นอกจากแววตาซุกซนที่เป็นประกายยามถอนนิ้วออกมาริมฝีปากบางอย่างอ้อยอิ่ง
แวมไพร์หนุ่มกรีดปลายนิ้วตั้งแต่แผ่นอกหนาจรดถึงหน้าท้อง คล้ายจะหยอกเย้าอสูรชั้นต่ำที่ยังคงปรารถนาในเลือดของเขาอยู่ ราชนิกูลหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง นัยน์ตาสีทับทิมกลับคืนเป็นนิลกาฬดังเดิมสบประสานกับเนตรสีอำพันของมนุษย์หมาป่า
“เจ้า—”
เจ้าของเรือนกายอรชรแย้มยิ้ม ก่อนร่างนั้นจะกลายเป็นค้างคาวสีดำมะเมื่อมหลายสิบตัว พวกมันทุกตัวต่างพากันบินสูงขึ้นไปผ่านช่องว่างระหว่างแมกไม้ทึบ
หลังจากนั้น สรรพสิ่งในป่ามรณะก็กลับมาเงียบสงัดอีกครา ทิ้งให้อสูรกายในร่างมนุษย์ที่โกรธเกรี้ยวนอนนิ่งอยู่ตำแหน่งเดิม
ความเกลียดชังที่ถูกเล่นล้อราวกับเด็ก ไม่เทียบเท่ากับความกระหายใคร่ลิ้มรสหอมหวานที่ยังอวลอยู่ในโพรงปากอีกครา
และหวนคำนึงถึงกลิ่นกุหลาบต้องห้ามที่ติดนาสิกมิรู้ลืม
End.
◍ ◍ talk with me free wifi :
- เธอรู้สึกถึง sexual tension หรือเปล่า~
- เรื่องนี้ไม่ใช่ abo verse นะคะ เราอ้างอิงตำแหน่งในฝูงหมาป่าจริงๆ ดังนั้น อัลฟ่าจึงมีได้แค่สองตัวคืออัลฟ่าเพศผู้และอัลฟ่าเพศเมีย เบต้าคือลำดับถัดจากอัลฟ่าหรืออาจผู้ท้าชิงตำแหน่งอัลฟ่าในอนาคต ตามด้วยเดลต้า ฯลฯ ลดหลั่นกันมา ส่วนโอเมก้านี้คือหมาป่าที่ลำดับต่ำสุด อ่อนแอที่สุด เป็นสนามอารมณ์ของฝูง
- เอาจริงคือเรื่องนี้คิดนานมากว่าจะเอาใครเป็นวูล์ฟดี เราชอบน้องบูตอนผมบลอนด์ทองมากกกก ถ้าแต่งน้องเป็นวูล์ฟก็เอาคาร์น้องตอนนั้นแหละ จะเป็นวูล์ฟขนทองที่ฟลัฟฟี่และโทนเรื่องก็จะกลายเป็นน้องถูกเอลเดส (eldest vampire) รังแก แต่ไม่ เราจะไม่เขียนน้องถูกรังแกอีก หวยเลยมาตกที่วูล์ฟน้องฮันซลแทน เป็นวูล์ฟที่คล้ายหมีขาวมากกว่า 5555
- จากธีมและเพลง melting waltz ที่เราฟังตอนแต่ง จากเต้นรำในบอลฮอลกลายมาเป็นเต้นรำ(?)ท่ามกลางแสงจันทร์แทน
- เส้นเรื่องดูกว้างมาก เหมาะกับการแต่งต่อเป็นอย่างยิ่ง ที่จริงเราแอบสนใจคสพ.ของ eldest/elder กับ badblood ด้วย ถ้าใครสนใจพล็อตลำดับศักดิ์แบบนี้เอาไปได้นะคะ ถ้าแต่งเสร็จช่วยแปะลิงก์ให้เราอ่านด้วย เราชอบ
- มีอะไรติชมกันได้ที่ #kurofics ในทวิตภพหรือจะคอมเมนต์ตรงนี้ก็ได้นะคะ น้อมรับฟังเสมอ
- enjoy reading ♡
• แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ 1 (01.12.19)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in