มือถือที่ตั้งปลุกไว้แผดเสียงลั่นเป็นรอบที่สิบ
หญิงสาวร้องอู้อี้อย่างขัดใจอยู่ในผ้าห่ม ก่อนจะเอื้อมมือออกมากดปิด แม้จะยังงัวเงียแต่ก็ยังมีสติพอที่จะไม่ขว้างทิ้ง ก่อนจะมุดตัวซุกกองผ้าต่อ มือถือก็ดังขึ้นอีกรอบ คราวนี้เป็นเสียงเรียกเข้า เธอสบถ คว้ามือถืออีกครั้งตั้งใจจะตัดสายทิ้ง แต่เปลี่ยนเป็นกดรับแทนเมื่อเห็นว่าเป็นเพื่อนสนิท
“ตื่นรึยัง” เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนคำทักทายทางโทรศัพท์กันแล้วหรือไง“สิบเอ็ดโมงแล้วนัท”
“รู้แล้วน่า”
เธอกระโดดลงจากเตียง จัดการธุระอย่างรวดเร็วแทบทำลายสถิติ ก่อนจะพุ่งตัวออกจากห้องไป
เธอกระหืดกระหอบมาจนถึงที่นัดหมายทันเวลาฉิวเฉียด เพื่อนของเธอยืนมองอยู่อย่างเหนื่อยหน่าย เธอรีบพูดก่อนที่เพื่อนของเธอจะอ้าปากบ่น“รู้แล้วค่ะแม่” ก่อนจะร้องโอ๊ยเพราะโดนฟาดแขน
“เป็นอย่างนี้ทุกที ตั้งปลุกไว้แล้วก็กดทิ้งไปเรื่อยๆ เชื่อรึยังว่าอย่าใช้เพลงที่ชอบเป็นเสียงปลุก ไม่งั้นจะเกลียดเพลงนั้นไปเลย”
“แกนั่นแหละ วันๆ เอาเวลาที่ไหนนอนบ้าง”นัทแทบไม่เคยเห็นเพื่อนของเธอตื่นสายกว่าเก้าครึ่งเลย จนบางทีก็นึกสงสัยว่าเป็นเธอหรือเพื่อนที่ผิดปกติกันแน่ เสียงท้องร้องโครกครากประท้วง “หิวแล้ว กินอะไรดี”
“ตามใจ”
นัทเบ้ปาก ล้อเลียนบ้าง “เป็นอย่างนี้ทุกที”
“หรือจะกินเซเว่..” “พอเลย เดี๋ยวคิดให้ จะมีครั้งไหนที่แกเลือกร้านบ้างมั้ย”
เพื่อนของเธอหัวเราะ ก่อนจะดันให้เธอออกเดิน
นัทรู้จักเพื่อนคนนี้ตั้งแต่สมัยเรียน ตั้งแต่เห็นชื่อ “บุษบามาลี” ในใบรายชื่อ อ่านออกมาดังๆ ตามด้วย “ใครวะ” ตามประสาคนปากไวก่อนจะพบว่าเป็นคนตัวเหลืองซีดที่ยืนอยู่ข้างๆ และโชคชะตาบันดาลให้นั่งด้วยกันอีกเจ้าตัวอธิบายที่มาของชื่อสั้นๆ ว่า “พ่อตั้ง” แม้จะทำหน้าเหมือนกินของขมทุกครั้งที่โดนเรียกชื่อจริง แต่ก็ไม่เคยเปลี่ยนชื่อเลยจนทุกวันนี้ แม้จะได้นั่งติดกันเพียงเทอมเดียว แต่รู้ตัวอีกทีก็สนิทกันจนคนอื่นๆแปลกใจ
เพื่อนที่ดูหัวอ่อนจืดจางคนนี้มีคำว่า“ตามใจ” และ “แล้วแต่” ติดปากแต่ที่จริงแล้วหากจะดื้อแพ่งก็สามารถยกเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามาอ้าง หรือร้ายที่สุดคือลงมือทำไปเลย เมื่อเพื่อนของเธอมีความรัก เธอมองอยู่ด้วยความกังวล เห็นได้ชัดถึงเค้าลางหลายอย่างที่จะไปกันไม่รอด ซึ่งสุดท้ายก็เป็นเช่นนั้น ช่วงแรกที่ความสัมพันธ์จบลง เพื่อนของเธอแทบไม่พูดกับใคร จากที่เงียบอยู่แล้วก็เงียบลงไปอีก เธอกังวล พยายามพาไปโน่นนี่จนเจ้าตัวเอ่ยปากหนักแน่นขอให้หยุด หลังจากนั้นดูเหมือนแผลสดจะค่อยๆ สมานไปด้วยวิธีของเจ้าตัว แต่ก็ดูเหมือนแผลจะเปิดได้อีกเสมอ จนกระทั่งเมื่อวานนี้เองที่เธอรู้สึกว่าเพื่อนได้ผ่านการ coming of ageแล้วอย่างแท้จริง
ทั้งคู่เดินมาถึงร้านข้าว กินอย่างรวดเร็วด้วยความหิวก่อนจะไปจัดการธุระที่นัดกันไว้เรื่องอุปกรณ์ทำขนมที่ต้องหาซื้อเพิ่ม ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ ก่อนจะหอบหิ้วของทั้งหมดแยกย้าย
“กลับดีๆ” เพื่อนของเธอกล่าวลา “ไว้เจอกันพรุ่งนี้ อย่าสายล่ะ” หลังจากเดินห่างไปได้ครู่หนึ่ง หันกลับมามองอีกครั้งก็เห็นว่าคนบอกลายังคงมองเธออยู่ จึงโบกมือให้อีกครั้งก่อนจะเดินจากไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in