ชายผู้นั้นยืนอยู่ในงานเทศกาล เขาเป็นชายหนุ่มผิวคล้ำ รูปร่างไม่ใหญ่ไม่เล็ก และแต่งกายด้วยเสื้อผ้าของคนต่างถิ่น เบื้องหน้าของชายผู้นั้นมีผ้าปูไว้ผืนหนึ่งสำหรับรองรับเศษเหรียญจากผู้ฟังของตน เป็นนักเล่านิทานตามขนบที่พบเห็นได้ทั่วไปตามงานเทศกาล
เออร็อด อาเรียปรบมือเสียงดัง แล้วโบกพัดขนนกสีแสบตาอันไม่เข้ากับเครื่องแต่งกายชิ้นใดของตนเรียกร้องความสนใจ
“เร่เข้ามา! เร่เข้ามา! ท่านผู้มีโชคชะตาต้องกันทั้งหลาย” เขาเริ่ม ยักคิ้วหลิ่วตาให้แก่ผู้คนโดยรอบ
"ท่านรู้หรือไม่ว่าในท้องฟ้ากว้างไกลมีเรื่องเล่าซ่อนอยู่" นักเล่านิทานยิ้ม
"ข้าได้ฟังเรื่องนี้มาจากท้องฟ้าแสนงามในคืนที่ข้าเปลี่ยวเหงาจับใจ" ชายผู้นั้นกวาดสายตามองผู้ฟังของตน ในดวงตาพริบพราวขี้เล่นนั้นมีแววเศร้าสร้อยฝังลึก
"นี่คือเรื่องที่ข้าได้ฟังมา" เขาว่า ขยับรอยยิ้มจาง "ดังนั้น หากมันจะมีคำโกหกใดปลอมปนอยู่ในสิ่งที่ข้าเล่า ก็ขอให้ท่านรู้ไว้ คำโกหกนั้น ไม่ได้มาจากข้าแต่อย่างใด" ชายหนุ่มกล่าวถ้อยคำอันเป็นธรรมเนียมของพวกนักเล่านิทาน แล้วเริ่มเล่าเรื่องที่อ้างว่าได้ฟังมา
" ม่านดำทาบปิดฟ้า มืดมิด
ลาล่ำแล้วอาทิตย์ ลิบลี้
เตรียมรอแด่งามพิศ ผู้เลิศ
คืนค่ำราตรีนี้ มอบเจ้าโคจร
จันทราค่อยย่างเยื้อง สู่บนเบื้องแดนสวรรค์
ฉายนวลอวดแบ่งปัน แสงเย็นงามกลางฉากเงา
ด้านนวลโฉมสะคราญ งามอ่อนหวานแลพริ้มเพรา
หากอีกด้านในเงา ปกปิดซ่อนเร้นแสนกล
แม้นหมุนเวียนเปลี่ยนร่าง จากมืดจางสู่กลมมน
เปลี่ยนจากเสี้ยวเว้าวน สู่จันทร์เจ้าเต็มเดือนเพ็ญ
เจ้าจันทร์ยังมิดชิด ซ่อนปกปิดมิให้เห็น
อีกด้านในเงาเย็น ด้านซ่อนเร้นเจ้าจันทรา
คนอื่นว่าเจ้างาม ที่แสงยามเจ้ายาตรา
หากข้าหลงมายา ที่อีกด้านของเงาจันทร์
ใจหนึ่งอยากชมเงา ที่จันทร์เจ้าเฝ้าบิดผัน
อีกใจกลัวมนตร์จันทร์ จะคลายสิ้นยามเผยกาย
โอ้จันทร์ผู้ลึกลับ ได้แต่จับจ้องเจ้าพราย
ด้วยกลัวพลั้งทำลาย เสน่ห์เจ้าที่เงามัว"
นักเล่านิทานจบเรื่องเล่าของตน เขากวาดสายตามองผู้ฟังโดยรอบ หากไม่ได้หาคำพูดใดมาเชิญชวนให้คนเหล่านั้นบริจาคเงินสนับสนุนปากท้องของตนเช่นปกติ ดวงตาพริบพราวที่เคยแสดงอารมณ์หลากหลายตามเรื่องเล่าบัดนี้มีเพียงวี่แววของความเหนื่อยหน่ายใจ
"พวกเจ้ากะจะวอแวอยู่รอบๆตัวข้าอีกนานเลยสินะ" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นกับผู้ฟังรอบตัวซึ่งล้วนแต่เป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตา
"พวกข้าก็อยู่รอบๆตัวท่านเช่นนี้มานานแล้ว ท่านยังไม่ชินอีกหรือ" พาคาเอ่ยขึ้นจากฝูงชน ชายวัยกลางคนเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างกวนประสาท
นักเล่านิทานมองกลุ่มคนเจ้าปัญหาที่แนบเนียนเป็นผู้ฟังรอบตัวแล้วคิ้วกระตุกด้วยความหมั่นไส้ คันปากอยากก่อกวนให้คนเหล่านั้นหลุดมาดนักท่องเที่ยวที่สวมอยู่นี่เหลือเกิน แต่ด้วยความรักที่มีต่อบรรยากาศงานเทศกาลรอบข้าง เออร็อด อาเรียจึงบรรจงเก็บถ้อยคำที่อยากกล่าวบางส่วนทิ้งไปแล้วเอ่ยต่อปากต่อคำแต่พอประมาณ
"ปกติพวกเจ้าไม่โผล่มาให้ข้าเห็นนี่ ถ้าพวกเจ้าไม่โผล่มาข้าก็ไม่รู้หรอกว่าพวกเจ้าตามข้าอยู่" เขาว่าพลางเก็บผ้าสีสันฉูดฉาดที่ปูรอรับเหรียญอยู่บนพื้นขึ้น แล้วยื่นออกไปตรงหน้าของคนพวกนั้นด้วยท่าทางของนักเล่านิทานที่เชิญชวนให้ผู้ฟังบริจาคเงินแก่ตน
"ไหนๆก็ไล่ลูกค้าข้าไปหมดแล้ว พวกเจ้าก็บริจาคช่วยค่าข้าวข้าหน่อยแล้วกัน" ชายหนุ่มเขย่าผ้าให้ส่งเสียงกรุ้งกริ้งใส่กลุ่มคนเบื้องหน้าแล้วกล่าวเสริม "เนียนๆหน่อยน่า อุตส่าห์ปลอมมาเป็นคนฟังให้ข้าทั้งทีก็บริจาคเงินมาซะ"
พาคามองพวกพ้องของตนค่อยๆหย่อนเหรียญเล็กเหรียญน้อยลงในห่อผ้านั่นอย่างเหนื่อยใจ
"ท่านกำลังอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมท่านเออร็อด" ชายวัยกลางคนว่า
"โอ้ ยังหรอกๆ แต่มันจะล่อแหลมขึ้นแน่ๆถ้าพวกเจ้ายังทำตัวไม่เนียนอยู่อย่างนี้" นักเล่านิทานตอบ แล้วเขย่าห่อผ้ากรุ้กริ้งใส่คนตรงหน้า
พาคาหย่อนเหรียญทองลงไปในนั้นก่อนว่าต่ออย่างไม่ลดละ
"ท่านกำลังอยู่ในเมืองเมืองเดียวกับอาของท่าน"
นักเล่านิทานผิวปากหวือใส่เหรียญทองที่ไม่ค่อยได้รับ ก่อนเอียงคอถาม
"การที่ข้าอยู่ในเมืองเมืองเดียวกับอาของข้ามันทำไมงั้นหรือ" ชายหนุ่มทำซื่อ กระพริบตาใส่ผู้ฟังปลอมๆของตนอย่างจงใจก่อกวน
"อาที่เป็นกษัตริย์ของท่าน" พาคาขยายความเสียงเรียบ
คนถูกยกให้เป็นหลานของกษัตริย์ยิ้มแป้นแล้น ชายหนุ่มยืดตัว ทำท่าทางภาคภูมิเกินจริง
"ใช่แล้วๆ อาของข้าเป็นกษัตริย์ ข้ามีอาเป็นกษัตริย์แล้วอย่างไร" เขาเท้าเอววางอำนาจ หากอีกฝ่ายเพียงกล่าวเสียงเรียบจริงจัง
"ถามใจท่านดูเถอะ ท่านรู้เรื่องพวกนั้นอยู่แล้ว" พาคาว่า ในดวงตามีประกายกร้าวอย่างไม่เกรงว่าหน้ากากใดที่สวมอยู่จะหลุดออกมา
นักเล่านิทานสบเข้ากับดวงตาที่มุ่งมั่นแรงกล้าของอีกฝ่ายแล้วทำหน้ายุ่งยาก
"รู้แล้วๆ เห็นแก่ที่พวกเจ้ายอมโผล่หัวออกมาหาข้าตรงๆข้าจะระวัง" เขาว่า
หากนั่นยังไม่ใช่คำตอบที่อีกฝ่ายพอใจ ตาสีเหล็กอันมุ่งมั่นจึงยังสบนิ่งอยู่กับดวงเนตรที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวของคนที่ตนนับเป็นนายอย่างไม่ลดละ
เออร็อด อาเรียยกมือยอมแพ้
"...ก็ได้ๆ ข้าจะออกจากเมือง พอใจรึยัง?" ชายหนุ่มว่า
รอยยิ้มกว้างขึ้นบนใบหน้าสีเข้มของผู้สูงวัย เขาเข้ามาตบหลังตบไหล่นักเล่านิทานด้วยท่าทางของคนที่ประทับใจเรื่องเล่าที่ได้ฟังมาเสียเต็มประดา แล้ววงผู้ฟังรอบๆตัวชายหนุ่มก็ค่อยๆสลายไปในฝูงชนอย่างกลมกลืน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in