Day 4
วันนี้ฉันตื่นมาพร้อมกับเสียงพูดคุยของพี่น้อยกับพี่โอ๋ อ่าวันนี้ฉันตื่นสายแหละ แต่ก็คงต้องโทษความจริงที่ว่าเมื่อคืนฉันฝันดีเกินไปจนไม่อยากจะตื่นเลย ฉันฝันถึงผู้ชายคนนึง ในฝันฉันกับเขาเป็นแฟนกัน และฉันก็กำลังเล่นมือเขาอยู่โดยการจับมือเขาพลิกไปมา พร้อมดูลายมือ มือด้านบนของเขามีขี้แมลงวันเล็กๆ สองจุด จุดแรกอยู่ที่นิ้วชี้ และอีกที่อยู่ที่นิ้วนาง ส่วนมือด้านล่างของเขามีเส้นลายมือเต็มไปหมดจนแทบจะแยกไม่ออกว่าเส้นไหนเป็นเส้นชีวิต เส้นไหนเป็นเส้นความรัก (ก็คือฉันเคยเรียนดูดวงลายนิ้วมือมา) แต่ฉันจำได้ว่าในฝันฉันบอกเขาไปว่า เส้นชีวิตของเขายาวไปถึงบริเวณข้อมือ แสดงว่าเขาจะอายุยืนมาก ส่วนเส้นวาสนาเขาก็ยาวเช่นกัน แสดงว่าเขาเป็นคนที่เกิดมาแบบคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ด้านความรักเขาจะแต่งงานสองครั้งและมีลูกสองคน อะไรประมาณนี้ น่าเศร้าที่ฉันจำรายละเอียดของเขามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว แต่ที่ฉันจำได้ก็มีแต่ว่าเขาเป็นคนที่น่ารัก ใจดี แล้วก็อบอุ่นมากๆ เลย สงสัยฉันคงอยู่คนเดียวมานานเกินไปจนทำให้ฉันฝันแบบนี้มั้ง (จะบอกว่าหลังจากตื่นมาแล้วฉันก็พยายามจะนอนกลางวันอีกโดยหวังว่าจะได้ฝันถึงเขาต่อ แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ)
ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความจริงที่ว่าทุกอย่างเป็นแค่ฝัน เอาจริงก็แอบเศร้านะเนี่ย ถ้าฝันแบบนี้ก็ไม่อยากตื่นเลยจริงๆ แต่สุดท้ายก็ต้องตื่นมากินยา เอาจริงๆ ฉันรู้สึกว่าตัวเองหายแล้ว จมูกก็ไม่ได้ตัน ไม่มีไข้ จะติดก็แค่ว่ามีเสียงอู้อี้แค่นั้นเอง ขนาดแม่ฉันโทรมาถามไถ่ แม่ยังบอกเลยว่าเสียงของฉันเหมือนหายแล้วเลย
วันนี้พี่น้อยบ่นกับฉันว่าอยากกินอาหารใต้ ฉันจึงบอกว่าเดี๋ยวฉันจะส่งมาให้เอง (เห็นแบบนี้ฉันถือเป็นมือสั่ง Grab ของห้องนะ เพราะพี่น้อยกับพี่โอ๋สั่ง Grab ไม่ค่อยเป็น) เอาจริงๆ ฉันก็ไม่ค่อยสันทัดเรื่องอาหารใต้เท่าไร แต่ก็ลองสั่งมาดู ถือว่าเปิดโลกอะไรแบบนี้ สรุปอาหารที่เราสั่งก็จะเป็น แกงไตปลา, คั่วกลิ้งกระดูกอ่อน แล้วก็ขนมจีน 2 ถุง พี่น้อยทำท่าทีตกใจใหญ่เลยตอนรู้ว่าแกงไตปลาขายถึงละ 95 บ. พี่น้อยบอกว่าที่ร้านพี่น้อยขายแค่ถุงละ 40 บ. เอง และด้วยเหตุการณ์นี้เองทำให้ฉันรู้ว่าแท้จริงแล้วพี่น้องทำอาชีพเป็นเจ้าของร้านข้าวแกงปักใต้ที่ดิโอลสยาม พี่น้อยเล่าให้ฟังว่าร้านพี่น้อยขายดีมาก ส่วนมากก็คือได้เงินเป็นวันละหมื่นเลย แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิดตอนนี้บวกกับความจริงที่ว่าแม่ครัวอย่างพี่น้อยก็มากักตัวอยู่ที่นี้ร้านก็เลยต้องหยุดไป (พี่น้อยบอกว่าอยากลองสมัครเข้า Grab ด้วยฉันก็เลยช่วยสมัครให้แต่เนื่องจากมันต้องใช้เอกสารอย่างสำเนาบัญชีธนาคารและต่างๆ ฉันก็เลยบอกว่าให้สมัครตอนนี้ก็คงจะไม่สะดวก) ส่วยพี่โอ๋นั้นทำงานอยู่ที่ TOT แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นแผนกอะไร แต่พี่โอ๋บอกว่าโชคดีแล้วตรงที่ว่าก่อนหน้านี้บริษัทพี่โอ๋ให้ work from home พี่โอ๋จึงรอดจากการเสี่ยงเอาเชื้อไปติดคนอื่นในบริษัท และตอนนี้พี่โอ๋ก็ได้ทำเรื่องพักงานเรียบร้อยแล้ว
อาหารมาถึงแล้ว พี่น้อยบอกว่าแกงไตปลาที่ให้มาก็ขนาดเท่ากับที่ร้านพี่น้อยขายเลย แตกต่างตรงที่ว่าที่ร้านขาย 95 บ. แต่ร้านพี่น้อยขายเพียง 40 บ. เท่านั้น มิหน่ำซ้ำ แกงไตปลาที่สั่งมาดันเหลวเป็นน้ำ พี่น้อยบอกว่ารู้สึกผิดหวังมาก เพราะแกงไตปลาจริงๆ มันต้องข้นกว่านี้ น้ำต้องดำกว่านี้ แล้วก็เค็มกว่านี้ด้วย และที่สำคัญที่สุดคือแกงไตปลาที่สั่งมาดันมี carrot กับมันฝรั่งมา อันนี้แหละที่พี่น้อยบอกว่ารับไม่ได้มากกก และตราหน้าว่าแกงไตปลาของร้านนี้เป็นแกงไตปลาปลอม 555 (แต่ส่วนตัวฉันกินแล้วก็ไม่ได้อะไรมาก แต่รู้สึกว่ามันเผ็ดมากๆ ในขณะที่พี่น้อยบอกว่า ของร้านพี่น้อยเผ็ดกว่านี้อีก ฉันก็ช็อกไปเลยแล้วก็บอกว่าถ้าฉันไปกินร้านพี่น้อยฉันคงต้องสั่งแบบเผ็ดน้อยมากกกก) เอาจริงๆ ฉันก็ชอบช่วงเวลาตรงนี้เหมือนกันนะ ถ้าพี่น้อยกับพี่โอ๋กลับบ้านแล้วฉันต้องคิดถึงทั้งสองคนมากแน่ๆ เลย
ระหว่างที่กินข้าวไป ฉันก็ดูข่าวที่พี่น้อยเปิดไป ในข่าวมีแต่ข่าวน่าสลด ทั้งเรื่องที่พบคนตายอยู่บนถนน เรื่องของคนที่เอายาปลอมมาขาย เรื่องของหญิงท้องที่ต้องจากไปเพราะโควิด แล้วก็ยังมีเรื่องของชาวบ้านที่ลุกขึ้นฮือเมื่อเจอพวก VIP มาแซงคิวอีก เอาจริงๆ ตอนฉันฟังข่าวไป คำพูดที่ฉันได้ยินมากที่สุดก็แค่ว่า เป็นเรื่องที่น่าเศร้าจังเลยนะครับ ไม่ก็ ต้องขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียชีวิตด้วยนะครับ แต่กลับไม่มีนักข่าวหรือพิธีกรคนไหนที่พูดเกี่ยวกับรัฐบาลเลย ทั้งๆ ที่เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะรัฐบาลไม่มีความรับผิดชอบ บริหารงานไม่ดี ไม่รีบจัดหาวัคซีนตั้งแต่แรกๆ ด้วยซ้ำ สำหรับฉันคำว่า รัฐบาลฆาตกร ไม่ใช่คำพูดเกินจริงเลย คนพวกนี้สมควรไปตายจริงๆ แต่ก่อนตายคนพวกนี้ก็ควรจะได้รับความทรมานให้แสนสาหัสที่สุดให้สมกับที่พวกมันทำไป!
โอเคกลับมาที่เรื่องหนังสือ วันนี้ฉันก็อ่านหนังสืออีกแล้ว ซึ่งเล่มที่ฉันอ่านก็คือเล่ม ‘แตกสลาย’ นั่นแหละ แต่เอาจริงๆ นะ ฉันจำได้ว่าไม่กี่วันก่อน ฉันบอกไปว่าเล่มนี้เป็นแนวอบอุ่นหัวใจกว่าที่คิด วันนี้มา ฉันเนี่ยขอถอนคำพูดแทบไม่ทันเลยจ้า ฉันเนี่ยไม่น่าไว้ใจมินะโตะ คะนะเอะ เลยจริงๆ เอาจริงๆ นะ บางตัวละครในเล่มเนี่ยฉันอ่านแล้วอยากกระโดดเข้าไปในเรื่องแล้วจับนางเขย่าแรงๆ แล้วถามว่าเธอเป็นอะไรมากไหม! อะไรแบบนี้มากเลย ตัวเอกของเราน่าสงสารมากๆ ฉันอยากให้ตัวละครพวกนั้นมีจุดจบเหมือนตัวร้ายในเรื่อง ‘คำสารภาพ’ จังเลยนะ แต่ก็ต้องดูกันต่อไปว่าเรื่องจะจบลงอย่างไง แต่ว่าก็ว่าเถอะ ฉันรู้สึกว่าตัวเองใช้เวลาอ่านเล่มนี้นานมากกก เล่มนี้มีทั้งหมด 365 หน้า ซึ่งเอาจริงๆ ถ้าในสภาวะปกติฉันเชื่อว่าตัวเองสามารถอ่านเล่มนี้จบได้ภายใน 2 วันแต่นี่ก็ปาไปวันที่ 3 แล้วแต่ฉันก็พึ่งอ่านได้ครึ่งเล่มเอง ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะฉันนอนเยอะด้วยแหละ ถถถ ตั้งแต่ฉันอยู่ hospital มา ฉันก็ใช้เวลามากกว่าครึ่งไปกันการนอนแล้ว ทั้งๆ ที่ความจริงก็ไม่ได้ง่วงอะไรมาก แต่พอได้นอนกลางวันติดต่อกันเยอะๆ ร่างกายมันก็เลยคุ้นชินกับการนอนแหละมั้ง อ่า ถ้าเปิดเทอมมา ฉันต้องแย่แน่ๆ เลย เอาจริงๆ ตอนนี้เขียนไปก็ง่วงไปเหมือนกันนะ 5555 เอาเป็นว่าฉันไปนอนดีกว่า ขอจบการบันทึกสำหรับวันนี้ไว้เพียงแค่นี้แล้วกัน บรัยยยย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in