‘ มึง Walter Mittyเข้าโรง ไปดูกันมะ ’
เราส่ายหน้าให้กับคำชวนจนคอแทบหลุด
: ได้ยินว่าไม่เหมือนที่เราเรียนมาแต่อาจจะดีก็ได้
: ขอบาย กูขอจำในแบบที่เรียนมาก็พอมันโอเคละ
The Secret Life of Walter Mitty
เราไม่อาจจะจินตนาการเมื่อวันหนึ่งได้รู้ว่าเนื้อหาที่ตัวเองเคยเรียนพอมาทำเป็นหนังจะถูกนำเสนอในรูปแบบไหนแต่เราเป็นคนจำพวกไม่ดูหนังจากนิยายที่ตัวเองเคยอ่าน เพราะมันจะกลายเป็นภาพจำในสมองว่าแต่ละฉากจะเป็นยังไงพอมันออกมาไม่เหมือนกับที่นึกภาพไว้ตอนอ่าน
—เราจะหงุดหงิด
ฉะนั้นเราจึงปล่อยภาพยนต์เรื่องนี้ผ่านตัวเราไป5
: คุณมีภาพยนต์ในดวงใจหรือเปล่า
คำถามจากคนแปลกหน้าที่เพิ่งได้พูดคุยกันเอ่ยถามในเช้าวันใหม่ของปี2018
: มีสิ อืมแต่ไม่รู้ว่าอยู่ในดวงใจหรือเปล่าเพราะพยายามดูมาสิบกว่ารอบแล้วตั้งแต่เด็กแต่ก็ยังไม่เข้าใจจนถึงทุกวันนี้ เลยชอบ
What dreams may come
: แล้วของคุณละ
: เรามี Titanic
เอ่อ…จะไม่เชื่อก็ได้นะแต่เราไม่เคยดูไททานิคเลย
เพราะเรารู้ว่าเนื้อหาเป็นยังไง
ฉะนั้นอย่างที่บอก อะไรที่รู้แล้วเราจะไม่ดู—
: Life of Pi นี่ก็ดีสุด
ไม่รู้เนื้อหาชัดเจน รู้แค่มีเด็กผู้ชายเสือ และเรือ
แต่ก็ยังไม่เคยเริ่มดูจริงจังสักที
: แล้วก็ The Secret Life ofWalter Mitty
อ่ะนี่ก็อันดับหนึ่งในลิสต์ที่ไม่คิดว่าจะดู
: มันสนุกจริงเหรอเรื่องสุดท้ายที่ว่ามาน่ะ
: ดีสิ ภาพสวยมาก ยังไม่เคยดูเหรอถามจริง!
—ก็เอ่อสิวะ
: จะลองดูละกันนะ
: แล้วจะประทับใจ
เราจำได้ว่าตัวเองตั้งใจกดดูหนังเรื่องนี้ตอนพักกลางวันในที่ทำงานเบน สติลเลอร์คือพระเอกของเรื่องซึ่งเราเชื่อว่าทุกคนคุ้นหน้าคุ้นตากับเขาดีอยู่แล้วจาก
เนื้อเรื่องดำเนินไปแบบทำให้เราเข้าใจพล็อตเรื่องของหนังทั้งหมดได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องสงสัย
หนังบอกเล่าเรื่องราวของ วอลเตอร์ มิตตี้ชายวัยกลางช่างเพ้อฝันที่ทำงานเป็นผู้จัดการแผนกฟิล์มเนกาทีฟของนิตยสาร LIFE ที่ทำภาพหมายเลข 25 ที่จะต้องถูกนำมาขึ้นปกนิตยสารฉบับสุดท้ายหายไป ทำให้เขาต้องออกเดินทางตามหา ฌอน โอคอนเนลล์ ช่างภาพที่เป็นเจ้าของภาพนั้น
ตลอดระยะเวลาเกือบสองชั่วโมงที่หนังถ่ายทอดเรื่องราวให้เราได้ดูเรายอมรับเลยว่าตัวเองละสายตาออกจากทุกฉากไม่ได้เลยจริงๆ
( โอเค แม้ตอนแรกๆ อาจจะดูแบบไม่สนใจก็เถอะเพราะแสนจะเหมือนในสิ่งที่เคยอ่านมา )
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราประทับใจจนพาหนังเรื่องนี้ขึ้นเป็นท็อปไฟว์ของเราคือภาพแลนด์สเคปของหนัง ทั้งที่ได้จากไอซ์แลนด์ และกรีนแลนด์
ซึ่งมันดีมากจนไม่จำเป็นต้องจินตนาการด้วยซ้ำว่าของจริงมันจะสวยขนาดไหนเพราะหนังเรื่องนี้ถ่ายทอดออกมาให้คุณเห็นอย่างชัดเจนแล้ว
ส่วนความกล้าออกนอกกรอบของตัวละครที่อยู่ในเส้นโซนของตัวเองมาโดยตลอดก็ทำให้เราได้รู้ว่าชีวิตมันก็แค่เนี้ย แค่ก้าวออกมาก แต่ตัดสินใจว่านี่คือสิ่งที่ต้องทำ
-- แล้วจะรู้ว่าการที่เรายังมีชีวิตอยู่…มันมีความหมายมากแค่ไหน --
เรารู้สึกว่าตัวเองมัวเสียเวลาลังเลอยู่ทำไมตั้งห้าปีกว่าจะตัดสินใจดู แล้วถ้าเกิดว่าไม่มีใครคนนั้นบอกเราว่านี่เป็นหนังที่ควรดูเราคิดว่าทั้งชีวิตนี้ก็ไม่ได้สัมผัสกับภาพยนต์ที่ให้ความรู้สึกอิ่มเอมนี้ได้
เอาจริงๆตัวเองเราก็ไม่ต่างอะไรกับมิตตี้ี่ที่ใช้ชีวิตอยู่ในเซฟโซนของตัวเอง ไม่กล้าทำอะไรที่เหนือกว่าที่ตัวเองเคยทำได้แต่คิดและจินตนาการไปเองคนเดียวว่าถ้าทำแล้วคงจะดีแบบนั้นแบบนี้และสุดท้ายก็จบลงที่การตื่น
หลังจากฉากสุดท้ายสิ้นสุดลงเราเริ่มเปลี่ยนแปลงความคิดเกี่ยวกับหนังที่สร้างจากบทประพันธ์ที่เราเคยอ่านเสียใหม่ว่าจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้แย่เสียหน่อยแต่มันกลับทำให้เรามองเห็นอีกหนึ่งด้านของความคิดที่จะทำให้เรานำมาปรับใช้เพื่อให้ชีวิตมีความหมายมากกว่าที่ควรจะเป็นก็ได้
ลองเปิดใจ เปิดมุมมองใหม่ๆแล้วจะรู้ว่าไม่ใช่ทุกสิิ่งที่จะแย่เกินกว่าที่เราคิด
บางทีไอ้เจ้าสิ่งเล็กๆ น้อยๆ นั่นอาจทำให้เรากล้าจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าใจเรารู้ก็ได้
ก็คงเหมือนกับที่ฌอนบอกกับมิตตี้นั่นแหละว่า…
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in