วันแรกที่ได้เห็น Trailer อันยาวนานของหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนต์ตอนที่เข้าไปดูภาพยนต์อีกเรื่องที่ชื่อดังไม่แพ้กันยอมรับว่าทึ่งในความสมจริงจนแทบไม่อาจละสายตา
ทั้งภาพ ทั้งเพลง ทั้งอารมย์ และความรู้สึกของตัวหนังกระแทกเข้าเบ้าหน้าเข้าเบ้าใจอย่างจัง ทั้งที่โรงหนังที่นั่งอยู่เป็นเพียงโรงหนังจอธรรมดาแต่ราคาเหมือนนั่งอยู่บนเบาะที่ปรับเอนได้ก็ตาม
วินาทีนั้นคิดในใจเลยว่ากูต้องหาภาคแรกมาดูก่อนเพื่อความอิน!
.
แต่
นี่มันอะไรกันวะ...
ความรู้สึกแรกที่หนังดำเนินเรื่องมาถึงกลางทางมันแบบ...อะไร?
โอเค ฉากขับเครื่องบินมันดีแหละ เท่สมจริง โปรดักส์ชั่นแม่งโคตรดีทั้งที่เป็นหนังเก่าเรื่องหนึ่ง
แต่แก่นของเรื่องคืออะไร
แล้วต้องการให้คนดูลุ้นหรือตื่นเต้นกับอะไร
ทำไมทุกอย่างมันหลวมไปหมดอย่างนี้ มันแบบไม่มีปม ไม่มีเรื่องราวหรืออะไรที่ชัดเจน ทั้งเรื่องเสนอแต่มิตรภาพ ความอวดดี อวดเก่งขิง และการเป็นตัวของตัวเองโดยไม่สนใครหน้าไหน
แล้วไอ้ฉากวอลเลย์บอลชายหาด คือมีมาเพื่อ
นั่นคือสิ่งที่เราคิดทั้งหมด หลังจากภาคแรกจบลงและถ้าถามว่ามันคือความผิดหวังไหม ก็ตอบได้เต็มปากว่าไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะโดยรวมก็ถือเป็นหนังที่ดูได้และอาจจะเป็นสไตล์ของยุคนั้นซึ่งตัวเราที่ชอบหนังที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน มันเลยรู้สึกว่าอะไรๆในเรื่องมันดูง่ายจนเกินไป
แต่สิ่งที่ขออวยก็คงเป็นการแสดงของ ทอม ครูซในซีนอารมย์ต่างๆที่เกิดขึ้นหลังการสูญเสียที่เขาเองไม่ได้ตั้งใจ
ขนาดเราที่คิดว่าหนังไม่มีอะไรนอกจากมาขับเครื่องบินโชว์เท่ๆยังน้ำตาไหลให้กับซีนเหล่านั้น...
และก็มาถึงภาค 2 อย่าง
มาเวอริค ได้รับข้อเสนอให้เข้ามาสอนเหล่านักบินหัวกะทิของท็อปกันเพื่อให้ปฏิบัติภารกิจที่ทั้งยากและเสี่ยงตายซึ่งแม้แต่ตัวผู้สอนเองก็ยังคาดเดาไม่ได้ถึงผลลัพภ์ที่จะเกิดขึ้นอีกทั้งยังเป็นการเผชิญหน้าแบบเลี่ยงไม่ได้ระหว่างเขากับ รูสเตอร์ หรือ แบรดลีย์ แบรดชอว์ลูกชายของ กูส เพื่อนรักของเขาที่เสียชีวิตเมื่อภาคที่แล้วอีกด้วย
.
หลังดูจบเราบอกกับตัวเองเลยว่า ประทับใจมากกกกและไม่น่าปล่อยเวลาล่วงเลยมาจนหนังเข้าฉายในช่วงสุดท้ายเลย มันทำให้เหลือโรงฉายเพียงแค่โรงเดียวแถมยังเป็นโรงเล็ก จอเล็กอีกต่างหาก ถ้าก่อนหน้านี้ตัดสินใจให้ไวกว่านี้การลงทุนจ่ายค่าตั๋วที่แพงขึ้นเพื่อให้ได้จอที่กว้างขึ้น เสียงที่กระหึ่มขึ้นก็คงไม่นึกเสียดายเงินแต่อย่างใด
.
เรารู้สึกว่าในภาคนี้เนื้อหาของเรื่องมีจุดมุ่งหมายมากยิ่งขึ้น มีประเด็นให้ตัวละครต้องโฟกัส มันเลยทำให้เราเอ็นจอยกับเนื้อเรื่องและประเด็นต่างๆมากยิ่งขึ้น
ถ้าจำได้ในช่วงแรกของบทความ เราคือคนที่แทบจะไม่ประทับใจอะไรเลยในภาคแรกยกเว้นฉากขับเครื่องบินที่ค่อนข้างสมจริงแต่พอได้ดูภาคนี้ ภาพของภาคแรกวนย้อนกลับมาในหัวเราตลอดเวลา มันทำให้เรายิ่งเข้าใจในสิ่งที่หนังภาคแรกต้องการจะสื่อมากยิ่งขึ้นว่าทุกฉาก ทุกการกระทำ ทุกอย่างที่เขาถ่ายทอดออกมาให้เราดูแม้มันจะเหมือนไม่มีอะไร แต่กลับแฝงไปด้วยเรื่องราวมากมายมันอยู่ที่ว่าเราจะเปิดใจและเข้าใจการสื่อความนั้นหรือเปล่า
อย่างฉากวอลเลย์บอลชายหายในภาคแรกที่ไม่เข้าใจว่าจะใส่มาเพื่ออะไรอวดกล้าม อวดหุ่น อวดความเท่งี้เหรอ แต่เชื่อไหมว่าฉากแบบนี้ในภาคที่ 2 เราแม่งโคตรประทับใจประทับใจแบบมากๆ ประทับใจสุดๆ เพราะมันทำให้เราคิดได้ว่าตัวละครทุกตัวแม่งไม่มีอะไรต่อกันเลยเว้ย ทุกคนคือเพื่อน แต่ในบางครั้งการแสดงออกทางคำพูดสีหน้า หรือท่าทาง มันก็แค่การทำไปเพื่ออยากจะให้งานหรือสิ่งที่ได้รับมอบหมายร่วมกันมันออกมาดีเท่านั้นเองมันเลยทำให้เกิดคำพูดเสียดสี หรือแสดงให้เห็นถึงการกระทำที่ดูเหมือนจะเห็นแก่ตัวออกมา
แต่จริงๆแล้วไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยสักคนและเกมนั้นเป็นการละลายพฤติกรรมได้โคตรดีและทำให้เราเห็นอีกด้านหนึ่งของตัวละครอีกด้วย
มาถึงตอนนี้แม้จะพูดสาปไปมากมายในช่วงแรกแต่เราก็พูดได้เต็มปากว่า TOP GUN – MARVERICKคือหนังเรื่องโปรดอันดับที่ 1 ประจำปี 2022 ของเรา และคิดไม่ผิดเลยที่ตัดสินใจวินาทีสุดท้ายว่าจะเข้าไปดู และถึงแม้ภาคแรกจะทำได้ไม่ค่อยประทับใจเราเท่าไหร่ แต่เมื่อเพลงไตเติ้ลในภาคที่ 2 เริ่มขึ้น
เชื่อเราเถอะว่าคุณจะรักความไม่มีอะไรเลยของหนังเมื่อ 36 ปีที่แล้ว อย่างสุดหัวใจเหมือนเรา...
สวัสดี
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in