เอาเข้าจริงพอมานั่งนึกดูดีๆแล้วเรายังไม่เคยเคาะความรู้สึกที่ดูภาพยนตร์เรื่อง The Greatest Showman ออกมาเป็นตัวหนังสือเลยสักครั้งแม้แต่ในความคิด ทั้งที่ตัวภาพยนตร์สร้างความประทับใจให้ทุกคนที่ได้รับชมมาตั้งแต่ปี 2017 แล้วก็ตาม

.

ซึ่งโดยส่วนตัวต้องขอบอกเลยว่าเป็นมนุษย์ที่ไม่ชอบภาพยนตร์หรือซีรีย์ที่เป็นแบบละครเพลงมากที่สุด จริงอยู่ว่าการที่ตัวละครบอกเล่าอารมย์และความรู้สึกของตัวเองผ่านบทเพลงมันช่างเป็นอะไรที่กระแทกเข้าไปจนถึงหัวใจชั้นที่ลึกที่สุดได้อย่างง่ายดายแต่สำหรับเรากลับมองว่ามันเป็นอะไรที่น่าเบื่อและทำให้อินกับภาพยนตร์น้อยลงไปหลายเปอร์เซนต์

เช่นเดียวกับภาพยนต์เรื่องนี้

The Greatest Showman เป็นภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของ Phineas Taylor Barnum หรือ P.T. Barnum โชว์แมนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีตัวตนอยู่จริงของอเมริกา ตัวหนังเล่าเรื่องราวของเขาตั้งแต่วัยเด็กที่มีความฝันยิ่งใหญ่เกินฐานะของตัวเองจนมาตกหลุมรักกับ Charity ลูกสาวมหาเศรษฐีที่ยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อดำเนินชีวิตร่วมกับชายที่เธอรักจนมีลูกสาวที่น่ารักด้วยกันสองคนซึ่งในฐานะของผู้นำครอบครัวเขาคือพ่อและสามีดีเด่นคนหนึ่งทีเดียว

.

แต่แล้ววันหนึ่งชะตาของเขากลับพลิกผันเมื่องานที่ทำอยู่เพื่อหาเลี้ยงครอบครัวเป็นอันต้องล้มละลายลงP.T.Barnum จึงมองเห็นโอกาสสำคัญที่เขาจะได้เดินตามความฝันของตัวเองนั่นก็คือการเป็นโชว์แมน (หมายถึง เจ้าของหรือหัวหน้าคณะละครสัตว์และคาบาเร่ต์)โดยเขาได้ไอเดียที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือถ้าอยากจะให้คณะโชว์ของเขาได้รับความสนใจสิ่งที่จะนำมาจัดแสดงจะต้องแปลกและพิศดารจากปรกติทั่วไปถึงจะสามารถดึดดูดผู้ชมจากทั่วทุกสารทิศได้เขาจึงได้เฟ้นหามนุษย์ที่มีร่างกายพิกลไปจากปรกติทั่วไป เช่น ผู้หญิงที่มีหนวดเอยคนผิวเผือกเอย คนแคระ หรือแม้แต่คนที่มีรอยสักทั่วร่างกาย เพื่อนำมาจัดโชว์ให้กับผู้คนได้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์แปลกที่หาไม่ได้ตามท้องถนนที่ไหน

แต่แล้วเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดหนึ่งที่ความแปลกไม่ใช่ใบเบิกทางไปสู่สังคมชั้นสูงที่ยั่งยืนได้เขาจึงมองหน้าสิ่งที่เป็นจริงกว่านั้น เป็นสิ่งที่จับต้องได้ สวยงามและดีมากพอที่จะพาเขาก้าวออกจากการเป็นแค่เดอะโชว์แมนที่สังคมส่วนหนึ่งยังคงดูถูกดูแคลนว่าผู้คนเหล่านั้นเป็นสิ่งที่หลอกลวงซึ่งก็คือการได้ตัวของ Jenny Lindนักร้องโอเปร่าชื่อดังที่มีพลังเสียงอันน่าทึ่งจนจับใจสังคมชั้นสูงที่ยอมตีตั๋วเข้ามาชมไม่ว่าเธอจะไปเปิดการแสดงที่ใดมาไว้ข้างกาย

P.T. Barnum ปล่อยคณะละครของตัวเองให้อยู่ในการดูแลของ Phillip ไฮโซหนุ่มซึ่งเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ส่วนตัวเองเดินทางไปยังเมืองต่างๆเพื่อเปิดการแสดงโอเปร่าร่วมกับJenny ซึ่งจุดนี้แหละนี่ทำให้ Charity ผู้เป็นภรรยารู้สึกถึงการเปลี่ยนไปของสามีผู้เป็นที่รักที่เธอเคยรู้จัก โดยเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไปติดตามชมได้ในภาพยนตร์ The Greatest Showman ตามแพลทฟอร์มต่างๆได้เลยค่ะ

.

ซึ่งจากเรื่องราวที่เราได้เกริ่นมาข้างต้นว่าเราไม่ชอบภาพยนตร์เพลงเสียเท่าไหร่นั่นจึงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เราพลาดชมภาพยนตร์เรื่องนี้จนล่วงเลยมาถึงปี 2022 แต่ยอมรับว่าเพลง Never Enough ที่ขับร้องโดย Loren Allred เป็นเพลงที่เราได้ยินมานานแสนนานและมันช่างเพราะจับใจมันทำให้เราอยากกดเข้าไปดูหนังเรื่องนี้สักครั้งแต่สุดท้ายคำว่า ภาพยนตร์หรือละครเพลงก็ทำให้เราละทิ้งความรู้สึกนั้นไปจนสิ้น

                                                                         Loren Allred

จนมาถึงวันหนึ่งที่แพลทฟอร์มภาพยนตร์ยอดฮิตได้นำเรื่องนี้เข้าฉายบวกกับการรบเร้าของสามีที่บอกว่า

นี่เป็นหนังที่ครั้งหนึ่งในชีวิตเธอจะต้องดู เธอเคยประทับใจ A Star is Born มาแล้วเรื่องนี้เธอก็ต้องประทับใจ! 

มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นของการหยิบรีโหมตขึ้นมากดเล่นอย่างช่วยไม่ได้และเมื่อเรื่องราวของภาพยนตร์ดำเนินไป ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของเราทันทีเลยว่า…

ดีนะที่ยังไม่ตายก่อนถึงวันนี้!!.

เราอยากจะกราบขอโทษทุกสิ่งอยากจะจุดธูปขอโทษทุกอย่างที่ทำให้สมองอันน้อยนิดเอาแต่กล่อมตัวเองว่าภาพยนตร์ที่ร้องเพลงสื่ออารมย์แทนคำพูดมันไม่สนุกมันไม่รู้สึกอิน มันไม่โอเคคค! เพราะแท้จริงแล้วนี่มันโคตรจะโอเคเลยแม่…ง!

.

เราบอกเลยว่าเราประทับใจในทุกอย่างของเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงบท คอสตูม และเพลง ทุกอย่างมันดูลงตัวและมันช่วยเสริมให้คนดูเข้าถึงแก่นอารมย์ของตัวละครทุกตัวได้เป็นอย่างดีเราเข้าใจเลยว่าเรื่องบางเรื่อง ความรู้สึกบางอย่างมันพูดออกมาเฉยๆไม่ได้มันต้องเป็นเพลง! เพราะทั้งเนื้อเพลงการแสดงของนักแสดง และเครื่องดนตรีทุกชิ้นที่โหมเล่น มันพาให้เราล่องลอยเข้าไปในความรู้สึกที่เขาอยากจะถ่ายทอดว่าณ ตอนนั้น พวกเขามีความสุขอย่างไร พวกเขาทุกข์ขนาดไหน และพวกเขาอยากจะให้เราเข้าใจเข้าใจให้ลึก เข้าใจให้ถึงแก่นราวกับเราเป็นส่วนสำคัญของเรื่องทั้งหมด

.

โดยเฉพาะในฉากของเพลง This Is Me ที่ขับร้องโดย Keala Settle and The Greatest Showman Ensemble พูดได้คำเดียวเลยว่าโอ้โห! เรานี่น้ำตาไหลพรากๆกำหมัดแน่นให้กับซีนอารมย์ซีนนั้นว่า เอ้อ ใครมันจะทำไมฉันเป็นแบบนี้แล้วมันจะยังไง ก็ภูมิใจในตัวเองเว้ย ไม่อายเว้ย เพราะมันคือตัวฉันเองงง!!! (ใส่อารมย์ทำไมก่อน 555)

                                                                       Keala Settle

เราแบบประทับใจมากอะมันให้ความรู้สึกว่าจริงๆแล้วถึงเราจะแปลก ถึงเราจะไม่เหมือนใครไม่ใช่มาตรฐานในสาตาหรือในแบบที่สังคมหรือคนส่วนใหญ่ต้องการ แต่เราไม่ได้เดียวดายอะเรายังมีเรา ยังมีคนที่คิดแบบเดียวกัน ยังไม่คนที่เหมือนเราอีกเยอะแยะมากมายเต็มไปหมดคนเหล่านั้นหรือเปล่าที่เราควรใส่ใจหรือให้ความสนใจไม่ใช่เอาทุกอย่างไปจมอยู่กับคำติฉินนินทาหรืออะไรก็ตามที่มันเข้ามาบั่นทอนให้เรารู้สึกผิดทั้งที่สิ่งที่เราเป็นมันไม่ใช่ความผิด

แต่มันคืออีกหนึ่งความสวยงามของชีวิตต่างหาก

มาถึงตอนนี้เราคิดว่าโลกของเรามันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้วทั้งภาพยนตร์ ทั้งสื่อต่างๆได้นำเสนอมุมมองหรือเนื้อหาที่เปิดกว้างมากไปกว่าเดิม The Greatest Showman ก็เป็นภาพยนตร์ที่บอกให้เราคิดแบบนั้นได้เป็นอย่างดีจริงอยู่ที่เนื้อหาอาจจะเดาทางได้ง่ายแต่ในความง่ายนั้นแหละที่มันทำให้คนเราคิดตามได้โดยไม่ต้องใช้ตระกะทางความคิดอะไรเพียงแค่ดูและเปิดใจยอมรับว่ารอบตัวเราเต็มไปด้วย ความไม่เหมือนกันมากมาย บางอย่างที่อาจแปลกไปจากสิ่งที่เคยพบเจอมาก็ไม่ใช่ว่าเราจะต้องต่อต้านเสมอไปเพียงแค่ใช้ชีวิตแบบให้เกียรติซึ่งกันและกัน เพราะถือว่าเกิดมาบนโลกใบเดียวกันแล้วเราก็คือมนุษย์เหมือนกัน การให้เกียรติและยอมรับในตัวตนของทุกคนเป็นเรื่องที่เราทุกคนควรจะให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งเพราะถ้าการเคารพสิทธิของผู้อื่นไม่เริ่มที่ตัวเราก่อนแล้วเราจะมาหวังจากคนอื่นได้อย่างไร

 

จากนี้เราคงจะมองภาพยนตร์หรือละครเพลงต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเพราะไม่อยากจะพลาดโอกาศที่จะได้รับความบันเทิงในอีกรูปแบบหนึ่งความบันเทิงที่ทำให้เราได้รับมุมมองและแนวคิดต่างไปต่างที่เคยได้รับและเราเชื่อว่ายังมีอีกหลายเรื่องรอให้เราได้เข้าไปเรียบรู้และนำสิ่งที่ได้รับมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตเหมือนอย่างภาพยนตร์ยิ่งใหญ่เรื่องนี้ The Greatest Showman โชว์แมนบันลือโลก

 

สวัสดี