เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
หญิงไทยใจงาม(มั้ง)ตะลุยแดนเบียร์apollopma
ep2 : Fool House สะดุดรักที่พักใจ


  •                      หลังจากหลุดจากพี่ตม.ออกมาด้านนอกก็เดินงงเป็นกะเหรี่ยงเลย มิคาเอลยังไม่มาแน่ๆ เพราะพวกเรามาถึงกันก่อนเวลาพอสมควร เลยยืนเอ๋อๆงงๆกันซักพักลักษณะของมิคาเอลที่รับรู้มาจากพี่ๆ รวมทั้งอาจารย์ก็คือ.. มิคาเอลเป็นคุณลุงร่างใหญ่ ไว้ผมยาวที่มัดไว้แบบลวกๆ เพราะฉะนั้นแม้ไม่เคยเห็นหน้าก็พอจะเดาออกว่าคนไหนคือมิคาเอล ขณะที่ยืนรอก็กังวลไปต่างๆนานา

                          “เฮ้ยยยย แล้วถ้ามิคาเอลตัดผมแล้วหล่ะ เราจะหาเค้าเจอไหม”

                          “โห่ววว หน้ากะเหรี่ยงดอยอย่างเราเด่นจะตาย เค้ารู้อยู่แล้วว่าเป็นพวกเราอ่ะ”


                           ซักพักเราก็เห็นมิคาเอลเดินเข้ามาหา แล้วก็ยกมือไหว้ทักทาย สวัสดีครับ เป็นภาษาไทย แต่มิคาเอลไม่ได้มาคนเดียว มีคนตามมาด้วย ซึ่งก็แนะนำตัวกันตอนรอแทรม ตอนนั้นก็ยังปรับหูไม่ทันนะฮะ ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง เพราะฉะนั้นเลยฟังชื่อไม่ทัน(วันต่อมาถึงรู้อ่ะนะว่าพี่แกชื่อซุนตาร เป็นคนอินเดียมาเรียนป.เอกที่นี่อยู่) เค้าก็มาช่วยยกกระเป๋าไปหนึ่งใบ มิคาเอลช่วยอีกหนึ่งใบ ไอ้พวกเราก็เกรงใจ เค้าก็จะช่วยเราอยู่ดี แถมยังจ่ายค่าแทรมให้อีก ความรู้สึกแรกที่ก้าวเท้าออกจากสนามบินคือ อากาศเย็นจังเว้ยยย แถมท้องฟ้าก็จะมืดแล้ว เวลาก็ประมาณสามทุ่มครึ่งโดยประมาณ  ทุกคนก็สวมโค้ทกันหมด ส่วนพวกเราสามตัวก็มีแค่เสือยีนส์ราคาถูกคลุมตัวไว้แค่นั้นนะฮะ


                            อยู่ๆก็มีสาวสวยสองคนมาทักทายซุนตาร มิคาเอลก็ขยายความให้ฟังว่า “สองสาวเค้าเป็นเด็กไฮสคูล ซึ่งรู้จักกันเพราะซุนตารไปช่วยสอนอยู่ที่นั่น” เชดเข้!!นี่ไฮสคูลหรอ แต่งหน้าแน่น แต่งตัวแน่นมากกกกก ตัวสูงมากด้วย นี่พวกกูไม่ดูเป็นเด็กประถมไปเลยหรอฟะ หลังจากยืนงงๆ ปรับหูไม่ค่อยทันไปซักพัก แทรมสายหกก็มา เราก็แบกทรัพย์สมบัติขึ้นบนแทรมกัน ที่พักของเราอยู่ห่างจากสนามบินแค่สองสถานีเท่านั้น แต่บ้านก็ใช่ว่าจะอยู่หน้าป้ายแทรม ต้องเดินเข้าไปอีกซักหน่อย แต่ก็ไม่ได้ไกลเกินไป และแล้วเราก็มาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านเลขที่ 64 Neustadt ที่ซึ่งเกิดเหตุการณ์มากมายขึ้น


                              ห้องพักเราก็อยู่ชั้นบนสุดเลย พูดง่ายๆก็เป็นห้องใต้หลังคานั่นแหละ เราก็ต้องแบกกระเป๋าขึ้นไปชั้นสี่ พวกเราก็แบกของกันขึ้นมาก่อน โดยมีมิคาเอลรั้งท้าย เพราะมิคาเอลขึ้นบันไดมาจะไม่ไหวอยู่แล้ว เราก็รีบขึ้นมาเก็บของจะได้ไปช่วยมิคาเอลได้ แต่พอหันมาอีกทีก็มีคนมาช่วยยกของขึ้นมาให้แล้ว เป็นหนุ่มร่างสูง ผมสีดำ หน้าตาคมเข้ม จังหวะนั้นคือแบบ เธอคือเทพบุตรรูปงาม จิตใจดีมีเมตตา(แค่มันหน้าตาดีทุกอย่างก็ชนะละ) ก็พยายามจำหน้าให้ได้ เค้าน่าจะอยู่หอเดียวกับเราแน่นอน แถมหล่อด้วย ต่อมบ้าผู้ชายนี่กระดิกกันยิกๆ เราก็ได้แต่พูดแต๊งกิ้ว แน่สิฟะ พูดได้แค่ เยส โนว โอเค แต๊งกิ้ว จะไปพูดคำไหนได้ พวกเราทั้งสามก็คิดกันไว้ว่า พ่อหนุ่มนี่แหละที่ต้องเป็นเพื่อนพวกเรา


                                ห้องพ้กเราเป็นห้องพักที่กว้างมาก เรียกได้ว่าแทบเหมาทั้งชั้น เป็นห้องใต้หลังคาที่มีทุกอย่างพร้อมทั้งตู้ โต๊ะ โซฟา โคมไฟ ตู้เย็น เก้าอี้ เตียงสามเตียงที่ตั้งกันคนละมุมห้อง เอ่อ!! ก็ไม่ได้ต้องการพื้นที่ส่วนตัวขนาดนั้น ก็ต้องเสียเวลาย้ายเตียงมาอยู่ในสมรภูมิที่ดี ซึ่งตามความเชื่อบอกกันว่าฮวงจุ้ยที่ดีต้องห้ามนอนใต้คาน แต่!! ห้องใต้หลังคามีคานเป็นสิบๆอันเลยครับ นอนตรงไหนก็ไม่พ้นคานนะครับ เพราะฉะนั้นนอนๆไปเถอะตรงไหนก็ได้ แล้วซุนตารก็เตรียมอุปกรณ์การกินให้พร้อมเลย ทั้งหม้อ กะทะ จาน ชาม ช้อนส้อม แก้วน้ำ แก้วมัค แล้วยังมีขนมปัง แยม โค้กขวดลิตร ปลากระป๋อง เรียกได้ว่าทุกอย่างพร้อมมาก แล้วมิคาเอลก็เอาของขวัญต้อนรับมาให้อีก เป็นไม้ที่ใช้เลเซอร์คัตเตอร์ตัดเป็นชื่อพวกเรา แล้วก็มีรูปสี่สหายสัญลักษณ์ประจำเมืองด้วย จากนั้นก็มีสอนการใช้งานกุญแจบ้านซึ่งมันมีสเต็ปของมัน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องปลดล็อก สองครั้ง แกร๊ก แกร๊ก  ใช้เวลางงอยู่พักใหญ่ ไหนจะต้องจำทางเดินไปห้องน้ำและห้องครัวอีก ซึ่งไอ้หลีผู้มีปัญหาด้านการจำเส้นทาง มีปัญหามากสุด นำไปไหนหลงทุกที!! แม้แต่เดินไปห้องน้ำมันยังหลงเลย


                                 ที่พักที่พวกเราอาศัยอยู่นั้นเป็นที่พักที่แชร์ห้องน้ำกับห้องครัวร่วมกันกับห้องอื่น พวกเราชาวห้องใต้หลังคาก็ต้องมาพึ่งพาใช้ห้องน้ำกับห้องครัวที่ชั้นสามด้วย ห้องชั้นสามก็มีประมาณเจ็ดห้อง มีห้องใต้หลังคาอีกสองห้องที่ต้องใช้ครัวร่วมกัน มีห้องน้ำสามห้องก็แบ่งโซนกันใช้ไป สิ่งสำคัญอีกอย่างของห้องนอนเราก็คือ หน้าต่าง!! อันนี้เด็ดมาก ห้องใต้หลังคาหน้าต่างจะธรรมดาได้อย่างไรเปิดปิดหน้าต่างแต่ละทีก็ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษในการเอื้อมไปปิด(ก็เป็นไม้ยาวๆมีจะงอยไว้เกี่ยวตรงปลายนั่นแหละ) เนื่องจากหน้าต่างก็อยู่ที่หลังคาไงหล่ะ เพราะฉะนั้นถ้าอากาศหนาวห้องเราจะหนาวสุดหรือในทางกลับกัน ถ้าอากาศร้อนห้องเราก็ร้อนสุด หลังจากศึกษาการเปิดปิดหน้าต่างเรียบร้อยแล้ว มิคาเอลก็ขอตัวกลับ และนัดแนะกันว่าเดี๋ยวเก้าโมงเช้าวันพรุ่งนี้ให้ไปเจอกันที่มหาลัย โดยที่ซุนตารจะพาไปเอง พวกเราก็ไปผลัดกันอาบน้ำ กว่าจะทำอะไรเสร็จก็ล่อไปตีสองกว่าละ ก็ลุ้นกันนะว่า เราจะตื่นกันทันไหม


                                 มาสะดุ้งตื่นเอาตอนฟ้าสว่างจ้าจนแดดแยงตา ลุกกันพรวดเลย พอหยิบนาฬิกามาดู เห้ย!! ตีห้าเองทำไมฟ้าสว่างอย่างกับสิบโมงวะ แถมอากาศหนาวมากดูอุณหภูมิ สี่องศา คุณพระ!! ฉันมาหน้าร้อนไม่ใช่หรอ รีบลุกไปปิดหน้าต่างแทบไม่ทัน เมื่อคืนก็เปิดหน้าต่างมันซะทุกบานกลัวอากาศไม่ถ่ายเท ทั้งๆที่มิคาเอลกับซุนตารก็เตือนแล้วแท้ๆว่าเปิดสองบานก็พอนะ นี่ล่อเปิดสี่ห้าบานเลยจ้า หนาวสั่นมาก ก็เลยต้องตื่นมาใส่เสื้อกันหนาวแล้วก็เอาผ้าปิดตานอนกันต่อ ตื่นมาก็เกือบสาย เลยตัดสินใจไม่อาบน้ำเนื่องจากหนาวมาก แปรงฟันอย่างเดียวก็พอ พอลงไปเจอซุนตารที่ห้องครัวก็ได้รู้ว่าเค้านอนห้องที่อยู่หน้าห้องครัวเลย เรียกว่าอยู่ในห้องครัวเลยจะดีกว่า เปิดประตูมาก็ห้องครัวละ พวกเราก็กินขนมปังทาแยมกันแบบเร่งด่วนเนื่องจากสายแล้ว แล้วเราก็เดินไปรอแทรมสายหก แทรมเป็นเป็นการเดินทางหลักของคนบ้านนี้เมืองนี้นะฮะ มันก็คือรถรางที่วิ่งในเมือง เพราะว่าสะดวกที่สุดแล้ว มีป้ายบอกเวลาแทรมมาอย่างชัดเจน ว่าอีกกี่นาทีแทรมถึงจะมา ซุนตารก็พาเรามารอรถพร้อมๆกับสอนการใช้ชีวิตที่เมืองนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้ามถนน จะต้องรอให้สัญญาณไฟสีเขียวก่อนถึงข้ามได้ไม่ว่าจะมีรถหรือไม่ ห้ามเดินบนทางสีแดงเพราะนั่นคือทางจักรยาน และยังแนะนำว่าให้เลิกยกมือไหว้ได้แล้ว คนที่นี่ไม่มีใครเข้าใจหรอก ให้ยกมือทักทายเอา จากนั้นก็พาเราขึ้นแทรมแถมยังจ่ายค่าแทรมให้อีก


                                   ขณะอยู่บนแทรมพวกเราก็ตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศรอบข้างมาก เพราะเป็นอีกบรรยากาศนึงที่ไม่เคยเห็นไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต สไตล์บ้าน สไตล์ถนน การวางผังเมือง สีสันของบ้านในระแวกนั้น ร้านขายของต่างๆ ทุกอย่างคือความแปลกใหม่  ซุนตารก็คอยบอกให้เราจำทาง ว่าอะไรคือที่ไหน ตรงนี้คือ city center นะ ภาษาเยอรมันคือ Domsheide ตรงนี้คือ Train station ภาษาเยอรมันคือ Hauptbanof สามคนที่เมมสมองน้อยมาก ก็ต้องมาคอยจำทั้งทาง ทั้งชื่อสถานี ทั้งภาษาเยอรมัน กว่าจะออกเสียงกันได้จริงๆก็ล่อไปสองอาทิตย์โน่น จากแฟลตถึงมหาวิทยาลัยใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที การใช้ความจำยังไม่หมดต้องจำทางเดินไปห้องแลปกันอีก โดยมีต้าผู้มีความสามารถพิเศษด้านการจำทางเป็นคนจัดการเรื่องนี้


                                      พอไปเจอกับมิคาเอลแล้ว มิคาเอลก็เอาของมาให้อีก ทั้งแผนที่ สมุด ปากกา ถุงผ้ามหาลัย และยังมีช็อกโกแลตอีกด้วย เป็นช็อกโกแลตที่เป็นโอท๊อปของเมือง จากนั้นมิคาเอลก็พาพวกเราไปหาแอดไวเซอร์ซึ่งเค้ากำลังจะเดินทางไปประชุมที่ลอนดอนซักสามสี่วัน แอดไวเซอร์ของพวกเราเป็นชาวอินโดนีเซียตัวเล็กๆชื่อ เฮสตี้ เฮสตี้ก็เอาช็อกโกแลตมาให้พวกเราเป็นของขวัญอีก เปรมกันเลยทีเดียวช็อกโกแลตเต็มเลย แล้วก็มีการบอกแผนงานกันนิดหน่อยก่อนจะไปทานอาหารกลางวันกัน...ที่เมนซ่า




                                                                                                                                           @Bremen City





เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in