ตั้งแต่รู้ความ เมฆอยู่ในความทรงจำของเดือนมาตลอด เพราะด้วง พี่ชายของเดือนเป็นสหายสนิทของเมฆ บิดาของทั้งคู่รู้จักและสนิทสนมกันมานานตั้งแต่ครั้งยังเป็นมหาดเล็กในวังของพระองค์เจ้าชายพระองค์หนึ่ง เมื่อเจริญก้าวหน้าในที่ทางของตนแล้วก็ยังคบค้าไปมาหาสู่กันมิได้ขาด ถึงด้วงจะไม่ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็ก เพราะชอบในทางภาษาและการเดินทางมากกว่า แต่ความสนิทชิดเชื้อเพราะถูกอัชฌาศัยกันกับเมฆไม่เคยลดน้อยถอยลงไปเลย
แม้ด้วงจะเกิดจากอนุภรรยาที่มีเชื้อสายจีน แต่เดือนก็ได้รับการสอนจากมารดาที่เป็นภริยาเอกของบิดาซึ่งเป็นขุนนางมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงสังกัดกรมท่าว่าให้เคารพและนับถือด้วงเสมือนพี่ชายแท้ ๆ และมารดาของด้วงก็ให้ความรักความเอ็นดูแก่เดือนโดยมิได้คำนึงว่า เป็นบุตรของภริยาเอกที่อาจทำให้บุตรชายตนเองเสียสิทธิในฐานะบุตรชายคนโตตามลำดับการเกิดเลยแม้แต่น้อย ส่วนตัวของด้วงเองก็รักเดือนเสมือนน้องชายร่วมมารดา
ขณะที่ฝ่ายเดือนซึ่งเป็นน้องน้อยอายุอ่อนกว่าหนึ่งรอบถ้วนมองว่า พี่ชายคนใหญ่ทำอะไรก็ดูเก่ง ดูน่าสนใจไปหมด ส่วนฝ่ายพี่ชายเองก็ค่อนข้างตามใจและชอบใจที่ได้สอนน้องที่กระตือรือร้นอยากที่นั่นทำนี่ อยากรู้อยากเห็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ตามประสามีพี่น้องผู้ชายกันอยู่เพียงสองคนในบรรดาพี่น้องที่เป็นหญิงทั้งหมด ดังนั้น เมื่อเดือนเดินคล่อง พูดได้ รู้จักสำรวมกิริยาบ้างแล้ว ด้วงจึงมักจะพาเดือนติดตามไปหาเพื่อนฝูงที่ตนมีอยู่มาก ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการกรมท่าด้วยกัน แต่สถานที่ที่ด้วงพาเดือนไปบ่อยที่สุดคือ เรือนพระสุจริตวินิจฉัย บิดาของเมฆ ซึ่งถูกอัธยาศัยกันมาตั้งแต่รุ่นบิดา
เมื่อได้พบเมฆ เพื่อนสนิทของพี่ชาย แม้จะยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ แต่เดือนก็พอจะแยกออกว่าเมฆมีบุคลิกลักษณะแตกต่างจากเพื่อนของพี่ชายคนอื่น ๆ เพราะมารดาของเมฆมีเชื้อสายมอญกลุ่มพระยาศรีสหเทพที่ตั้งบ้านเรือนอยู่แถวป้อมวิไชยประสิทธิ์ ดวงตาของเมฆจึงเล็กแต่คมสวยไม่เหมือนดวงตาแบบลูกเสี้ยวจีน จมูกโด่ง ผิวพรรณค่อนไปทางเหลืองนวลไม่ขาวจัดเหมือนหยกแบบด้วงและพี่สาวคนอื่น ๆ ที่เกิดจากภรรยารองของบิดา เพราะเป็นมหาดเล็ก ท่วงท่าของเมฆจึงคล่องแคล่วแต่นุ่มนวล รวดเร็วแต่ไม่รีบร้อน มารยาทเรียบร้อยเนียนตาน่าชม ไม่เหมือนใครคนไหนที่เดือนเคยเห็น
ไม่เพียงแต่มีหน้าตาและกิริยาน่ามอง เมฆยังใจดีกับเดือนเสมือนรับเอาน้องชายของเพื่อนมาเป็นน้องชายแท้ ๆ ของตนด้วย ว่าด้วงอดทนในความสงสัยใครรู้ของเดือนแล้ว เมฆยังอดทนยิ่งกว่า โดยเฉพาะเมื่อเรือนของพระสุจริตวินิจฉัยเป็นเรือนของตุลาการ มีตะรางไว้ขังคนที่ต้องโทษต่ำกว่าสามเดือนและคนร้ายที่ยังไม่ได้ชำระความให้เสร็จสิ้น ซึ่งเป็นความรู้ใหม่ของเด็กชายที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยรับรู้เรื่องราวเหล่านี้มาก่อน เมฆจึงเป็นทั้งคนตอบคำถามและหลักยึดให้เด็กชายตัวน้อยที่เดินตามหลังเพื่อนพี่ชายอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ไปดูคนโทษและตะรางใต้ถุนเรือน
เมฆไม่ว่าอะไรสักนิด แม้เดือนจะกำมือของอีกฝ่ายไว้แน่น เมื่อเห็นคนต้องโทษที่สภาพย่ำแย่และน่ากลัวกว่ากุลีท่าเรือที่ติดยาฝิ่นบางคนที่เคยเห็นเมื่อตามด้วงไปดูงานช่างจีนต่อกำปั่นเสียอีก
“พ่อเดือนไม่ต้องกลัวนะ” เมฆเอ่ยปลอบ “พวกเขาทำอะไรพ่อเดือนไม่ได้ดอก”
ข้อนั้นเดือนรู้ และเชื่อมั่นเจ้าของมือที่จูงมือตัวเองอยู่ ณ เวลานั้นด้วยว่าจะไม่ปล่อยและไม่ยอมให้คนน่ากลัวเหล่านั้นทำอันตรายใด ๆ แก่ตนเองได้ แต่ในเวลานั้น เดือนทำเพียงแค่รับคำคนอายุมากกว่าสั้น ๆ ว่า “เจ้าค่ะ” เท่านี้เอง
“พ่อเดือนยังกลัวอยู่หรือ” เมฆถามซ้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าคนอายุน้อยกว่าเงียบไป “หรือไม่มีอะไรที่อยากถามพี่แล้ว”
“ขึ้นบนเรือนแล้ว ก็ไม่กลัวแล้วเจ้าค่ะ” เดือนตอบตามตรง เรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากเจ้าของคำถามออกมาได้
“พ่อเดือนซื่อตรงดี” ชายหนุ่มบอก สำเนียงบอกชัดว่าชมอย่างจริงใจ “โตขึ้นมาเป็นตุลาการอย่างพ่อของพี่ไหม”
เดือนเงียบ มองตาคนที่ก้มลงมามองยิ้ม ๆ ก่อนส่ายหน้าดิก
“ไม่อยากเป็นหรือ” คิ้วเข้มของคนโตกว่าเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม
“เปล่าเจ้าค่ะ ยังตัดสินใจไม่ได้”
“พ่อเดือนยังมีเวลาอีกนานทีเดียว ก็ค่อย ๆ คิด” เมฆว่า รอให้เดือนล้างเท้าจนเสร็จก่อนพากันกลับขึ้นเรือนอีกครั้ง
เป็นอีกหนที่เดือนสังเกตเห็นว่า เมฆเป็นผู้รู้จังหวะเวลาเป็นอย่างดี เพราะเดือนเห็นว่า เมฆไม่ได้เดินดุ่มเข้าไปหาคุณพระผู้บิดาที่ดูเหมือนจะยังสนทนาเรื่องเครื่องลายครามอยู่กับด้วงอย่างออกรส จึงชะลอที่จะเข้าไปหาและพาเดือนไปชมกระถางไม้ดัดที่เป็นของเล่นโปรดอีกประการหนึ่งของคุณพระพินิจฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในพระราชนิยมในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย
เมฆอธิบายไป ชี้ชวนให้เดือนดูไม้ดัดและเขามองไปพลางก็เหลือบมาไปทางคู่สนทนาที่กลางเรือนบ้าง ดูว่าฝ่ายนั้นพร้อมจะให้เข้าหาและถึงเวลาที่ควรต้องกลับแล้ว เมฆก็พาเดือนไปส่งหาพี่ชาย สนทนาพาทีกับบิดาของเมฆอยู่สักคำสองคำ ด้วงก็พาเดือนลากลับ
“ถ้าเดือนอยากเป็นมหาดเล็ก รับใช้ใกล้ชิดเจ้านาย ก็ให้ดูพี่เมฆเป็นเยี่ยงและเอาอย่างเขาให้ได้” พี่ชายของเดือนบอกหลังพากันลงเรือกลับเรือน เมื่อเด็กชายดูจะติดใจเพื่อนสนิทของเขาตั้งแต่พบกันครั้งแรก “ตั้งใจเรียนให้ดี เขียนหนังสือให้เร็วและสวย ไว้โตเป็นหนุ่มใช้การใช้งานได้แล้ว พี่จะขอให้คุณพ่อพามาฝากเป็นทนายของคุณพระพินิจฯ จะได้เรียนรู้เรื่องราชการจากท่าน และวันไหนที่เมฆไม่เข้าเวร เดือนก็จะได้เรียนรู้จากเขาด้วย”
เห็นน้องชายตัวน้อยตั้งอกตั้งใจฟัง ดวงตาเป็นประกายอย่างมีความหวังแล้ว ชายหนุ่มก็หัวเราะและเอื้อมมือไปลูบหัวคนอายุน้อยกว่าด้วยความเอ็นดู นึกในใจว่าหน้าตา ท่าทาง และหน่วยก้านของเดือนก็เหมาะสมกับหน้าที่รับใช้ใกล้ชิดอยู่ไม่น้อย ไหวพริบปฏิภาณก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร ค่อนไปทางฉลาดล้ำหน้าอายุด้วยซ้ำ ถ้ามีโชควาสนาก็คงมีโอกาสก้าวหน้าไปในทางที่เจริญรุ่งเรืองได้
สิ่งที่ด้วงคิดอ่านอยู่ในใจเกี่ยวกับน้องชายนั้นเรียกได้ว่าถูกต้องอยู่หลายส่วน เว้นแต่เรื่องหนึ่งคือ แท้จริงแล้ว เดือนไม่ได้อยากเป็นมหาดเล็กอย่างเมฆเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่ทำให้เด็กชายกระตือรือร้นขึ้นมาได้คือ การได้รู้ว่า ถ้าหากตั้งใจเล่าเรียนแล้วจะมีโอกาสได้เรียนรู้จากพี่ชายคนใหม่ คนโปรดอย่างเมฆต่างหาก
To be continued....
น้องเดือน ทำไมน่ารักขนาดนี้ล่ะลูก อยากเป็นคนโปรดของน้องเดือนบ้างเลยค่ะ
5555 เดือนเป็นน้องงงงมากจริงๆ ค่ะ