คำนำ
อำนาจของอำนาจ
คุณคิดว่าอำนาจใช้ได้ผลมากที่สุดเมื่อไหร่?
โจเซฟ สตาลินอาจจะบอกว่า อำนาจย่อมใช้ได้ผลมากที่สุดเมื่อมีการขู่เข็ญบังคับ ใช้กำลังสร้างความรุนแรงต่อผู้คน ทำให้ผู้คนเกิดความ ‘กลัว’ เมื่อกลัวก็ย่อมสยบยอมอยู่ในอำนาจนั้นๆ
จูเลียส ซีซาร์อาจจะบอกว่า อำนาจที่ได้ผลมากที่สุด คืออำนาจที่เป็นไปตามกฎหมาย ดังนั้นเราจึงควรปฏิรูปกฎหมายให้สอดรับกับสังคม และบังคับใช้กฎหมายนั้นอย่างเด็ดขาด
แต่มิเชล ฟูโกต์บอกไว้น่าสนใจครับ ว่าอำนาจจะใช้ได้ผลดีที่สุด ก็ต่อเมื่อผู้ถูกใช้อำนาจด้วยนั้น—ไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกใช้อำนาจอยู่ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือมีสภาวะ ‘เพิกเฉย’ (ignorant) ต่อการใช้อำนาจนั้นๆ ทำให้ทำตามอำนาจนั้นไปโดยไม่รู้ตัว และมักคิดว่าตัวเองไม่ได้ถูกกำกับโดยอำนาจอะไรเลย แต่ทำทุกอย่างไปเพราะตัวเองมี ‘เจตจำนงเสรี’ ด้วยตัวเองเพียงอย่างเดียว
อำนาจแบบเผด็จการที่ขู่เข็ญบังคับ หรืออำนาจที่เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการตามกฎหมายจึงไม่ใช่อำนาจที่มีอำนาจมากเท่าอำนาจแบบหลัง
ในทางสังคมวิทยา ‘อำนาจ’ ไม่ใช่อะไรอื่น นอกเสียจากความสามารถที่จะ ‘แผ่อิทธิพล’ เหนือคนอื่นๆ ทำให้คนอื่นๆ แสดงพฤติกรรมหรือทำโน่นนี่นั่นได้ตามที่ผู้มีอำนาจต้องการ
ถ้ามองแนวคิดเรื่องอำนาจที่ว่ามาข้างต้น เราจะเห็นได้เลยว่าอำนาจแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ ประเภทแรกก็คืออำนาจอย่างอำนาจทางกฎหมายหรืออำนาจเผด็จการ คือเป็นอำนาจแข็งๆ อำนาจที่มองเห็นออกมาเป็นก้อนๆ อำนาจที่อาจมากับปากกระบอกปืนหรือค้อนของผู้พิพากษา อำนาจที่มาพร้อมกับเครื่องแบบ เจ้าหน้าที่ของรัฐ การตรากฎหมาย สภา การออกเสียงเลือกตั้ง ระบอบการปกครอง หรืออะไรอื่นที่ใหญ่โตโอ่อ่า จึงมักมาพร้อมกับ ‘คำใหญ่ๆ’ ทั้งหลายแหล่ เช่น คำว่าโครงสร้าง ความเหลื่อมล้ำ การกดขี่่ การบังคับใช้ ฯลฯ
แต่อำนาจในแบบที่ผู้ถูกใช้อำนาจไม่รู้ตัวนั้นมาในอีกรูปแบบหนึ่ง มันคืออำนาจที่ไหลรินมาเรื่อยๆ เอื่อยๆ แลดูน่าสบาย เหมือนนั่งอยู่ริมลำธารในฤดูร้อนแล้วอดใจไม่ไหว ต้องถอดรองเท้าถุงเท้าเอาเท้าไปจุ่มน้ำ แสนสบายและเพลิดเพลิน
อำนาจแบบนี้เป็นอำนาจที่มองไม่ค่อยเห็น มันไม่ได้มาเป็นก้อนแข็งๆ และไม่ใช่แม้กระทั่ง ‘อำนาจอ่อนนุ่ม’ (soft power) ที่หมายถึงการชักชวน—ไม่ใช่การบังคับด้วย เพราะถึงจะเป็นอำนาจอ่อนนุ่ม เช่น เจ้าหน้าที่ของรัฐออกมารณรงค์ให้คนทำโน่นนี่ แล้วคนทำตาม คนก็ยัง ‘เห็น’ อยู่ดีว่ามีอำนาจและการใช้อำนาจเป็นก้อนๆ เพียงแต่ก้อนอำนาจนั้นไม่ได้แข็งกระด้างเท่านั้นเอง มันคือการเชิญชวน คือคีมคีบที่รองไว้ด้วยผ้ากำมะหยี่อ่อนนุ่ม แต่กระนั้นก็ยังบีบบังคับให้คนต้องจำยอมอยู่ดี
อำนาจอย่างหลังคืออำนาจที่มองไม่เห็น เป็นอำนาจที่ไม่ได้มาเป็นก้อน ไม่ว่าจะเป็นก้อนแข็งหรือก้อนอ่อนนุ่ม ทว่าเป็นอำนาจที่พลิ้วไหวเหมือนผืนผ้าที่บางใสเสียจนเกือบมองไม่เห็น เป็นอำนาจที่ชวนให้เราคิดว่ามันคืออากาศที่ใช้หายใจ ถ้าปราศจากอำนาจนี้เสียแล้ว—เราก็จะตาย
เราล้วนเกิดมา แล้วพบว่าตัวเองอยู่กับอำนาจแบบหลังมาตั้งแต่ต้น เราจึงคุ้นชินกับมันจนมองไม่เห็น เหมือนที่ปลาไม่เห็นสายน้ำที่่มันอาศัยอยู่ และเหมือนที่เราไม่ค่อยรู้สึกถึงอากาศที่แวดล้อมตัวเรา อำนาจแบบนี้บอกให้เราอาบน้ำแต่งตัว ล้างหน้าแปรงฟัน เดินทางไปทำงาน ยิ้มให้เพื่อนร่วมงาน และทำอะไรอื่นๆ อีกหลายอย่างที่เราคิดว่าเป็น ‘วัฒนธรรม’ อันดี หรือเป็นสิ่งที่เราควรทำ
การต่อสู้ขัดขืนกับอำนาจที่เป็นก้อนใหญ่ๆ แข็งๆ นั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งที่สุด เปล่า—มันไม่ใช่การขัดขืนที่ง่ายที่สุด เพราะส่วนใหญ่คือการขัดขืนต่ออำนาจเผด็จการ ปากกระบอกปืน หรือแม้แต่กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม (อย่างน้อยที่สุดก็ไม่เป็นธรรมกับตัวเราเอง) ดังนั้นจึงมักเป็นการต่อสู้กับอำนาจใหญ่ๆ ที่เห็นได้ชัดเจนถึงแรงขับและเป้าหมาย ถ้ามีเหตุและผลมากเพียงพอก็สามารถสร้างแนวร่วมมหาศาลขึ้นได้
แต่การต่อสู้ขัดขืนกับอำนาจใสๆ เบาสบายกลับยากลำบากกว่ามาก เพราะมันมักเป็นการต่อสู้ที่คนอื่นๆ ไม่ได้ ‘เห็น’ เหมือนกับที่เราเห็น การต่อสู้ต่อรองกับอำนาจอย่างหลังจึงมักเป็นเรื่องปัจเจก เป็นการต่อสู้เชิงวัฒนธรรม เป็นการแหวกม่านประเพณี หรือทำในสิ่งที่คนอื่นๆ เขาไม่ทำกัน ส่วนใหญ่จึงไม่ใช่อำนาจที่สามารถสู้รบปรบมือได้ในม้วนเดียวจบ แต่เป็นอำนาจที่ต้องต่อสู้ต่อรองกันไปเรื่อยๆ ชั่วคนแล้วชั่วคนเล่า เพื่อค่อยๆ บ่อนเซาะเปลี่ยนฐานคิดของคนจำนวนมากที่อาศัยอยู่ดื่มกินภายใต้ผืนผ้าบางใสแห่งอำนาจที่มองไม่เห็นนั้น
อย่างไรก็ตาม เราแยกอำนาจสองแบบนี้ออกจากกันได้ยาก เพราะอำนาจสองประเภทนี้ต่างก็กำกับควบคุมและต่อสู้ต่อรองกันอยู่เสมอ เช่น ความเป็นหญิงเป็นชายของผู้นำประเทศ หรือคำด่าเรื่องเพศที่มีต่อนักการเมือง การเมืองเรื่องความเชื่อ การเมืองเรื่องศาสนา รวมไปถึงอะไรอื่นๆ อีกมากที่ทำให้เห็นว่า—คนที่คุ้นชินกับอำนาจแบบหนึ่ง ไม่ได้แปลว่าจะต้องเข้าใจการทำงานของอำนาจอีกแบบหนึ่งเสมอไป
อำนาจจึงซับซ้อน เพราะมีอำนาจของอำนาจคอยกำกับอำนาจอื่นๆ อยู่อีกชั้นหนึ่ง และสองชั้น และสามชั้น และเรื่อยไปไม่รู้จบ
อำนาจจึงเป็นเรื่องน่าทึ่งเสมอ—สำหรับการมีชีวิตอยู่ของเราทุกคน
โตมร ศุขปรีชา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in