ฉันได้แต่นั่งมองเคอร์เซอร์กระพริบเป็นจังหวะสม่ำเสมอบนหน้าจอที่ขาวโพลนพอๆกับสมองที่พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก...
สิ่งที่สะกิดใจแม้เพียงสักนิดก็ไม่มี
(ไม่แน่ใจว่าเพราะกดดันตัวเองมากเกินไปหรือเพราะชีวิตไม่มีอะไรจริงๆ ฮ่าๆ)
แล้วถ้า... อยากเขียนให้เก่งควรเริ่มจากตรงไหน ?
คำตอบที่ได้ไม่ต่างกันนักว่า ควรเริ่มจากการอ่านเยอะๆ
อ่านเยอะๆ ?
ได้แต่ปรารภกับตัวเองเบาๆว่า อ่านเยอะแค่ไหนล่ะเนี่ยถึงจะเรียกว่าอ่านเยอะ
งั้นปีนี้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะอ่านให้ได้ 50 เล่มต่อปี ...
ตั้งใจว่าจะเขียนรีวิวไปเรื่อยๆแล้วกัน ฝีมือการเขียนรีวิวที่แสนไก่กา
แต่คนเราจะเขียนแย่จนครบ 50 ครั้งติดชนิดไม่มีอะไรดีขึ้นก็ให้รู้ไป
การเขียนรีวิวก็ยังเป็นเรื่องยากมากสำหรับเราอยู่ดี
พ่อ : เวลาหนูอ่านหนังสือน่ะ ถ้าเจออะไรที่เขาสอนแล้วหนูเห็นว่าดี หนูก็จดเอาไว้ พอเราจดมันก็จะผ่านสมองทำให้จำได้มากกว่าอ่านผ่านแล้วผ่านไป วันหนึ่งหนูก็สามารถหยิบมาอ่านเตือนใจได้
เราได้ไอเดียการเขียนใหม่มาจากคุณพ่อซึ่งการอ่านทุกครั้ง หนังสือให้อะไรเรามากกว่าความบันเทิง ให้แนวคิดใหม่ๆ ทัศนคติต่อชีวิต แม้เพียงไม่กี่บรรทัด
...
ยังคงตราตรึงใจ
ขอเริ่มจากนวนิยายเรื่องราตรีประดับดาว โดย ว.วินิจฉัยกุล
" ในโลก สองอย่างที่ตรงกันข้าม มักจะอยู่ควบคู่กันไป เป็นการถ่วงดุลของชีวิตให้ลงตัว ไม่สุขเกินไปจนหลงละเมอว่าโลกคือสวรรค์และไม่ทุกข์เกินไปจนเห็นว่าโลกคือนรก ..."
เป็นคำพูดของแม่เกดที่มองนายทรัพย์ที่ชอบทำเรื่องง่ายให้ยุ่งยากไปหมด เมื่อเทียบกับนายขิมผู้ที่ทำเรื่องยากให้ง่ายไปหมด ช่างต่างกันเหลือแสน
" ลูกเอ๋ยยังไม่เคยรู้รสร้าย ที่ความรักกลับกลายแล้วหน่ายหนี
อันเจ็บปวดยวดยิ่งทุกสิ่งมี ไม่เท่าที่เจ็บช้ำระกำรัก ..."
กลอนบทหนึ่งในขุนช้างขุนแผน คุณณัฐนึกขึ้นมาขณะที่มองแม่เกดที่กำลังเจ็บช้ำในเรื่องความรัก
"เมื่อตระหนักความจริงที่ว่า ชีวิตคู่เป็นสิ่งเปราะบางอย่างน่าใจหาย ถ้าจะเพ่งมองกันจริงๆ มันเกือบจะไม่ต่างอะไรกับเรือที่พายกันสองคน ไม่ใช่คนเดียว ถ้าตกลงกันไม่ได้จะพายอย่างไรให้ถูกวิธี เรือก็อาจจะหมุนคว่างอยู่กับที่ ไปไม่ถึงจุดหมาย หรือแม้แต่ล่มลงเสียตรงนั้นก็เป็นได้..."
เพราะความรักเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ควรรักษาถนอมน้ำใจกันให้มาก มากพอให้เหมือนกับคราที่จีบใหม่ๆ ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่ง แต่ควรเป็นทั้งสองคน
ราตรีประดับดาว สอนใจเรื่องความรักได้ดีมากจริงๆ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in