ในฐานะกองบรรณาธิการคนหนึ่งที่ดันทะลึ่งออกหนังสือไปด้วย คล้ายจะรู้ล่วงหน้าว่า เมื่อต้องทำสองหน้าที่ในเวลาเดียวกัน ช่วงเวลาแห่งการปิดเล่มให้ทันงานสัปดาห์หนังสือฯ เดือนมีนาคมนั้นจะหนักหนาเอาการ เลยวางแผนเยียวยาจิตใจตัวเองล่วงหน้าด้วยการหาโปรโมชั่นตั๋วเครื่องบินราคาดีๆ ตั้งแต่ก่อนเข้าสู่ช่วงวิกฤติ
ฉันกำหนดจุดหมายปลายทางอย่างเลื่อนลอย—ที่ไหนก็ได้ที่ไกลออกไป
หนึ่งปีก่อนหน้านั้น เพื่อนสนิทคนหนึ่งของฉันเพิ่งกลับจากปารีส พร้อมพร่ำเพ้อว่าอยากไปที่นั่นอีกครั้งให้ได้ กล่าวถึงเพื่อนคนนี้ เขามีบุคลิกของความเป็นศิลปินที่ไม่ใคร่จะนิยมความแมสใดๆ แต่กลับรักเมืองที่ใครๆ ก็ไปกันอย่างปารีส เพื่อนบอกว่าเป็นเพราะแง่งามอื่นๆ อันนอกเหนือจากหอไอเฟล ลูฟวร์ และแม่น้ำแซน ดังนั้น เมื่อฉันบอกแผนการท่องเที่ยวหลังปิดเล่ม เขาจึงเอ่ยปากชวนซึ่งฉันตอบตกลงทันที ด้วยหวังจะเห็นแง่งามอันนอกเหนือจากสถานที่ยอดนิยมเหล่านั้นบ้าง
น่าเสียดาย สุดท้ายเราก็ไม่ได้ไปด้วยกันเพราะว่างคนละเวลา แต่ฉันยังคงวางปารีสเป็นจุดมุ่งหมายเหมือนเดิม โดยมีเพื่อนร่วมทางเป็นพี่ปลารี่ (Plariex) นักเขียนการ์ตูนร่วมสำนักพิมพ์ ที่ฉันเชื่อว่า เราสองคนจะต้องเผชิญพิษปิดเล่มเข้าไปเต็มรักพอกัน
เราบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปปารีสโดยสายการบินโลว์คอสต์จากตะวันออกกลาง ถึงที่หมายในวันที่ 29 เมษายน เดินทางกลับกรุงเทพฯ ในวันที่ 8 พฤษภาคม เป็นอันจบทริป
ระยะเวลาเพียงสิบวันที่สรุปสั้นๆ ได้ดังย่อหน้าด้านบนนี้ คือรางวัลก้อนโตสำหรับชีวิตที่เชื่อเอาเองว่ากำลังพบเจอกับ Midlife Crisis แม้มันไม่ได้ทำให้ค้นพบอะไรมากนักในแง่การตอบคำถามชีวิต แต่ก็มากพอที่จะเกิดเป็นหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาได้
เหมือนอย่างที่ออเดรย์ เฮปเบิร์นได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า “Paris is always a good idea.” ฉันคิดไม่ผิดที่เลือกมาที่นี่ และฉันคงเสียดายนัก ถ้าไม่ได้เล่าออกมา
ฉัตรรวี เสนธนิสศักดิ์
14 กรกฎาคม 2558
(อายุ 25 ปี)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in