ที่นี่ไม่เรียกโรงอาหารว่าแคนทีน แต่เรียกว่าเมนซ่า เราก็ไปลองเชิงมื้อแรกกันที่เมนซ่าเลย อ่านก็ไม่ออกเพราะเป็นภาษาเยอรมันทั้งนั้น ก็ดูราคาเอาที่เหมาะสมแล้วก็เดินไปที่ร้านเลย ที่เมนซ่าแต่ละวันจะมีอาหารไม่เหมือนกันเป็นเมนูประจำวัน เมนูที่สุ่มโดนวันนั้นเป็นปลาทอดที่มาพร้อมพาสต้ากับผักโขม กินไปแรกๆก็ดีอยู่หรอก พอผ่านไปซักพัก แม่เจ้าไม่ไหวแล้วเลี่ยนจนจะอ้วก หันไปเห็นถ้วยซุปครีมขาวน่ากินที่มากับเซตนี้นี่แหละพอดี จิตใจหวังไว้เลยว่ามันจะต้องร้อนและนุ่มลิ้นฟินยิ่งกว่าซุปเห็ดของ Sizzle พอลิ้นรับรสชาติเท่านั้นแหละ... ทำไมเย็น? ทำไมเปรี้ยว? อืมมมม โยเกิร์ต!! ถึงกับช็อคไปเลย มันคือของหวานนั่นเองค่ะ ไม่ใช่ซุป โชว์โง่ยันเรื่องกินจริงๆ ก็นั่งกินไปพะอืดพะอมไปจนเฮสตี้ถามว่า
"ไม่ชอบกินหรอ" ไอ้เราก็ไม่กล้าพูดอะไร อีกอย่างคือโง่ พูดไม่ถูกอีกกก ก็แหะๆไปตามภาษา แต่อีกสองนางที่เหลือกินกันแบบชื่นชอบ ในที่สุดก็พบปัญหาตัวเองอย่างแรกแล้ว คือ ฉันกินอาหารที่นี่แล้วเลี่ยนนนนน!!! อ้วกจะแตก ยัดไม่ลงเลยจ้าาา
หลังจากกินอาหารมื้อทรมานไปเรียบร้อยแล้ว มิคาเอลก็พาไปทำบัตรโน่นนี่นั่น สารพัดบัตร แล้วพวกเราก็ไม่ได้เอารูปมา มิคาเอลก็ต้องพาเราไปถ่ายรูปที่ตู้ถ่ายรูป เป็นตู้เก๋ๆ มีให้เลือกว่าจะถ่ายรูปแบบไหน เอาไปใช้ในวัตถุประสงค์อะไร แล้วก็มีการบอกให้นั่งแบบไหน วางหน้าตัวเองยังไง จากนั้นก็กดถ่ายเอง หยอดตังค์ รูปออกมา หลังจากนำรูปไปใช้ประโยชน์ในการทำบัตรต่างๆเรียบร้อย ก็ได้เวลากลับไปที่บ้านซักที แต่เราก็ต้องอดทนกลั้นความง่วงกันไปก่อน เพราะซุนตารจะพาพวกเราไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ตก่อน ซุปเปอร์มาเก็ตนี้อยู่ห่างจากบ้านแค่ 1 ป้ายแทรมเท่านั้น ซุนตารก็แนะนำวิธีการเลือกซื้อของให้ถูกและดี การเข้าแถวจ่ายเงิน และที่สำคัญคือ ไม่มีถุงให้นะจ๊ะ อยากได้ถุงเธอต้องจ่ายเงินเพิ่มนะ ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่ซื้อถุงเพิ่มกันแน่นอน ก็หอบกันไปนั่นแหละ แค่แทรมป้ายเดียวเดินได้สบายมาก เพราะตอนนั้นบัตรแทรมรายเดือนก็ยังไม่มี ต้องอาศัยเดินไปก่อนนี่แหละ พอเดินไปถึงบ้านเราก็ล้มตัวลงนอนทันที
พักผ่อนกันจนหนำใจปุ๊บ เราก็ตั้งใจว่าจะออกไปเดินเล่นกันข้างนอก เรียกได้ว่าเป็นอารมณ์ตื่นเต้น ที่จะได้เห็นอะไรใหม่ๆ ทั้งสภาพบ้านเมือง ผู้คน การเดินทาง ไม่มีบัตรรถแทรมเราก็ไม่แคร์ เดินชมเมืองไปเรื่อยๆ ร่างกายพร้อมในการออกไปร่อนมาก ไม่มีอาการเจ็ทแล๊กใดๆทั้งสิ้น เพราะพวกเราใช้ชีวิตแบบเวลายุโรปมาตั้งแต่เข้ามหาลัยแล้ว ในเมื่อร่างกายพร้อม ใจพร้อม กล้องถ่ายรูปพร้อม ก็ออกไปร่อนกันเลยยย
ก็เดินชมเมืองกันไปเรื่อยๆ ตอนนั้นก็เวลาประมาณหนึ่งทุ่มโดยประมาณ แต่แดดนี่สว่างจ้าเยี่ยงบ่ายสามเลยทีเดียว พวกเราก็เดินกันไปเรื่อยๆ แวะถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมองดูนาฬิกาแล้วพบว่านี่มันสามทุ่มแล้ว ก็คิดอยู่ว่าฟ้าก็ยังสว่างแต่ทำไมอากาศถึงได้หนาวมากขนาดนี้ ที่แท้มันก็กำลังจะดึกนี่เอง เราก็เลยตัดสินใจเดินกลับบ้าน ก่อนจะกลับบ้านก็แวะซุปเปอร์มาเก๊ตแถวบ้านกันหน่อย แน่นอนว่ามาเยอรมันทั้งที ถ้าไม่ลองเบียร์มันก็ยังไงอยู่ ก็เลยสุ่มเบียร์มาซักกระป๋องนึง ซึ่งถูกมากกก กระป๋องละ 15 บาทเท่านั้น เราก็ซื้อมาลองชิมกันหนึ่งกระป๋อง แล้วก็อีกอย่างที่พลาดไม่ได้ในเยอรมันคือ ไส้กรอก ก็เลยสอยไส้กรอกที่อยู่ในโหลแก้วมา ลักษณะเหมือนจะเป็นไส้กรอกดองมั้ง หรืออะไรซักอย่าง เห็นว่าถูกก็เลยซื้อมา
หลังจากเดินหนาวสั่นกันเข้าบ้านเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาทำอะไรกินซะหน่อย ก็ขนอุปกรณ์ทำของกินไปไว้ที่ครัว ในเมื่อมีเบียร์ก็ต้องมีกับแกล้มเนอะ พวกเราก็เลยลงไปทอดเฟรนฟรายซ์กันด้วยกะทะเทฟล่อนนี่แหละ เคยเห็นซุนตารทำ แปลว่าเราก็ต้องทำได้ หิ้วห่อเฟรนฟรายซ์ลงไปก็เจอซุนตารพอดี
“จะทอดใช่ไหม ทอดเป็นไหมเนี่ย นี่นะเอาใส่กะทะลงไปเลย ยังไม่ต้องใส่น้ำมัน รอมันละลายน้ำแข็งก่อน” ซุนตารถามก่อนที่จะลงมือช่วยทำ แล้วซุนตารก็หายไป พวกเราก็ไม่ทำอะไร นอกจากยืนรอเฟรนฟรายซ์ ขณะนั้นก็เห็นว่า พ่อหนุ่มคมเข้มที่มาช่วยยกกระเป๋าเมื่อวานนางก็ทำกับข้าวอยู่ในครัวพอดี มากับเพื่อนอีกสองคน คนนึงตัวไม่สูงมาก ใส่แว่น ดูท่าทางเรียบร้อย ค่อนข้างเนิร์ด และอีกคนก็ตัวสูงพอๆกับพ่อหนุ่มเนิร์ด แต่ดูเฮี้ยวกว่ากันเยอะ มีเครารอบกรอบหน้าเพิ่มความโหดไปได้ประมาณหนึ่ง แต่หน้ามันหล่อไง เพราะงั้นเรื่องเคราก็ให้อภัยได้ พวกนางสามคนก็มาทำกับข้าวกินกัน วุ่นวายวอแว แทบจะใช้เตาครบทุกเตาอยู่ละ ก็ลอบมองนางทำกับข้าวไปเรื่อย อยากรู้ว่าเค้ากินอะไรกัน สิ่งที่เห็นคือ นางต้มมันฝรั่ง ต้มถั่ว ปิ้งไก่ แล้วก็เอามันฝรั่งมาบด ใส่ถั่วและกิน เห้ยยย!! กินงี้เลยเรอะ ขณะที่เราอยู่กันแบบนั้นก็เริ่มคิดว่า เราต้องทำอะไรซักอย่างละจะได้รู้จักกัน เอาไงดีฟะ
“เห้ย มึงถามชื่อเค้าดิ” พยายามกระแซะต้าให้เป็นคนถามนะครับ เพราะมันสปีคอิงลิชเก่งสุดละ
“เห้ยยย กุไม่กล้า มึงก็ถามดิ” อ้าวเชี่ย เกี่ยงกันไปมาซะงั้น
“งั้นเราต้องสานสัมพันธ์ก่อนเว้ย รอแปปนะมึง” โอเค ในเพื่อนต้าและเพื่อนหลีไม่จัดการ เพื่อนแอมจะจัดการเองครัส ไอ้เราก็วิ่งขึ้นไปหยิบไส้กรอกที่ซื้อมาลงมา แล้วก็เดินไปสะกิดพ่อหนุ่มห้อง24(พ่อหนุ่มที่มาช่วยยกกระเป๋านั่นแหละ แต่เห็นห้องนอนนางแปะเลข 24 ไว้อยู่)
“เอ่อ...ขอโทษนะ ไอ้ไส้กรอกเนี่ย กินเลยได้ไหม”
“อ่า...” แล้วนางก็เอาโหลไส้กรอกไปอ่านฉลากดู คือฉลากมันเป็นภาษาเยอรมันอ่ะนะ อ่านไม่ออกจริงๆ
“....” ทุกคนก็ลุ้นกับคำตอบนาง
“อืม...น่าจะเอาไปต้มในน้ำร้อนก่อนนะ แล้วถึงจะเอาไปทำอย่างอื่นได้ต่อ...”พอนางพูดเสร็จ นางก็หันไปปรึกษาเพื่อนนางที่นั่งอยู่ด้วยภาษาอะไรซักภาษา ก่อนจะหันมายืนยันอีกรอบว่า ต้องต้มก่อนกินนะ พวกเราก็โอเคๆ
“เห้ยมึงงงง มันไหม้แล้วเว้ย ทำไงดี ไปหยิบน้ำมันเร็วววว” มีเสียงโวยวายมาจากหน้าเตา พอหันไปเฟรนฟรายซ์กำลังจะกลายสภาพเป็นสีดำแล้ว อ้าวเวรละ!! พอได้ยินหลีพูดแบบนั้น ต้าก็รีบโกยขึ้นข้างบนไปหยิบน้ำมันลงมาทันที ขณะนั้นเพื่อนของห้อง 24 ก็มาเห็นสภาพตอนนั้นพอดี(ไอ้เคราหน้าหล่อนั่นแหละ) ก็เลยเดินมาช่วยหลีทอดเฟรนฟรายซ์
“น้ำมันหล่ะ นำ้มันอยู่ไหน” นางก็ถามหาน้ำมัน คือกุจะตอบไงดีวะ เพื่อนกุไปเอามาอยู่ ใจเย็นนนนน!! หันไปเห็นต้ากำลังเดินมาพอดีเลยวิ่งไปรับน้ำมันแล้วส่งต่อให้หลี หลีก็แกะฝาส่งไปให้นางต่อ นางก็ราดน้ำมันลงไปที่เฟรนฟรายซ์ ทำให้บรรยากาศคล้ายครัวกำลังจะพังนั้นหายไป ใจหายแว้บเลยทีเดียว
พอแก้ไขสถานการณ์ได้แล้วนางก็บอกว่า เนี่ยห้อง 24 อ่ะ เป็น professional ด้านอาหารเลยนะ ถามได้เลย ไอ้พวกเราก็ยิ้มแหะๆอย่างเดียว บอกแล้วไงว่าพูดภาษาปะกิดไม่ได้ ตอนนี้เลยกลายเป็นเด็กใบ้อยู่ แถมอายชะมัด เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยบอกไปอ่ะนะว่า ทำอาหารเป็น พอมาวันแรก ล่อจะทำครัวเค้าพังแล้วเชียว พอทอดเฟรนฟรายซ์เสร็จเราก็รีบโกยหนีขึ้นไปกินแกล้มเบียร์ที่ซึ่งซ่าโซดาล้นบนห้องเลยครับ
@Flat's Kitchen
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in