เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
POWERISMSALMONBOOKS
01: การเมืองมะเขือเทศ



  • 1

    ก่อนอื่น ไม่ต้องเถียงกันนะครับว่ามะเขือเทศเป็นผักหรือผลไม้ เพราะศาลสูงสหรัฐฯ เคยตัดสินมาแล้วว่ามันคือผัก

    หา! ศาลสูงหรือ supreme court อันทรงเกียรติเนี่ยนะต้องมาตัดสินว่ามะเขือเทศเป็นผักหรือผลไม้!

    ใช่ครับ เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ซึ่ง ‘การท่าฯ’ (Port Authority) แห่งนิวยอร์ก ได้จัดประเภทเอาไว้ว่ามะเขือเทศเป็นผัก ทำให้เวลานำเข้าจะต้องเสียภาษี 10 เปอร์เซ็นต์ พวกพ่อค้าอิมพอร์ตก็เลยคัดค้านด้วยการยื่นต่อศาลว่าที่จริงแล้วมะเขือเทศเป็นผลไม้ต่างหาก และผลไม้ก็ไม่ต้องเสียภาษี 10 เปอร์เซ็นต์

    จริงอยู่ ในทางวิทยาศาสตร์ ลูกมะเขือเทศคือ ‘ผล’ (fruit) ของต้นมะเขือเทศ แต่ศาลสูงบอกว่าต้องแยกแยะระหว่างความเป็นวิทยาศาสตร์กับชีวิตประจำวัน เพราะคนเราไม่ได้เอามะเขือ-เทศมากินกันแบบผลไม้ แต่เราเอามาต้มผัดแกงทอด ซึ่งเป็น ‘วิธีบริโภค’ ที่ไม่เหมือนผลไม้ (ที่นิยมกินสดๆ) มะเขือเทศจึงไม่ใช่ผลไม้ แต่ให้จัดประเภทเป็นผัก

    สรุปก็คือ มะเขือเทศต้องเจอภาษี 10 เปอร์เซ็นต์ และถูกมองว่าเป็น ‘ผัก’ ตั้งแต่นั้นมา

    คำถามก็คือ นี่เป็นเรื่อง ‘การเมืองของมะเขือเทศ’ หรือเปล่า?
  • 2

    ในสังคมไทย มะเขือเทศสีแดงๆ ลูกเล็กลูกใหญ่ทั้งหลายแหล่นี่ไม่ค่อยถูกมองว่าน่ารังเกียจหรือเป็นพิษเป็นภัยสักเท่าไหร่

    แต่ในสังคมตะวันตกนี่สิครับ นับตั้งแต่มะเขือเทศไป ‘ขึ้นฝั่ง’ ที่ยุโรปราวศตวรรษที่ 16 (ซึ่งต้องขอกระซิบบอกศาลสูงสหรัฐฯ กันหน่อยนะครับว่าตอนนั้นผู้คนเห็นมะเขือเทศเป็น ‘ผลไม้’ ไม่ใช่ผัก) มันก็ถูกมองเป็น ‘ตัวร้าย’ มาโดยตลอด

    ทั้งที่เอาเข้าจริงแล้วไม่ใช่ความผิดของมะเขือเทศเลยแม้แต่น้อย!

    ว่าแต่ว่า มะเขือเทศถูกมองเป็นตัวร้ายยังไงบ้าง?

    คุณคงรู้นะครับว่าในยุคศตวรรษที่ 14-17 ยุโรปนั้นเต็มไปด้วย ‘แม่มด’ (หรือคนที่ฝึกฝนในศาสตร์ที่เรียกว่า Witchcraft) และเมื่อมีแม่มด ก็ย่อมมีพวก ‘ล่าแม่มด’ เป็นธรรมดาสามัญ

    โรนัลด์ ฮัตตัน นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ ประมาณการแบบ ‘น้อยที่สุด’ เอาไว้ว่า ในช่วงปี 1300-1650 มีคนที่ถูก ‘ล่าแม่มด’ โดยทั้งรัฐ องค์กรศาสนา และชุมชน จนต้องสังเวยชีวิต เช่น ถูกเผาทั้งเป็นอยู่ราว 35,184-63,850 คน ซึ่งต่อให้คิดเป็นระยะเวลาหลายร้อยปีก็ยังเป็นตัวเลขที่สูงมากอยู่ดี โดยตัวเลขนี้ยังไม่รวมคนที่ถูกล่าแม่มดจนสูญหายไปแบบไม่เป็นทางการอีกนะครับ เฉพาะในเยอรมนีพบว่ามีคนที่ถูกล่าแม่มดจนตายอย่างน้อย 17,000 คนเข้าไปแล้ว นักสังคมวิทยาบางคน เช่น นาคมาน เบน-เยฮูดา (Nachman Ben-Yehuda) ประมาณเอาไว้ว่าถ้านับรวมๆ แล้วเป็นไปได้ว่าจะมีคนถูกฆ่าเพราะเป็นแม่มดมากถึงราวห้าแสนคน ซึ่งเป็นตัวเลขมหาศาล และนั่นแสดงให้เราเห็นถึงปริมาณ ‘ความกลัว’ แม่มดที่มหึมา

    แล้วทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องอะไรกับมะเขือเทศ?
  • คำตอบก็คือ คนยุคนั้นเชื่อกันว่า ถ้าหากจะบินได้ (โดยใช้ไม้กวาด) พวกแม่มดจะต้องเอาขี้ผึ้งพิเศษมาทาถูที่ไม้กวาดของตัวเองเสียก่อน ซึ่งเจ้าขี้ผึ้งที่ว่านี้ทำมาจากพืชร้ายกาจหลายชนิด คือเฮมล็อก (Hemlock เป็นยาพิษที่โสคราติสดื่มจนตาย) ไนต์เฉด (Nightshade) เฮนเบน (Henbane) และแมนเดรก (Mandrake) ซึ่งสามชนิดหลังนี้เป็นพืชที่มีความใกล้ชิดกับมะเขือเทศเป็นอันมาก

    ตัวอย่างเช่น แมนเดรก (ที่มีรากเป็นรูปคล้ายๆ คน เลยเชื่อกันว่าเอามาทำพิธีต่างๆ ได้) ซึ่งมีผลที่เหมือนกับมะเขือเทศอย่างกับแกะ (เพียงแต่จะมีสีเหลืองเหมือนมะเขือเทศที่ยังไม่สุกเท่านั้น) แต่ลูกแมนเดรกนี่ถ้ากินเข้าไปจะทำให้เกิดอาการประสาทหลอนได้

    ตอนที่มะเขือเทศมาถึงยุโรปในศตวรรษที่ 16 นั้น ความ ‘กลัว’ แม่มดกำลังเฟื่องฟูถึงขีดสุด แต่เหตุผลที่คนชิงชังรังเกียจมะเขือเทศไม่ได้หยุดอยู่แค่เพราะมันมีลักษณะคล้ายแมนเดรก ทว่ายังเกิดจาก ‘อวิชชา’ ที่ซับซ้อนอีกหลายเรื่อง

    อย่างหนึ่งก็คือ ไอ้เจ้าขี้ผึ้งที่แม่มดใช้ทาถูไม้กวาดนั้น ยังเชื่อกันอีกนะครับว่าพวกแม่มดเอามาทาถูตัวเองด้วย แต่ไม่ได้ทาถูเพื่อให้บินได้ ทว่าทาถูเพื่อให้ ‘แม่มด’ สามารถ ‘แปลงร่าง’ เป็น ‘มนุษย์หมาป่า’ (werewolf) ได้

    นักล่าแม่มดอย่างเฮนรี โบเกต (Henry Boguet) บันทึกไว้ว่า แม่มดชอบแปลงร่างเป็นมนุษย์หมาป่าเพื่อจะล่าเด็กเล็กๆ และเมื่อแม่มดแปลงร่างเป็นมนุษย์หมาป่าแล้วก็จะมีความสามารถทำให้พืชผลที่ปลูกอยู่เหี่ยวเน่าเสียหายได้ด้วย

    แล้วมนุษย์หมาป่าเกี่ยวอะไรกับมะเขือเทศ?
  • เรื่องนี้สนุกมากนะครับ เพราะต้องเล่าย้อนกลับไปหานักปราชญ์ยุคโรมันโบราณคนหนึ่งเสียก่อน เขามีชื่อว่า กาเลน (ชื่อจริงๆ คือ Aelius Galenus หรือ Claudius Galenus ได้ฉายาว่า กาเลนแห่งเพอร์กามอน) เขาเป็นทั้งแพทย์ นักพฤกษศาสตร์ และนักปรัชญา กาเลนเขียนตำราเล่าถึงพืชพรรณต่างๆ ในโลกหล้านี้เอาไว้ทั้งหมด โดยแบ่งพืชไว้เป็นประเภทต่างๆ และอรรถาธิบายในรายละเอียดไว้อย่างพิสดาร

    แต่ก็อย่างที่รู้แหละนะครับ แม้กาเลนจะเก่งกาจขนาดไหน แต่โลกนี้กว้างใหญ่กว่าที่กาเลนเคยประสบพบเจอเยอะ ดังนั้นเมื่อโลก ‘เปิด’ หรือเชื่อมโยงถึงกันผ่านการค้นพบทวีปใหม่ของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสก็เกิดการนำเข้าพืชผลใหม่ๆ ประหลาดๆ จากสหรัฐฯ มากมาย เช่น ข้าวโพด บลูเบอร์รี หรือผลโกโก้ (รวมถึงมะเขือเทศของเราด้วย)

    ทีนี้พอมีผลไม้ใหม่ๆ เกิดขึ้น ผู้คนก็ต้องวิ่งแจ้นกลับไปเปิดตำราของกาเลน เพื่อดูว่าไอ้เจ้าผลไม้ใหม่ๆ พวกนี้มันคืออะไร เข้าแก๊ปกับที่กาเลนเคยบอกเอาไว้หรือเปล่า

    ผลไม้ใหม่ๆ (จะเรียกว่าผลไม้ประหลาดก็คงได้) เหล่านี้ทำให้เกิดกระแสตระหนกตกใจกันไปทั่วเลยนะครับ เพราะเดิมทีเชื่อกันว่ากาเลนบอกทุกอย่างเอาไว้แล้ว แต่เมื่อมีอะไร ‘นอกคอก’ ไม่เป็นไปตามที่กาเลนเคยบอกไว้ ก็แปลว่ากาเลนไม่ได้ ‘รู้จริง’ 

    สำหรับคนสมัยนั้น การจะยอมรับว่ากาเลนผู้เป็นนักปราชญ์โบราณไม่ได้ ‘รู้จริง’ หรือรู้ไม่ครบถ้วนก็เหมือนกับโลกทั้งใบสั่นคลอน เหมือนการท้าทายว่าบรรพบุรุษผู้เก่งกาจไม่ได้รู้ทุกเรื่อง โลกนี้เป็นโลกที่ unknowable หรือไม่สามารถจะรู้ให้หมดได้ ซึ่งแนวคิดแบบนี้ไปขัดแย้งกับเรื่องราวในพระคัมภีร์ โดยเฉพาะบทปฐมกาลที่บอกไว้ว่า อดัมได้ ‘ตั้งชื่อ’ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก (หรือในสวนอีเดน) เอาไว้แล้ว การค้นพบสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่ จึงน่าขนพองสยองเกล้าเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันแปลว่าพระคัมภีร์ผิด!

    มะเขือเทศก็เป็นแบบนั้นแหละครับ!
  • เมื่อมะเขือเทศแพร่เข้ามาในยุโรป และเริ่มแยกแยะกันได้แล้วว่ามันไม่ใช่แค่แมนเดรกหรือไนต์เฉด (แม้จะคล้ายกัน) ผู้คนก็เลยไปค้นตำราของกาเลน เพื่ออธิบายว่ามันคืออะไร ปรากฏว่ากาเลนเคยพูดถึงพืชชนิดหนึ่งเอาไว้ มีชื่อเป็นภาษาโรมันว่า λῠκο-πέρσιον ซึ่งแปลว่า wolf อะไรสักอย่าง (wolf-something) คนเลยร่ำลือกันว่า มันคือผลไม้ที่กาเลนบอกว่าเป็น wolf peach หรือลูกพีชหมาป่า

    เสร็จแล้วก็จับมะเขือเทศ (หรือลูกพีชหมาป่า) โยงเข้ากับแม่มดในทันที!

    อย่างไรก็ตาม คนในยุโรปบางพื้นที่ไม่ได้มองมะเขือเทศเป็นตัวร้ายเสมอไป คนที่อยู่ในเขตร้อนกว่า (เช่น แคริบเบียน สเปน หรืออิตาลี) เห็นว่ามะเขือเทศมีฤทธิ์เย็น กินเวลาร้อนๆ แล้วจะชื่นฉ่ำชื่นใจ แต่พอคนอังกฤษซึ่งอยู่ในเขตหนาวชื้นหวังจะกินมะเขือเทศเพื่อช่วยให้ร่างกายรู้สึกดีกลับพบว่ามะเขือเทศยิ่งทำให้แย่ เพราะจะเกิดฤทธิ์ในทางตรงข้าม คือทำให้หนาวเข้าไปใหญ่ ด้วยเหตุนี้ เราจะเห็นได้ชัดเจนเลยนะครับว่าสูตรอาหารทางใต้ (อย่างในแถบเมดิเตอร์เรเนียน) จะมีมะเขือเทศเป็นส่วนประกอบสำคัญ ขณะที่ยุโรปเหนือจะไม่ค่อยกินมะเขือเทศกัน (อีกเหตุผลหนึ่งคงเป็นเพราะปลูกยากด้วย)

    ทีนี้เมื่อความเชื่อของคนอังกฤษที่ว่ามะเขือเทศไม่ได้ดีต่อร่างกายไปผนวกรวมเข้ากับชื่อเสีย (ง) เดิมของมะเขือเทศที่เกี่ยวข้องกับแม่มดและมนุษย์หมาป่า คนอังกฤษยุคนั้นเลยไม่ค่อยชอบมะเขือเทศนัก เมื่อมีการอพยพไปอยู่สหรัฐฯ (หรือนิวอิงแลนด์) ลูกหลานที่ย้ายดินแดนไปแล้วก็ยังคงมองมะเขือเทศร้ายกาจอยู่เหมือนเดิม
  • ในหนังสือ The Tomato in America: Early History, Culture, and Cookery ของแอนดรูว์ เอฟ. สมิท เล่าถึงความชิงชังมะเขือเทศเอาไว้หลายเรื่องนะครับ เช่น เรื่องของแพทย์จากฮาร์วาร์ดคนหนึ่งในศตวรรษที่ 19 ที่ต่อต้านมะเขือเทศทุกวิถีทาง โดยบอกว่ามะเขือเทศเป็นต้นเหตุของอาการเลือดออกในร่างกาย (คงเพราะมันมีสีแดง) ตั้งแต่ลักปิดลักเปิดจนถึงริดสีดวงทวาร

    นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่ามะเขือเทศทำให้เกิดโรคพิษตะกั่ว (ทั้งที่จริงๆ แล้วเกิดจากภาชนะประเภทพิวเตอร์มากกว่า) เคยมีเรื่องร่ำลือกันว่า มีผู้จะลอบสังหารจอร์จ วอชิงตันด้วยการใช้มะเขือเทศวางยาพิษ ซึ่งฟังดูในสมัยนี้ก็ตลกดี แต่ในยุคนั้นคนไม่เห็นเป็นเรื่องขำขันกันหรอกนะครับ

    อย่างไรก็ตาม ตอนหลังๆ เริ่มมีคนคิดว่ามะเขือเทศไม่ได้เลวร้ายเป็นพิษขนาดนั้น จนเกิดการทดสอบขึ้นโดยกระทาชายนายหนึ่งกินมะเขือเทศหนึ่งตะกร้าต่อหน้าผู้คนเพื่อดูว่ากินแล้วจะตายหรือเปล่า แน่นอน—เขาไม่ตาย อยู่รอดปลอดภัยสบายดี แต่ที่ ‘ย้อนแย้ง’ มากก็คือ การทดลองนี้เกิดขึ้นในเมืองซาเลม รัฐนิวเจอร์ซีย์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีประวัติการล่าแม่มดเข้มข้น

    ที่น่าสนใจไปอีกขั้นก็คือ มีการค้นพบว่าในแมสซาชูเซตส์ เคยมีกฎหมายเก่าแก่ที่ห้ามปลูกมะเขือเทศในสวนหลังบ้านด้วย มีการวิเคราะห์ว่ากฎหมายห้ามปลูกมะเขือเทศนั้นเกี่ยวโยงลึกซึ้งไปถึงการ ‘เหยียดเชื้อชาติ’ ของคนอิตาลี ซึ่งอย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่าคนอิตาลีนิยมกินมะเขือเทศกัน แต่ในตอนนั้น คนอิตาลีเป็นชนกลุ่มน้อยที่อพยพเข้ามาในสหรัฐฯ (โดยเฉพาะในนิวยอร์ก) และถูกมองว่าเป็นตัวปัญหาหลายอย่าง เช่น ทำให้เกิดชุมชนแออัด ก่ออาชญากรรม ตั้งแก๊งมาเฟีย เพราะฉะนั้น การ ‘เหยียด’ คนอิตาลีจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแพร่หลาย และปรากฏเป็นร่องรอยอยู่ในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เลยไปถึงเรื่องของอาหารการกินอย่างมะเขือเทศ เช่น มีการห้ามใส่มะเขือเทศลงไปในซุปสันคอหมู (pork shoulder soup) เป็นต้น
  • 3

    หลายคนอาจรู้สึกว่า ความเชื่อเรื่องมะเขือเทศพวกนี้เหลวไหลเป็นบ้า คนสมัยก่อนเชื่อเข้าไปได้ยังไงว่ามะเขือเทศมีพิษร้ายหรือเกี่ยวข้องกับแม่มดหรือมนุษย์หมาป่า

    จะบ้าเหรอ!

    คนสมัยนี้คิดแบบนั้นก็เพราะเรารู้แล้วว่ามะเขือเทศไม่มีพิษมีภัย แถมกินแล้วยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย

    แต่ ‘ประวัติศาสตร์’ ของมะเขือเทศก็ได้แสดงให้เราเห็นถึงเรื่องราวของ ‘อำนาจ’ ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังผลไม้ (ที่กลายมาเป็น ‘ผัก’) สีแดงๆ ชนิดนี้

    เราจะเห็นว่า แค่กับมะเขือเทศก็มี ‘อำนาจ’ หลายอย่างยื่นมือเข้ามายุ่มย่ามกับมัน ตั้งแต่อำนาจของศาสนา (ผ่านการผูกโยงมะเขือเทศเข้ากับแม่มด) อำนาจของความรู้ (ผ่านการ ‘ท้าทาย’ นักปราชญ์โบราณอย่างกาเลน) อำนาจของความเกลียดชัง (ผ่านการเหยียดเชื้อชาติ) และกระทั่งอำนาจรัฐและอำนาจทางเศรษฐกิจ (ผ่านการ ‘สั่ง’ ให้มะเขือเทศเป็น ‘ผัก’ ไม่ใช่ ‘ผลไม้’ เพื่อจะให้เก็บภาษีได้)

    อำนาจบางอย่างทำให้คนมองมะเขือเทศสีแดงก่ำฉ่ำสดด้วยสายตาหวาดระแวง ทั้งที่เอาเข้าจริงแล้วคนยุคนั้นไม่ได้ ‘รู้จัก’ มะเขือเทศอย่างถ่องแท้
  • แต่ก็นั่นแหละครับ สังคมยุคกลางอันเป็น ‘ยุคมืดทางปัญญา’ ก็ย่อมไร้ความสามารถในการสาดแสงสว่างเข้าไปตรวจสอบ ‘ความเชื่อ’ ของตัวเอง สังคมแบบนี้เป็นสังคมที่เต็มไปด้วย ‘ความเชื่อ’ และใช้ ‘ความเชื่อ’ เดิมๆ ของตัวเองมาหล่อหลอมผลิตซ้ำ ‘ความเชื่อ’ ใหม่ๆ โดยค้อมหัวยอมตัวอยู่ภายใต้วัฒนธรรมอำนาจแบบเดิม

    สังคมแบบนี้เมื่อมีอะไรใหม่ๆ มา ‘ท้าทาย’ (เช่น มะเขือเทศ) ย่อมอดไม่ได้ที่จะด่วน ‘พิพากษา’ โดยนำสำนึกเดิมๆ ของตัวเองไปตัดสินสิ่งที่ไม่รู้จัก และผลักสิ่งนั้นไปอยู่ในเขตแดนต้องห้ามของบาปผิดและความเลวร้าย

    ผลลัพธ์อย่างเบาะๆ ก็คือ คนยุโรปยุคกลางต้องพลาดการกินมะเขือเทศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางอาหารเป็นเวลานานหลายร้อยปี

    มะเขือเทศจึงไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากตัวแทนของ ‘สิ่งใหม่’ ที่พุ่งเข้ามาปะทะกับ ‘อำนาจเก่า’ และต้องเผชิญหน้ากับการโต้ตอบที่เลวร้าย ประวัติศาสตร์ของมะเขือเทศจึงมีการเมืองซ่อนอยู่หลายต่อหลายชั้นนัก

    คำถามก็คือ เวลากินมะเขือเทศเรามองเห็น ‘การเมือง’ และ ‘อำนาจ’ ที่ซ่อนอยู่นี้หรือเปล่า

    คำถามก็คือ ในโลกยุคใหม่ที่เราคิดว่าตัวเองซิวิไลซ์ ทันสมัย เปี่ยมศีลธรรม เรา ‘รู้ตัว’ ไหมว่าอะไรคือ ‘มะเขือเทศ’ ที่กำลังพุ่งเข้ามาปะทะเรา

    คำถามก็คือ เรากำลังทำหน้าที่เป็นตัวแทนอำนาจเก่า กำลังถือตำราล้าสมัยของกาเลนอยู่ในมือ และกำลังปฏิเสธมะเขือเทศในยุคสมัยของเราอยู่หรือเปล่า


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in