เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
PRAY STATION ชั่วโมงท่องมนต์SALMONBOOKS
01: คนที่ค้นหาความพอดี

  • ชีวิตในวัยเด็กของผมค่อนข้างเรียบง่าย ไม่มีอะไรโดดเด่น เป็นเด็กธรรมดาทั่วไปที่ตื่นเช้าไปเรียน ตกเย็นเตะบอล ผลการเรียนปานกลาง มีอะไรสะดุดตาอยู่บ้างก็คงเป็นแว่นสายตาที่อยู่บนใบหน้าและการยืนนิ่งๆ เวลาชาวบ้านเขาสวดมนต์ไหว้พระตอนเข้าแถวเคารพธงชาติ

    เปล่า—ผมไม่ได้ทำตัวเท่แหวกกระแส แต่ที่เป็นแบบนี้เพราะผมเป็นชาวคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งในตอนนั้น เด็กชายศิรศักดิ์คิดว่ามัน ‘คูล’ มากเลยแหละครับ (เสยผม)

    ด้วยความเป็นชาวคริสต์ ผมเลยสวมสร้อยประคำที่มีจี้พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขนตลอดเวลา แถมวันอาทิตย์ยังต้องไปโบสถ์เพื่อทำพิธีมิสซา (เหมือนการฟังเทศน์ฟังธรรมนั่นแหละครับ) และร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าอีก หึหึ คูลซะไม่มี

    แต่เอาเข้าจริง ที่เด็กอย่างผมมองว่ามันคูล ก็คงเพราะตอนนั้นฐานะทางบ้านของผมไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ ของเล่นหรือความบันเทิงที่พอจะหาได้เลยเกิดขึ้นที่โบสถ์เท่านั้น และความรักในเสียงดนตรีก็เกิดขึ้นจากที่แห่งนี้

    ผมสนุกกับการได้ฟัง ได้ดูนักดนตรีเล่นออร์แกน ได้ลองจับ ลองเล่นเครื่องดนตรีหลากหลาย ได้หัดร้องเพลงจากโบสถ์ ทำให้ผมพอมีเซนส์ด้านการร้องคอรัส การหาขั้นคู่เวลาร้องประสานเสียงและการอิมโพรไวส์ตั้งแต่เด็กๆ
  • แม้จะดูเป็นความสามารถพิเศษที่น่าอิจฉา แต่ผมก็ยังไม่พอใจ ยิ่งเห็นเด็กหลายคนที่มาโบสถ์มีเสื้อผ้าสวยๆ มีของเล่นดีๆ สายตาที่มองเครื่องดนตรีก็เริ่มหันไปมองหุ่น Mazinger Z รุ่นใหม่ตัวใหญ่เบิ้มของเพื่อนแทน จากเด็กที่มีความสุขดี ก็เริ่มไม่พอใจในสิ่งที่มี เด็กชายศิรศักดิ์กลายไปเป็นเด็กที่อยากได้อยากมีอย่างคนอื่น แต่จะให้ไปอ้อนพ่อแม่ก็คงเปล่าประโยชน์ ตั้งแต่ตอนนั้นผมจึงตั้งเป้าหมายกับตัวเองไว้ว่า วันหนึ่งจะเป็นคนรวยให้ได้

    ผมพยายามสร้างอนาคตด้วยการบอกตัวเองว่าจะไม่มีวันขึ้นรถเมล์ไปทำงาน จะไม่ยอมมีสายตาที่เรียบเฉยและเลื่อนลอยแบบคนที่ใช้ชีวิตให้จบไปวันๆ ผมจะต้องรวยและมีชีวิตที่โลดโผนให้คุ้มค่ากับที่เกิดมา

    พระเจ้าท่านคงได้ยิน

    จากเด็กน้อยแสนขี้เกียจที่วันๆ เอาแต่ร้องประสานเสียงในโบสถ์ ผมสอบเข้าโรงเรียนมัธยมชั้นนำแห่งหนึ่งได้ เมื่อสังคมที่เราอยู่เปลี่ยนไป ความคูลของเราก็เปลี่ยนไปด้วย

    ผมกลายเป็นเด็กกลางห้อง เรียนแค่พอผ่าน กีฬาก็ไม่เด่น เกียจคร้านแต่พองาม มาสายเป็นครั้งคราว จะห้าวมากก็ไม่ค่อยไหว (กลัวโดนต่อยแว่นหัก) ความเป็นคาทอลิกก็ชักจะไม่คูล พอเห็นเพื่อนเล่นกีตาร์แล้วสาวกรี๊ดก็เลยอยากทำได้บ้าง

    ผมหากีตาร์ยี่ห้อ JOJO มาได้หนึ่งตัว หัดไปหัดมาจนนิ้วด้าน กลายเป็นว่าหมกมุ่นอยู่กับกีตาร์จนไม่ได้ไปส่องสาว...
  • เมื่ออยู่กับมันแทบทุกวันทุกเวลา พอเข้ามหาวิทยาลัยผมเลยคิดจะใช้ดนตรีเพื่อหาเงิน

    ผมเริ่มเล่นดนตรีกลางคืนตอนอายุ 19 เลิกเรียนก็รีบบึ่งจากมหา’ลัยแถวสามย่านไปสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ นั่งรถทัวร์ไปเล่นที่นครปฐม เล่นเสร็จก็ขอนอนที่ร้าน ตื่นเช้าขึ้นรถทัวร์แล้วกลับมาเรียน พอมีเวลาว่างก็ทำเดโมเสนอค่ายเพลงกับเพื่อน ผ่านบ้างไม่ผ่านบ้าง แต่พอผ่านก็ดันดวงกุด ค่ายเพลงปิดตัวลงหลังจากรับเราเข้าไปไม่นาน… สุดท้ายก็วงแตกแยกย้ายกันไป

    ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังดั้นด้นเล่นดนตรีมาเรื่อยๆ กลายเป็นนักร้องเดี่ยวหิ้วกีตาร์ตัวเดียวโฉบเฉี่ยวไปทั่ว แรกๆ ก็ได้เล่นสัปดาห์ละวันสองวัน แต่พอผมเริ่มเปลี่ยนสไตล์การเล่น เป็นเอนเตอร์เทนคนฟังไปด้วย เล่นดนตรีไปด้วย ก็กลายเป็นมีคิวแน่นเจ็ดวันรวดจนได้ชื่อว่าเป็นนักดนตรีที่ร้องเล่นได้เถิดเทิงพอสมควร (เห็นแบบนี้ เวลาอยู่บนเวทีผมเอาฮาเข้าสู้นะครับ) แล้ววันหนึ่งก็บังเอิญไปเตะตารุ่นพี่ที่มหา’ลัยซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ เลยได้จับพลัดจับผลูเข้าไปร้องคอรัส แล้วก็เริ่มได้งานร้องเพลงประกอบละครเรื่องแรกตอนอายุ 21 (เพลง ฉันเลือกเอง เพลงประกอบละครเรื่อง เพื่อนร้ายบนทางรัก) เริ่มต้นเป็นหุ้นส่วนร้านเหล้าเล็กๆ และได้ร้องเพลง แทนใจ (เพลงประกอบละครเรื่อง เพลงผีบอก) แล้วดันฮิตอย่างไม่มีใครคาดคิดตอนอายุ 22

    ชื่อของ ‘ศิรศักดิ์’ เลยเริ่มเป็นที่รู้จักและมีคนสงสัยว่าหมอนี่คือใคร กระทั่งคุณบอย—ถกลเกียรติ วีรวรรณ แห่ง Exact ต้องเรียกตัวไปดูโหงวเฮ้ง จนได้โอกาสออกอัลบั้มแรกตอนอายุ 23 จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่จุดที่ใครๆ เรียกว่าประสบความสำเร็จทั้งด้านงานเพลงและการเป็นเจ้าของกิจการตอนอายุ 24
  • ตอนนั้นชีวิตของผมเต็มไปด้วยความสนุกสนาน มีเรื่องให้ลุ้นระทึกไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งเรื่องสาวๆ เรื่องเมาๆ เรื่องคอขาดบาดตาย เรื่องการบริหาร (ในแบบฉบับของหุ้นส่วนที่อายุน้อยที่สุด)

    ผมรู้สึกว่าตัวเองเนื้อหอมขึ้นเรื่อยๆ เริ่มทำตัวน่าหมั่นไส้กวนประสาท และมาถึงจุดที่เหิมเกริม (หรือหลงตัวเองนั่นแหละครับ...) ผมซื้อรถแพงๆ สวมนาฬิกาหรูๆ อยู่คอนโดฯ งามๆ ใช้ชีวิตในแบบที่หวังให้คนที่เคยดูถูกต้องหงายเงิบ เติมเต็มให้กับวัยเด็กที่แสนจะต๊อกต๋อยอย่างเต็มที่ ผมมั่นใจในตัวเองเสียเต็มประดา

    เมื่อกิจการเริ่มขยับขยายใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ผมจำเป็นต้องเลือกระหว่างการเป็นนักร้องกับเจ้าของกิจการ ผมตัดสินใจลดงานเพลงที่เรารักให้กลายเป็นเพียงงานอดิเรกเล็กๆ น้อยๆ แล้วหันมาทุ่มเวลาให้กับการเป็นเจ้าของกิจการ ทำการค้าอย่างเต็มตัว

    ทั้งหมดนั้นก็เพื่อเงิน...

    ยิ่งได้เงินเยอะเท่าไหร่ ผมยิ่งทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง ผมถือคติว่าการที่เรามีงานให้ทำมากมาย ยุ่งจนหัวหมุน แปลว่าเรามีค่า ชีวิตมันต้อง Work Hard Play Hard อย่างนี้สิ!

    แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขก็อยู่กับผมได้ไม่นาน

    ผมมีโอกาสเห็นความตายอย่างใกล้ชิดตอนอายุ 25

    ผมล้มเหลวทางธุรกิจอย่างไม่เป็นท่าตอนอายุ 27

    เคยขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ เพราะเกือบโดนตำรวจจับด้วยเรื่องงี่เง่าที่สุดตอนอายุ 29

    ผมมีชีวิตโลดโผนสมใจอยาก
  • ถึงจุดหนึ่งผมก็เริ่มเบื่อเหล้ายาปาร์ตี้ เบื่อความสวยปลอมๆ ในแสงสลัว เบื่อเพลงสุดแสนเร้าใจที่ได้ฟังทุกวัน

    ชีวิตที่เคยคิดว่าโลดโผนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่แสนจืดชืด

    ภายนอกที่ดูเหมือนจะอ่อนวัยกว่าคนรุ่นเดียวกัน ผมกลับมีโรคประจำตัว ป่วยออดๆ แอดๆ หลายอย่าง ผมเป็นโรคนอนไม่หลับ ไม่ค่อยยิ้ม และไม่ร้องไห้เลย (เป็นลูกผู้ชายต้องไม่มีน้ำตา ถุย) ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความเครียด การทำงานหามรุ่งหามค่ำ ความเก็บกด การกดดันตัวเอง และอีกมากมาย

    ตลอดช่วงสิบปีในวัยเลขสองนำหน้า ผมต้องจ่ายเงินที่หามาได้ให้กับอาการป่วยไข้ แม้จะมีบ้าน มีรถ มีเงิน แต่ผมไม่เคยออกไปเที่ยวที่ไหน ได้แต่ดูหนังจากดีวีดี กินข้าวที่ร้านตัวเอง ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว ผมเริ่มรำพึงต่อพระเจ้าว่า “ผมเหนื่อย ผมขอโทษ ผมจะไม่ขออะไรแบบนี้อีกแล้ว ผมอยากได้ชีวิตนิ่งๆ เรียบๆ บ้าง”

    ผมชักจะเศร้ามากกว่าสุข เลยเลือกที่จะปรับชีวิตให้สมดุล ผมถอนหุ้นจากร้านเดิมมาทำร้านของตัวเอง เน้นหาเงินแค่ประมาณหนึ่ง ไม่บ้าคลั่งกับงานจนไม่มีเวลาดูแลชีวิตส่วนตัว จากที่ร้านเก่าปิดตีสองก็เปลี่ยนเป็นเที่ยงคืน ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี จนมาถึงเรื่องน้ำเน่าของวัยรุ่น (ตอนปลาย)

    ผมอกหัก

    หลังจากอกหักตอนอายุ 31 ผมพยายามจะลดความโลดโผนในชีวิต ลดบทบาทหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในร้านลงอีก ปล่อยให้คนอื่นทำแล้วกลับมาเริ่มเล่นดนตรีอย่างจริงจังอีกครั้ง

  • แต่หลายครั้งที่เชิญเพื่อนๆ ศิลปินมาเล่นคอนเสิร์ตที่ร้านก็เกิดการเปรียบเทียบ พอเห็นเพื่อนๆ วัยเดียวกันประสบความสำเร็จทางดนตรี ได้เป็นนักดนตรีฝีมือฉกาจ กลายเป็นโปรดิวเซอร์ชั้นยอด ในขณะที่เราเองยังคงต๊อกต๋อย เล่นดนตรีได้แต่ไม่เก่ง มิกซ์ดาวน์ (หนึ่งในขั้นตอนการผสมเสียง) ได้แต่ไม่อยู่ในระดับเซียน แต่งเพลงได้แต่ก็น้อย ร้องเพลงก็ไม่เก่ง เอนเตอร์เทนเริ่มไม่ค่อยไหว ผมกลับมาทบทวนสถานะนักดนตรีของตัวเอง

    ขณะที่ผมกำลังเสียศูนย์ ร้านเหล้าหน้าใหม่ก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับไฟในการทำงานของผมที่เริ่มมอด ความกล้าได้กล้าเสียก็ลดลงกว่าแต่ก่อน ผมเริ่มกังวลว่าจะดูแลลูกน้องที่ร่วมฝ่าฟันกันมาไม่ไหว ผมเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่านี่กูเอาเวลาและเงินไปทำบ้าอะไรอยู่

    ทำไมยิ่งพยายามมีชีวิตที่สงบสุข มันกลับยิ่งถอยหลังลงคลอง?

    Midlife Crisis เริ่มเล่นงานผมอย่างช้าๆ แต่เน้นๆ…

    ในที่สุดผมก็ยุติบทบาทการเป็นเจ้าของกิจการ แล้วเลือกกลับไปทำงานสายดนตรี

  • ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองคงจะมีความสุขขึ้น แม้จะได้เงินไม่มากแต่ก็ได้อยู่กับสิ่งที่เรารัก

    หลังจากทำงานเบื้องหลังอยู่พักใหญ่ ผมก็ออกซิงเกิลเพลงใหม่ในรอบห้าปี ยอดสปิน (จำนวนความถี่ของการเปิดเพลงเราในรายการวิทยุ) พอทำให้ชื่นใจอยู่บ้าง แต่ความที่ธุรกิจเพลงยุคใหม่เปลี่ยนไป เราซื้อขายเพลงกันบนอินเทอร์เน็ต จากที่เคยทำเพลงเป็นอัลบั้มก็เปลี่ยนมาทำเป็นซิงเกิล การหาโหลดเพลงฟรีง่ายกว่าการซื้อเพลงผ่านช่องทางต่างๆ รายได้ที่ได้กลับมาน้อยลงจากแต่ก่อนจนน่าใจหาย และที่หนักกว่านั้นคือน้อยคนที่จะรู้ว่าเพลงนั้นเป็นเพลงของผม… (เพลงนั้นชื่อว่า อยู่คนเดียวอย่างนี้ก็ดี)

    ผมอยู่ในสถานะเหมือนคนว่างงาน สภาพจิตใจตกต่ำ ผมเริ่มอยากหนี อยากพัก อยากหาที่ตั้งหลัก และขณะที่ดูเหมือนจะหาทางออกให้กับชีวิตไม่ได้เลย ความคิดหนึ่งก็ลอยเข้ามา

    หรือผมจะไปบวช?

    ถึงผมจะเป็นชาวคริสต์โดยกำเนิดแต่ผมก็ชอบศึกษาวิถีของทางพุทธ

    ด้วยความเป็นคนชอบอ่านชอบคิดตามไปเรื่อย ก็เลยมักมีความคิดในแบบของตัวเองว่าฉันรักพระเจ้า แต่วิถีที่พระพุทธเจ้าวางไว้ก็น่าสนใจ เพราะสำหรับผม การรักทุกคนให้เหมือนตัวเองมันทำได้ยาก ศีลห้าดูเป็นไปได้มากกว่า ทางสายกลางก็ดูน่าสนใจดี ผมจึงเป็นชาวคริสต์ที่พยายามจะยึดมั่นในทางสายกลาง

    แต่การที่ผมพยายามจะทำทุกอย่างให้ดีและพอดีแบบวิถีของพุทธก็ช่างดูยากและหนัก
  • ตอนนั้นผมไม่ได้อยากรวย แต่ก็ไม่อยากลำบาก อยากให้คนรอบข้างมีความสุข แต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งทุกข์ แรกๆ ตึงไปจนสังขารจะแย่ พอเราเริ่มคลายก็กลายเป็นหย่อนจนได้แต่นอนจมอยู่กับพื้น หลายสิ่งหลายอย่างรอบกายเริ่มไม่ลงตัว ไม่ว่าทำอะไรก็ผิดไปทุกอย่าง ไม่ขาดก็เกินอยู่อย่างนั้น

    ความพอดีมันอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้...

    ถึงตรงนี้ มีทางออกอะไรน่าสนใจอีกไหม

    ความตายหรือ?

    ไม่! ผมยังไม่อยากตาย ผมกลัวตายจะแย่

    ไปต่างประเทศล่ะ?

    ลืมไปได้เลย เพราะแค่จะไปเที่ยวทะเลผมยังมีเงินไม่พอ เอาเข้าจริงผมก็แค่อยากพัก ไม่ได้อยากหนี

    ความคิดเรื่องบวชกลับมาอีกครั้ง

    แต่เราเป็นชาวคริสต์นี่นา…

    ถ้าจะบวชจริงๆ เราต้องเปลี่ยนศาสนาหรือเปล่า? หรือเราจะเป็นชาวคริสต์ทั้งที่ยังบวชดี? ถ้าอย่างนั้นชาวคริสต์คนอื่นจะมองเรายังไง? ไหนจะชาวพุทธอีกเล่า? เราสนใจทางพุทธ แต่ก็ยังมีความรักในพระเจ้าอยู่นะ!

    โอ๊ย! สับสน

    …แต่ในเมื่อมันเป็นหนึ่งในหนทางที่จะทำให้ผมได้พัก และอาจหาคำตอบให้กับชีวิตที่กำลังจะเละคามือตัวเองได้

    ตอนนั้นผมตัดสินใจอย่างแน่วแน่

    ผมมุ่งมั่นออกแสวงบุญแบบแสนจะย้อนแย้งว่า

    …ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ลูกขอไปบวชพุทธสักพักนะครับ...

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in