เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
LOVE & FATE of Yuri 'ยูริ'i3e-dwz
YURI : 09 : 'ฉันตั้งใจว่าจะยื้อมันเอาไว้ให้นานที่สุด'



  • “โชคดีนะครับที่เขาอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นชางมินได้ทำคนเดียวแหง”

    “ฉันบอกเธอแล้ว…” 

    คนที่ถูกเรียกขานว่าคุณท่านเพียงคนเดียวในบ้านตอบจุนซูอย่างนั้นแต่เขาไม่ค่อยเข้าใจนักว่าที่บอกว่า บอกเธอแล้ว แบบนั้นมันแปลว่าอะไรกันแน่ คุณท่านไม่เห็นเคยบอกอะไรเกี่ยวกับเขาสักอย่าง ต่อให้บอกก็ไม่ค่อยชัดเจนหรือช่วยให้เข้าใจอะไรมากนัก ตามประสาคนที่คิดอะไรอยู่ตลอดแล้วก็ชอบบอกว่าไม่มีอะไรนั่นแหละ

    “ผมไม่เข้าใจครับ คุณท่านไม่เห็นบอกอะไรเกี่ยวกับเขาเลย”

    คุณท่านผู้ใจดีไม่ได้ตอบในทันที เธอวางมือจากการเช็ดถูถ้วยแก้วฆ่าเวลาที่ทำอยู่แล้วเดินมาหาจุนซูที่กำลังทำความสะอาดแจกันใบโตอยู่ใกล้ๆ กับหน้าต่างแล้วทอดมองลงไปยังชั้นล่างก่อนจะให้คำตอบ

    “ฉันบอกด้วยการกระทำของฉันหรอกว่าเขาเป็นคนดีและไว้ใจได้”

    “คุณท่านก็เห็นดีกับเขาไปหมดนั่นแหละ”

    “อ๊ะ อ๊ะ...เดี๋ยวนี้สะบัดสะบิ้งกับฉันจังเลยนะจุนซู…” 

    เธออดรนทนไม่ได้ ต้องยื่นมือออกไปหยิกแก้มอีกฝ่ายให้หายอยากสักที

    “เด็กน้อย...ถ้าเธอไม่ชอบหรือไม่ไว้ใจเขานักในหลายๆ เรื่อง รวมถึงเรื่องตักหิมะหน้าบ้านด้วยก็รีบกินยาแล้วรักษาตัวให้หายหวัดไวๆ สิ จะได้ไม่ต้องมาคอยระแวงว่าเขาจะทำงานได้ไม่ดี”

    “คุณท่านล่ะก็!”

    “ฉันทำไม”

    “ผมกับชางมินเป็นห่วงคุณท่าน ถ้าเขาไปเข้ากรมแล้วหายไปเลยล่ะครับจะทำยังไง คุณท่านเองนะครับที่จะต้องเสียใจน่ะ”

    “อืม...ฉันก็คงเสียใจนั่นแหละ แต่เธอคิดว่าฉันจะไม่เคยเผื่อใจเอาไว้บ้างเลยหรือไง ไม่รู้ล่ะ...จะอะไรฉันก็ยอมรับได้ ยกเว้น”

    “ยกเว้นอะไรหรือครับ”

    “ยกเว้นว่าวันหนึ่งจะมีผู้หญิงสักคนมาบอกว่า ขอโทษนะคะ! แต่พี่ยุนโฮเขาคบกับหนูมาก่อน อะไรพรรค์นี้น่ะสิ”

    “แล้วไว้ใจหรือครับว่าจะไม่มี”

    จุนซูถามอย่างเต็มไปด้วยอคติ และคุณท่านก็ยิ้มแล้วตอบอย่างมั่นใจ

    “ฉันไว้ใจ”

    “เฮ้อ…”

    “ตอนแรกฉันก็ไม่แน่ใจหรอก แต่ฉันคิดเอาเองว่าถ้าเอาแต่คิดมาก ไม่ปล่อยให้ตัวเองทำตามที่รู้สึกล่ะก็ มันจะไม่ได้อะไรเลย ไม่ว่าดีหรือร้ายก็จะไม่เห็นอะไรสักอย่าง ไม่รู้หรอกนะแต่คิดว่านี่อาจจะเป็นสัญชาตญาณวัยรุ่นที่ยังคงเหลืออยู่ในตัวฉันก็ได้”

    “รู้อะไรไหมครับ ที่จริงแล้วผมชอบนะครับ...ที่คุณท่านเป็นแบบนี้”

    “แบบไหน”

    “เวลาที่ดูสดใสแบบตอนนี้ครับ”

    “สดใส? ฉันสดใสจนเธอดูออกเชียวหรือ”

    “แน่นอนครับ สดใส...แต่เป็นความสดใสคนละแบบกับตอนที่คุยกับต้นไม้หรือผีเสื้อน่ะครับ”

    เธอมองลงไปที่ชั้นสองซึ่งมือคนสองคนกำลังช่วยกันตักหิมะกันอย่างแข็งขันอีกครั้งก่อนจะตอบ

    “เธอก็รู้อยู่แล้วว่าสาเหตุเป็นเพราะอะไร แต่ก็ยังจะอคติกับเขาลงคอ…ขี้หวงจริงๆ”

    “แหม คุณท่าน…”

    “อืม ดูเหมือนพวกเขาใกล้จะเสร็จงานกันแล้วนะ ไปเตรียมอะไรอุ่นๆ เอาไว้ให้ดื่มกันหน่อยสิจุนซู”

    “ครับคุณท่าน”

    ยุนโฮใช้เวลาที่อยู่อีกไม่กี่วันก่อนเข้ารายงานตัวรับใช้ชาติอยู่ในบ้านผีสิงกับคุณผีดิบเจ้าของบ้าน  เรียกได้ว่าเขา ‘ขลุก’ อยู่ที่นั่นทั้งวันจนน่าคิดเสียแล้วว่าคงไม่ใช่คนบ้านนี้ที่ไม่คิดออกจากบ้านอยู่ฝ่ายเดียวหรอก แต่อาจเป็นเพราะในบ้านหลังนี้มีหลายสิ่งดึงดูดให้อยู่แต่ข้างในนั้นมากกว่าก็ได้


    แม้ว่าอากาศจะหนาวจนข่าวโทรทัศน์ต้องรายงานซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ผู้คนเตรียมตัวให้ดีก่อนออกไปไหน แต่นั่นก็ไม่ได้กระทบอะไรกับคนบ้านนี้นัก เพราะถึงข่าวที่เขารายงานจะฟังแล้วรู้สึกหนาวแค่ไหนแต่ยังมีใครอีกคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นวม พาดขากับที่วางแล้วกางหนังสือนิยายเล่มโปรดอ่าน นิยายเรื่องที่ว่านั้นคงสนุกมาก เพราะไปๆ มาๆ คนอ่านก็เก็บเอาไปอ่านอยู่ในฝันอยู่คนเดียวเสียแล้ว เหลือแต่ชาดอกไม้แบบโฮมเมดที่ยังไม่ทันจะคลายความร้อนไปได้เท่าไรคอยส่งกลิ่นหอมชวนดื่มอยู่อย่างเดียวดายเคียงค้างผู้งดงามที่เผลอหลับไป


    ชายหนุ่มตามเข้ามาในห้องทีหลัง หลังจากที่เขาต้องไปจัดการกับหนวดเคราที่เริ่มกวนใจเจ้าของผิวนุ่มๆ จนเจ้าตัวบ่นอุบทุกทีตอนที่ถูกเขาหยอก แต่เมื่อกลับมาพร้อมกับใบหน้าเกลี้ยงเกลาแล้วคนที่ควรจะคอยตรวจดูว่าใช้ได้แล้วหรือยังกลับหลับกลางวันไปแล้วจนได้ เขาไม่มีเจตนาปลุกคุณยูริแบบนี้เลยแต่ตั้งใจดึงหนังสือออกจากมือของเธอเพื่อที่จะให้เธอได้หลับสบายๆ มากกว่า แต่แล้วความหวังดีของเขาก็ทำให้เธอลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับส่งเสียงห้ามสั้นๆ อย่างกับว่าเขาทำอะไรผิดนักหนา

    “ง่วงก็ไปนอนบนห้องดีๆ สิครับ”

    “ฉันไม่ได้ง่วง”

    เธอยิ้ม แล้วก็ยืนกรานอย่างนั้นก่อนจะนึกขึ้นได้ 

    “โกนหนวดมาแล้วหรือยังทหารใหม่”

    “เรียบร้อยครับ”

    เขาตอบก่อนจะแกล้งยื่นหน้าเข้าใกล้ๆ ให้อีกฝ่ายต้องเบือนหนีพร้อมแก้มแดงๆ

    “ไม่เอา…”

    “ไหนว่าโกนหนวดแล้วจะให้จูบไม่ใช่หรือไงครับ”

    “เธอนี่!”

    ชายหนุ่มยิ้มร้าย ก่อนที่จะรีบช้อนตัวคุณผู้งดงามที่ไม่ทันระวังตัวขึ้นมาแล้วก็ตรงไปที่โซฟายาวที่อยู่ใกล้ๆ กันแทน แล้วเขาก็ทำให้คนที่มักจะอยู่อย่างสงบเงียบตามลำพังต้องร้องเสียงหลงออกมาเลยเมื่อจู่ๆ เขาก็โน้มตัวเข้าไปหาอย่างกะทันหัน

    “ยุนโฮ อื๊อ…”

    ที่จริงเขาก็ไม่ได้กะจะทำอะไรมากกว่าช่วยให้คุณยูริได้นอนสบายๆ หรอก แต่ในสถานการณ์นั้นถ้าอดใจไม่แม้แต่จะหอมแก้มนุ่มๆ ของเธอได้ล่ะก็ต้องเป็นพวกนักบวชแน่ๆ

    “แค่หอมเองครับ”

    “...เจ้าเด็กเจ้าเล่ห์! ขี้โกง!”

    “ก็คุณไม่ยอมขึ้นไปนอนบนห้องดีๆ นี่นา...ยังไงนอนโซฟาก็ดีกว่านั่งหลับแบบนั้นนะครับ”

    “อย่าแกล้งฉันแบบนี้อีก”

    “โกรธจริงๆ หรือครับนี่”

    “ถ้าลูกๆ ฉันมาเห็นเข้า...เธออาจถูกเตะออกจากบ้านนี้แบบไม่ทันรู้ตัวก็ได้นะ”

    “ไม่กลัวหรอกครับ”

    “หนอย…”

    “ผมกลัวคุณที่สุดต่างหาก”

    ดวงตาสีเทาคู่นั้นมองคนรักวัยหนุ่มด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่ออีกครั้ง เด็กคนนี้นี่เองที่สะดุดตาตั้งแต่ต้น...แล้วก็เป็นเด็กคนนี้นี่เองที่ไม่ได้เป็นเด็กอย่างที่คิดมาตลอด

    “ฉันดูใจร้ายตรงไหนกัน”

    “ไม่ได้กลัวเพราะใจร้ายครับ กลัวว่าคุณจะใจดีจนไม่กล้าโกรธผมต่างหาก”

    “หืม?”

    “ถ้าผมทำอะไรไม่ดี โกรธผมได้เลยนะครับ...โกรธแล้วก็ด่าผมได้เต็มที่เลย ถ้าเป็นคุณยูริน่ะ ผมจะยอมหมดทุกอย่างเลย”

    “เด็กดีของฉัน…” เธอเรียก “ฉันต่างหากที่จะต้องถูกเธอโกรธก่อน”

    “เรื่องอะไรครับ”

    “ไม่รู้สิ บางทีฉันก็ยังไม่ชอบตัวฉันเองเลย เพราะฉะนั้นถ้าเธอจะโกรธที่ฉันเป็นอย่างนี้ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ”

    “ผมไม่เห็นว่าผมจะรู้สึกแบบนั้นเลย”

    “ใครจะไปรู้อนาคตล่ะ...นี่ ถ้าฉันนอนกลางวันเธอจะเบื่อเรื่องไม่มีเพื่อนคุยไหม” 

    ยูริถามเพราะรู้ว่ายุนโฮไม่ชอบอ่านหนังสือแนวเดียวกับยูริ แล้วตอนนี้อากาศก็หนาวจนเกินกว่าจะแนะนำให้เขาออกไปเดินเล่นข้างนอก แถมชางมินกับจุนซูก็คงยังไม่สนิทพอที่จะเต็มใจนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกับเขามากนัก

    “ไม่เป็นไรครับ คุณนอนเถอะ”

    “ถ้าอย่างนั้นอีกสักชั่วโมงปลุกฉันที ฉันตื่นมาหมักอกไก่เอาไว้แต่เช้า...เธอน่าจะชอบ”

    “อืม...ผมจะตั้งตารอเลยครับ”

    คนง่วงเต็มทีหลับตา และไม่ถึงห้านาทีลมหายใจก็ทอดเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เธอหลับไปแล้วพร้อมกับสะกดให้ใครอีกคนนั่งมองอยู่อย่างนั้นได้ไม่รู้จักเบื่อ




    - YURI -



    แต่ละวันของทั้งสองคนช่างผ่านไปอย่างไร้สาระ ความรักที่กำลังเบ่งบานนั้นส่งกลิ่นหอมหวานไปทั่วบ้าน ไม่ว่าที่ตรงไหนก็กรุ่นไอความรักครั้งใหม่ของคิมแจจุงไม่ขาด ในเวลาแบบนี้ที่ตั้งใจจะอยู่ด้วยกันก็เป็นไปดั่งใจเพราะไม่ว่ายุนโฮอยู่ที่ไหนยูริก็ไม่เคยห่าง แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่พอจะมีก่อนส่งเขาไปฝึกฝนในกรมทหารแต่ยูริก็ตั้งใจมอบความสุขให้เขาเก็บตุนเอาไว้แบบเผื่อเหลือเผื่อขาดเต็มที่ ให้เพียงพอสำหรับการคิดถึงกันในเวลาที่จะไม่ได้เจอหน้ากันเลยจนกว่าเขาจะได้รับวันหยุดครั้งแรก


    ยุนโฮมีความสามารถทางด้านดนตรีอยู่บ้าง เขาเอ่ยปากขอคุณยูริเล่นกีตาร์ที่วางไว้เฉยๆ ดีดเล่นทำความคุ้นเคยกับมันอยู่ไม่กี่นาทีก็เล่นเป็นเพลงได้อย่างชำนาญ แน่นอนว่าเนื้อหาเพลงที่เขาร้องกระทบใจของคุณยูริอย่างจัง เขาทำเหมือนกับตอนเป็นวัยรุ่นใหม่ๆ ที่คะนองมากพอที่จะเก๊กหล่อโชว์กีตาร์กับเพื่อนผู้หญิงที่เขาพยายามจีบอยู่นาน แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่ชายตามองเขาเลย แต่วันนี้คนที่เขากำลังร้องเพลงจีบอยู่นี้ถึงจะตกลงคบกันจนล้ำไปถึงขั้นตอนไหนๆ แล้วก็อดที่จะเขินเขาไม่ได้ เธอยิ้มตลอดเพลง พอจบก็ปรบมือให้เขาอย่างดีแม้ว่าจะเป็นคนดูเพียงคนเดียวสำหรับค่ำคืนนี้


    “นี่คงเป็นเพลงเด็ดที่เธอใช้จีบคนที่ชอบบ่อยๆ เลยสินะ”

    “คุณเป็นคนที่สองที่ผมเล่นกีตาร์และร้องเพลงจีบนะครับ”

    “คนแรกเขาไปไหนเสียแล้วล่ะ”

    เขายักไหล่

    “ผมรู้แค่ว่าเธอได้คะแนนสูงสุดในชั้นปีแถมยังทุนไปเรียนที่เอ็มทีไอ ซึ่งมันแปลว่าเธอคิดถูกแล้วที่บอกว่าเพลงของผมน่ารำคาญแล้วก็เดินหนีไปในวันนั้น”

    “หมายความว่าเธอคิดว่าถ้าสาวน้อยคนนั้นคบกับเธอแล้วจะอดไปเรียนที่เอ็มทีไออย่างนั้นหรือไง”

    “คุณคิดว่ายังไงครับ”

    “อืม...จากการที่เธอหาเรื่องเกาะแกะฉันทุกวันและทั้งวันแบบนี้ก็พอรู้แล้วว่าถ้าแม่สาวน้อยคนนั้นใจอ่อนหน่อยล่ะก็คงจะไม่กล้าทิ้งเธอไปอ่านหนังสือ แล้วเธอก็คงจะถูกพ่อแม่เขาเขม่นน่าดู”

    “เหมือนที่ผมถูกลูกๆ คุณเขม่นอยู่ใช่ไหม”

    “พวกเขาไม่ได้เขม่น”

    “แต่เขาหวงคุณมากขนาดนั้น”

    “ชางมินกับจุนซูนิสัยดี...ฉันสอนมาเองทำไมจะไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นคนยังไง ตอนนี้น่ะก็แค่ไม่ชินต่างหากที่มีใครที่ไหนก็ไม่รู้เข้ามาวอแวกับฉัน พวกเขาอาจจะรำคาญแทน...เพราะฉันไม่รู้สึกรำคาญเลยรู้ไหม”

    ยิ่งคุณยูริใจดีกับเขาแค่ไหน ก็เหมือนจะเป็นการสร้างนิสัยไม่ดีให้กับเขาแค่นั้น พอได้ยินคนดีพูดคำธรรมดาๆ แต่หวานมากออกมาแบบนั้นยุนโฮก็แทบกระโจนใส่คุณเขาที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียงให้รู้แล้วรู้รอดทว่าเธอไม่อนุญาตให้เขานอนห้องของเธอ ซึ่งเขารับปากไปแล้วก็ต้องรักษาสัจจะของตัวเอง แม้ว่ามันจะน่าอึดอัดในเหลือเกินในช่วงเวลาแบบนี้!

    แต่เธอก็ยังมองตาเขาอย่างกับจะวัดใจ แล้วก็เมินหน้าไปทางอื่น

    “มะรืนนี้แล้วใช่ไหม”

    “ครับ”

    “เวลาทำอะไรไร้สาระนี่ผ่านไปเร็วเหลือเกินนะว่าไหม นั่งคุยกัน อ่านหนังสือให้กันฟัง ปิดห้องแล้วก็กอดกันทั้งวัน เล่นดนตรีด้วยกัน ดื่มชาด้วยกัน...ก็หมดไปแล้วตั้งหลายวัน”  

    “ผมอยากจะหนีทหารก็คราวนี้”

    “อย่าเชียว!”

    “ผมล้อเล่นหรอกน่า”

    คราวนี้คุณยูริยิ้ม ก่อนจะเดินเข้ามาหาและดึงเขาไปกอดเอาไว้

    “เธอต้องทำได้ดี เชื่อฉัน...บางทีเธออาจจะค้นพบว่าตัวเองชอบเป็นทหารมากกว่าอยู่กับฉันก็ได้น๊า”

    “ไม่มีทาง”

    “พูดห้วนเชียว ฉันก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง”

    “ผมไม่ชอบนี่ครับ ทำไมคุณชอบเดาว่าผมจะชอบนั่นชอบนี่มากกว่าคุณหรือชอบพูดว่าผมจะเปลี่ยนใจจากคุณจัง”

    “จำได้ไหมที่ฉันพูดเรื่องความรักของเธอ...ที่ว่าเธอมีเต็มร้อย”

    “ตอนนี้ก็ยังเต็มร้อยครับ ไม่มีทางลดลงหรอก”

    “โธ่เอ๊ย...ไม่พูดแล้วก็ได้ ตัวก็ใหญ่โตแต่อะไรจะขี้ใจน้อยขนาดนี้นะชองยุนโฮ”

    “............”

    “ไม่เอา ไม่งอนฉันสิเด็กดี” เธอก้มหน้า เชยคางของชายหนุ่มขึ้นมาสบตา “นะ…”

    ยุนโฮไม่ยอมตอบอะไร เขาไม่ได้กำลังโกรธหรืองอนอีกต่อไปแล้ว แต่เงียบเพราะว่าอยากลองใจคุณยูริให้รู้กันไปสักครั้งว่าเธอที่มีประสบการณ์ความรักที่ลืมไม่ลงแบบนั้นจะมีวิธีจัดการกับแฟนเด็กอย่างเขาแบบไหนกัน

    “ชองยุนโฮ…”

    “ครับ”

    “อยากนอนห้องฉันไหม”

    “คุณไม่เคยอนุญาตเลย”

    “ก็อนุญาตอยู่นี่ไง เป็นกรณีพิเศษเชียว…เพียงแต่พรุ่งนี้จุนซูอาจจะโวยวายมากหน่อยตอนที่เข้ามาปลุกฉัน” 

    เธอว่าอย่างนั้นก่อนจะก้มลงอีกเพื่อกระซิบแนบหูของเขา

    “ไหวไหม”

    “ไม่ไหวครับ”

    ยุนโฮตอบ เขาลุกลี้ลุกลนและมีน้ำเสียงสั่นพร่าเมื่อตอบคุณยูริที่ไม่เพียงถามแต่ยังลูบเบาๆ ที่ต้นขาของเขาไปด้วยและไม่ว่าเธอจะตั้งใจหรือมไม่ได้ตั้งใจแค่ไหน อย่างไรแล้วก็นั่นเป็นที่มาของคำตอบของยุนโฮ 
    ที่เขาบอกว่า ไม่ไหว… ไม่ใช่เรื่องของพ่อบ้านคนเล็กของคุณยูริเลย  

    แต่เป็นเพราะคุณยูริเองต่างหากที่ทำให้เขา ‘ไม่ไหว’ อีกต่อไป


    .
    .


    เขาจูบเธอ อย่างหิวกระหายและว่องไวและราวกับเธอต้องใช้เรี่ยวแรงต่อกรกับเขาอย่างมากเสียจนแข้งขาก้าวสะเปะสะปะ ทว่ายุนโฮก็ประคองและนำทางผู้งดงามไปยังเตียงหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง
    เธอโอนอ่อนและยอมเขาโดยง่ายดาย ไม่ปฏิเสธเลยแม้แต่นิดไม่ว่าเขาจะจับต้องหรือจุมพิตลงบนจุดใดที่โผล่พ้นนอกร่มผ้าออกมา มือของเขาซุกซนและร้ายกาจซ้ำยังไวเสียจนไม่รู้แล้วว่าอยู่ตรงไหนบ้างแล้ว จนกระทั่งเมื่อรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กางเกงนอนนุ่มๆ ของคุณยูริถูกถอดออกไปทั้งที่เสื้อคลุมตัวโปรดยังอยู่ติดกายดีด้วยซ้ำ ความหนาวเย็นที่ยังสัมผัสได้แม้ฮีทเตอร์จะยังใช้งานได้ดีในคืนที่หนาวแบบนี้ทำให้เรียวขาขาวเบียดเข้าหากันเองอย่างช่วยไม่ได้ทว่าริมฝีปากของยุนโฮที่ประทับจูบตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาจนถึงปลีน่องเล็กๆ นั้นก็ทำให้ร่างกายนั้นร้อนผ่าวขึ้นมาได้อย่างไม่ต้องสงสัย 


    คุณยูริฝีนยันกายขึ้นและดึงเขาขึ้นมามอบรางวัลเป็นจูบอันแสนหวาน เธอกอดเขา พยายามกอดรัดทั้งที่ไม่ชำนิชำนาญแต่เพราะความรู้สึกชักพาไปอย่างน่าหลงใหล ทุกการขยับเขยื้อน ทุกการเคลื่อนไหว แม้แต่ทุกเสียงจังหวะหายใจของเธอนับเป็นความหฤหรรษ์ไปหมดสำหรับยุนโฮ เขารักและพร้อมที่จะบูชาทั้งหมดของคิมยูริแจจุงคนนี้จนแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง…
    ตัวของตัวเอง ที่เคยเชื่อมั่นว่าหล่อและเก่งสมกับเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อแม่ เป็นเพื่อนที่ดีของใครต่อใคร รวมถึงมั่นใจว่าจะเป็นคนรักที่ดีของคนที่แสนวิเศษอย่างคุณยูริได้ แต่บัดนี้เขารู้สึกว่าตนเป็นเพียงทาสรับใช้ของผู้งดงามอย่างคุณยูริ ที่ครองความงามอันมากมายจนคล้ายว่าจะอันตรายต่อชีวิตของเขาเอง มันคล้ายว่าเพียงเธอจูบเขานานกว่านี้ กอดเขาแน่นกว่านี้ หรือสัมผัสตัวตนแห่งชายของเขามากกว่านี้อีกนิดก็อาจมีค่าเท่ากับการปลิดลมหายใจของเขาเลยก็เป็นได้ 


    และมันยากจะเชื่อนักว่าคุณยูริที่เกือบจะเปลือยกาย มีเพียงเสื้อนอนและเสื้อคลุมที่ถูกปลดกระดุมออกนั้นเกาะติดตัวเอาไว้นั้นคือคุณยูริคนเดียวกับที่เก็บงำทุกเรื่องเอาไว้กับตัวเอง หรือเป็นคนเดียวกับที่ใจดีจนน่ากลัวตอนที่พบกันครั้งแรก หรือแม้แต่คนเดียวกับที่ยิ้มและพูดกับผีเสื้อสีเหลืองตัวนั้นได้อย่างกับเป็นภาพในนิทาน คุณยูริที่อยู่ไกลเกินเอื้อมมาตลอดคนนั้น…เพราะแม้ว่าเธอจะไม่พูดอะไร แต่แววตาและบุคลิกของเธอดูเปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ แต่อย่างไรเธอก็คือคุณยูริคนเดิมหากเป็นคุณยูริในมุมที่ใครอื่นอาจไม่ได้เห็น และถ้าหากเขายอมถอยไปตั้งแต่ตอนนั้น...ก็อาจจะไม่ได้เห็นเลยเช่นกัน
    มันยากจะเชื่อเช่นกันว่าเธออายุสี่สิบปีแล้วในขณะที่กำลังบรรเลงรักกับเขาในค่ำคืนนี้ เธอเปล่งปลั่ง ผุดผ่อง และงดงามเสมอในเรื่องของรูปกายเหมือนกับทุกครั้งที่พบกัน จนเขาเองยังเคยคิดอยู่ลำพังว่าเธอคือความหมายของคำว่าอายุเป็นเพียงตัวเลขโดยแท้จริง  และในเวลานี้เธอยังคงเปล่งประกายไปด้วยความต้องการ ปกติของมนุษย์ในเรื่องนี้มันไม่ได้ทำให้เธอดูหยาบโลนหรือฟุ้งกามทว่ามันทำให้เธอสมบูรณ์มากในฐานะมนุษย์ เป็นหลักฐานได้อย่างดีแล้วว่าการที่เธอมีผิวขาว ปากแดง และเก็บตัวเองอยู่ในบ้านเช่นนี้มันไม่ได้หมายความว่าเธอจะเป็นผีดิบหรืออะไรทำนองนั้นเลย เธอเป็นธรรมชาติของเธออย่างนี้ แล้วก็งดงามนักเมื่อกำลังรู้สึกร่วมไปหมดทั้งรักและใคร่ไม่ต่างจากมนุษย์คนไหนในโลก

    เขาเชื่อว่าคุณยูริคนรักของเขายังมีเรื่องที่คาดไม่ถึงอยู่อีกมากมาย อยู่ที่ว่าเธอจะแสดงออกหรือบอกเล่าให้เขาฟังหรือไม่ บอกตอนไหน เหมือนกับการที่เธอยกตัวเองขึ้นคุกเข่าคร่อมร่างของเขาอยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่ในความคาดหมายของเขาเหมือนกัน ทว่าหลังจากเธอสะบัดชายเสื้อคลุมออกไปไม่ให้เกะกะแล้วก็จูบหน้าผากของเขาอีกครั้งก่อนจะเอ่ยเสียงพร่าเจอรอยยิ้มบางๆ 

    “ฉันรู้วิธีทำให้เจ็บน้อยลงนะ”

    “ตามใจคุณเลยครับ”

    คุณยูริเป็นใหญ่เสมอสำหรับยุนโฮ เขาไม่ได้ยอมเพื่อให้ได้ทั้งใจและกายของคุณยูริ ทว่ายอมด้วยไม่รู้ว่าจะมีเหตุผลอะไรดีไปกว่าการยอมให้แบบนี้ นั่นก็เพราะเขารักเธอในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นเมื่อรักใครมาก่อน…

    เป็นไปตามที่ควรเมื่อการยอมให้ของยุนโฮตั้งแต่ต้นนำพาเขามาถึงวันนี้ วันที่คุณยูริพร่ำชื่อของเขาออกมาไม่หยุดเมื่อถูกรัก เธอตัวผอมบาง ผิวขาวซีด และมีความลึกลับที่ทำให้กลายเป็นคุณยูริที่งดงามกว่าใครๆ  เสียงของเธอที่ดังอื้ออึงตลอดเพลงรักที่ถูกรังสรรค์ในค่ำคืนนี้หวานอย่างกับเสียงฟลุตและบาดหัวใจไม่ต่างกับเสียงไวโอลินเมื่อเธอกรีดร้องออกมาเป็นชื่อของเขาที่กอดเธอเอาไว้อย่างหวงแหนและแสนรัก และยังต้องพร่ำบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าเขาไม่ได้ฝันไป คุณคิม ยูริ แจจุง เรียกชื่อของเขาจริงๆ 


    นั่นทำให้เขาพรมจูบเธอเสียทั่วใบหน้า จูบน้ำตาของเธอที่หลั่งออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ประดับประดาบนใบหน้าเปล่งปลั่งและสดใส


    เขาไม่รู้ว่าคุณวิคเตอร์ดิ้นรนที่จะมีชีวิตต่อไปมากแค่ไหนก่อนที่จะทนไม่ไหวและจากโลกนี้ไป แต่ถ้าหากเป็นเขา...เขาคงจะทำทุกอย่างอย่างสุดความสามารถ ยื้อชีวิตตัวเองเอาไว้แม้ต้องต่อรองกับพระเจ้ากี่ครั้งกี่หนก็จะทำโดยเต็มใจ เพราะถ้าหากเขาต้องจากคนที่งดงามและแสนวิเศษอย่างคนในอ้อมกอดตอนนี้ไปนั่นหมายความว่าเรื่องการตายและไปสวรรค์ที่ได้ฟังมาตลอดนั้นเป็นเรื่องงี่เง่าสิ้นดี!


    “ผมรักคุณ…”

    “อย่าเบื่อที่จะบอกฉันบ่อยๆ ก็แล้วกัน”

    “ไม่มีทางครับ”  

    เขาพูดทั้งที่ยังหอบ คุณยูริเองยิ่งหอบหนักกว่าเขาเสียอีก

    “ขอโทษที่ฉันเห็นแก่ตัว”

    “ตอนไหนหรือครับ”

    เธอส่ายหน้า

    “ตอนนี้เธอยังไม่รู้หรอก”

    “อย่าว่าแต่เห็นแก่ตัว...ต่อให้คุณฆ่าผมตรงนี้ผมก็ยินดี”

    “เธอที่ยังหนุ่มยังแน่นแล้วก็ตัวโตขนาดนี้จะฆ่าฉันก่อนมากกว่าล่ะมั้ง ฉันรู้สึก...เหมือน…”

    “เหมือนวิ่งแข่งหรือครับ”

    “ไม่…”

    เธอปฏิเสธและจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา

    “เหมือนเกิดใหม่”

    ยุนโฮไม่มีเหตุผลที่จะอดทนอีกแล้ว 
    เขาภาวนาให้ค่ำคืนนี้ยาวนานกว่าเดิมอีกหลายๆ ชั่วโมงตอนที่จูบคุณยูริผู้ที่กำลังเหนื่อยอ่อนและนำพาไปสู่เพลงรักบทใหม่ที่เริ่มขึ้นอย่างอ่อนโยนเช่นเคย…



    ...



    วิคเตอร์ที่รัก,

    ฉันเขียนจดหมายฉบับนี้โดยหวังยหวังว่านายจะได้อ่านจากที่ใดที่หนึ่ง ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งและฉันหวังว่านายจะไม่บ่นและปล่อยฉันไปสักครั้งสำหรับเรื่องที่ฉันแต่งตัวไม่มิดชิดในหน้าหนาว

    เวลาเจ็ดโมงเช้าของหน้าหนาววันที่ห้าพฤศจิกายนปีสองพันสิบห้า...ฉันรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในอ้อมอกของชองยุนโฮ พ่อหนุ่มที่อายุน้อยกว่าฉัน...น้อยกว่าเราสองคนสิบเจ็ดปีพอดิบพอดี ฉันระลึกได้ว่าหลังจากที่ฉันแน่ใจและปล่อยตัวปล่อยใจให้เป็นของเขาไปทั้งหมดแล้วนั้นฉันต้องสารภาพมันทั้งหมดกับนาย เพื่อที่อย่างน้อยใจของฉันเองจะได้ไม่รู้สึกผิดบาปอย่างที่เคยคิด 
    ฉันเคยคิดเสมอว่าถ้าหากชีวิตนี้จะต้องติดค้างนายไม่ว่าเรื่องใดสักเรื่องหนึ่ง ขอให้มันเป็นความรักเท่านั้น อย่าให้มีความเจ็บปวดมาเกี่ยวข้องเลย ฉัน...แจจุงหรือยูริที่รักนายอย่างสุดหัวใจคนนี้รู้สึกติดค้างนายมาตลอดเพราะเมื่อตนที่นายยังมีชีวิตอยู่ ฉันอาจจะไม่ได้เป็นคนรักที่ดีนัก ฉันรู้ตัวดีว่าฉันมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง ฉันน่ารำคาญและขี้หึงเหลือเกิน เพราะแบบนั้นเวลาที่เราใช้ไปด้วยกันส่วนหนึ่งจึงหมดไปกับพฤติกรรมแย่ๆ ของฉันซึ่งมันน่าเสียดายมากไม่ใช่หรือและเพราะนายจากไปอย่างกะทันหัน มันช่วยไม่ได้ที่จะทำให้ฉันรู้สึกติดค้างต่อนาย ฉันคิดว่าฉันน่าจะแสดงออกให้มากกว่านี้ รักนายให้มากกว่านี้ แต่ใครจะไปรู้...ตอนนั้นที่เราบอกว่าเรามั่นใจกับความรักมากนั้นพวกเราต่างยังเด็กและไม่ประสีประสาอะไรเลย นายว่าจริงไหม?

    ฉันใช้เวลาทั้งหมดหลังจากไม่มีนายอยู่แต่ในบ้าน มีความสุขกับสิ่งเล็กๆ รอบตัว...ไม่ว่าจะพวกพ่อบ้านของฉัน ต้นไม้ ดอกไม้ หรือสวนที่นายจัดเอาไว้ให้ฉันเป็นเพื่อนที่ดีมากเช่นเดียวกับหนังสือในตู้ ที่จริงฉันยอมรับว่าฉันเสียใจเรื่องที่คนรอบตัวต้องจากไปทีละคนๆ การออกนอกบ้านอาจทำให้ฉันไปพบใครใหม่ซึ่งฉันอาจผูกพันกับเขาและขณะเดียวกันก็อาจทำให้เขาผูกพันกับฉัน ฉันจึงเลือกที่จะอยู่คนเดียวและรู้จักคนให้น้อยที่สุด  ฉันคิดว่าฉันก็มีความสุขดีตามอัตภาพและถึงฉันจะต้องร้องไห้อยู่บ้างเมื่อคิดถึงนายมันก็ถือเป็นรสชาติหนึ่งของชีวิตแต่แล้ววันหนึ่งก็มีคนแปลกหน้ามาขอพบฉันที่หน้าบ้าน เขาไม่ใช่คนแรกที่พยายามจะคุยกับคนที่คนอื่นมองว่าพิเศษอย่างฉันหรอก แต่ฉันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาเป็นคนแรกที่ดูเหมือนนายมากขนาดนั้น แม้ว่าฉันจะเริ่มสนใจเขาเพราะว่าเขาดูเหมือนนายแต่มาจนถึงตอนนี้เหตุผลของเรื่องทั้งหมดมันก็ไม่ได้มีแค่นั้น… 

    วิคเตอร์ ถ้าเพียงแต่นายจะเข้าใจความรู้สึกของฉันไม่มากก็น้อย นายจะเข้าใจว่าเขาไม่ใช่ตัวเฉลยว่าที่ผ่านมาฉันโกหกที่บอกว่ามีความสุขมาตลอด ฉันไม่ได้โกหกเพราะที่ผ่านมาชีวิตของฉันก็มีความสุขในแบบที่ควรจะมีอยู่แล้ว แต่เมื่อมีเขาเข้ามาสักคน...คนที่มีจิตใจและความคิดที่น่าชื่นชมแบบเขาทำให้ฉันต้องทบทวนความรักที่ฉันคิดว่ารู้จักมาทั้งชีวิตอีกครั้งเลยเชียว 
    ตลอดจนเมื่อคืนนี้ เขาทำให้เห็นว่ายังมีความสุขอีกแบบที่ฉันคิดถึง ฉันไม่รู้เลยว่าฉันโหยหาความสุขที่ได้รักและถูกรักมากแค่ไหน หัวใจของฉันเต้นเร็วจนฉันกลัว ฉันมีความสุขแต่ในขณะเดียวกันฉันก็ทรมานเพราะฉันกลัว กลัวว่าโรคที่ฉันเป็นอยู่มันจะกำเริบขึ้นมาโดยไม่บอกกล่าว กลัวว่าความสุขแบบนั้นจะหายไป กลัวเขาจะรู้ว่าฉันมีเวลาเหลืออีกไม่มาก เพราะถ้าจะบอกให้เขารู้เรื่อง...สู้ให้ฉันยอมตัดใจทิ้งเขาเดี๋ยวนี้เลยยังดีกว่า

    ฉันยังกลัวอีกด้วยว่าเรื่องราวในอดีตจะซ้ำรอยขึ้นมาอีกครั้งเสียด้วย กลัวว่าเมื่อฉันผูกพันกับเขา...ไม่ใครก็ใครจะต้องจากกันไป เหมือนกับพ่อ แม่ คุณแม่บุญธรรม หรือแม้แต่นาย... เขากำลังจะไปเป็นทหารเหมือนครั้งสุดท้ายที่ฉันส่งนายไป มันช่วยไม่ได้จริงๆ แต่ฉันก็กลัวว่ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ทั้งที่พยายามไม่คิดร้ายและทำใจสู้แค่ไหนก็อดไม่ได้จริงๆ สิน่า 
    แต่มนุษย์เราก็มีความคิดแปลกๆ และซับซ้อนอยู่เสมอใช่ไหม…เพราะทั้งที่ฉันทั้งกลัว...ทั้งกังวลว่าจะอยู่กับเขาไม่ได้นานและยังคิดถึงนายอยู่อย่างนี้แต่ฉันก็เลือกแล้วที่จะมีความสุขกับเขาอยู่ดี นอกจากนั้นฉันยังตั้งใจที่จะมีแต่ความสุขเท่านั้น ฉันจะไม่ให้มีเรื่องเศร้าเกิดขึ้นระหว่างเราหรือถ้าหากมันเลี่ยงไม่ได้ที่จะมี...ฉันตั้งใจว่าจะยื้อมันเอาไว้ให้นานที่สุด

    เห็นไหมว่าฉันไม่ได้เอาคำสัญญามาผูกมัดตัวเองเอาไว้กับนายที่ไม่อยู่ตรงนี้แล้ว ถึงฉันจะเคยทำแต่ก็เห็นหรือยังล่ะว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้วนะ ความรักครั้งใหม่ของฉันเติบโตไวกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก
    เหมือนกับที่เราได้รดน้ำพรวนดินให้กับต้นไม้ต้นหนึ่งอย่างไม่ได้เจตนาในทุกๆ วัน พอรู้ตัวอีกทีดอกไม้ก็บานเสียแล้วน่ะ

    ชางมินกับจุนซูกลัวว่าเขาจะเป็นคนหนุ่มที่รักง่ายหน่ายเร็วก็เลยยังไม่ค่อยไว้ใจเขานักแต่ฉันคิดเอาเองว่าต่อให้ความรักครั้งนี้ของฉันจะเป็นอย่างดอกบานเช้า...ที่บานตอนเช้าแล้วพอข้ามวันก็เหี่ยวจนไม่เหลือความสวยเอาไว้แล้วก็ยังถือว่าดี

    เพราะอย่างน้อยๆ ดอกบานเช้าของฉันก็ได้เบ่งบานแล้วครั้งหนึ่ง จริงไหม?




    คิดถึงเสมอ,
    ยูริ คิม


    ...



    เขียนจดหมายจบแล้วหนุ่มหล่อที่ได้รับอนุญาตให้นอนร่วมเตียงก็ขยับตัวยุกยิก เขางึมงำพูดอะไรที่ฟังไม่ได้ศัพท์ออกมาเมื่อลืมตาแล้วเห็นว่าแทนที่จะนอนกอดกันแต่คุณยูริกลับสวมเสื้อคลุมและนั่งพิงหัวเตียงอยู่ทั้งที่ฟ้ายังไม่ทันสว่างดีเลยด้วยซ้ำ 
    ยูริเปิดโคมไฟเพื่อเขียนจดหมาย แถมตอนนี้แสงจากโคมไฟอันนั้นยังทำให้เห็นใบหน้าของยุนโฮได้ดี ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจหรือเปล่าที่ขยับหัวมานอนหนุนตักคุณยูริเอาไว้แบบนี

    “ขอโทษ...ฉันปลุกเธอใช่ไหม”

    เขาไม่ตอบ แต่ก็อุตส่าห์คลำหามือคุณยูริจนเจอแล้วก็จูบลงไปหวังจะอ้อน

    “ทำไมกัน จะเอาอะไร...”

    คนถูกถามไม่ยอมปล่อยมือ ได้แต่จูบซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นจนเจ้าของมือรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมได้ชัดเจนจึงค่อยๆ ขยับที่ทางลงนอนอีกครั้งโดยที่คราวนี้ยุนโฮรีบเข้ามามาซุกกับอกบางๆ ของเธอทันที

    “พรุ่งนี้แล้ว…”

    ยูริพึมพำพลางเกลี่ยปลายนิ้ววนไปวนมาอยู่ที่แก้มของเขา
    และเพราะนึกทีไรก็ใจหาย เพราะมันเป็นวันพรุ่งนี้แล้วจริงๆ ที่ยุนโฮจะต้องจากคุณยูริไปโดยไม่ได้พบกันอีกหนึ่งเดือนในขณะที่กำลังอยู่ในช่วงอิ่มเอมใจแบบนี้เต็มเธอถึงไม่ได้พูดอะไรอีก ได้แต่กอดเขาเอาไว้แบบนั้น

    หนึ่งเดือนข้างหน้าร่างกายของยูริจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ แม้แต่เจ้าตัวก็ไม่รู้...ต่อให้เป็นหมอพัคก็ยังตอบไม่ได้เต็มปากเต็มคำนักเพราะคนไข้ที่ดื้อและใจแข็งที่สุดคนนี้ยังคงยืนยันว่าจะไม่ไปรักษาที่โรงพยาบาลหรือที่ไหนๆ

    “รักคุณนะครับ”

    “หืม?”

    “ผมรักคุณ”

    “เด็กโง่...ฉันก็รักเธอเหมือนกัน”




    - YURI -



    คืนสุดท้ายที่เหลืออยู่ ยุนโฮถูกผลักดันกลับไปนอนที่ห้องของตัวเองด้วยเหตุผลที่คุณยูริไม่ยอมพูด แต่ไม่ว่าจุนซูหรือชางมินที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายใส่แขกคนเดียวของบ้านอย่างเขาก็พูดเหมือนกันว่าคุณยูริอาจจะต้องการรักษาคำพูดที่ให้เอาไว้กับลูกๆ ขี้หวงว่าจะไม่ให้ชองยุนโฮมาที่ห้องนอนก็ได้ ซึ่งเขาไม่รู้ล่ะนะ...แต่ก่อนจะเข้านอนเมื่อคืนนี้คุณยูริก็บอกฝันดีเขาอย่างเรียบๆ แล้วก็ยิ้มให้เขาอย่างนิ่มนวลเหมือนนิสัยใจคอของเธอนั่นแหละ ถึงจะขัดใจนิดหน่อยที่เธอไม่ยอมให้จูบราตรีสวัสดิ์แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะเขาก็แต่โลภได้คืบจะเอาศอกเท่านั้น


    เช้าวันนี้เขาจึงตื่นขึ้นมาเพียงลำพังและมองเห็นยอดไม้นอกหน้าต่างห้องเป็นอย่างแรก เขาไม่เคยลืมว่าวันนี้เป็นวันอะไรและเขาต้องไปไหน นี่จะเป็นวันแรกที่ต้องเริ่มนับหนึ่งไปจนกว่าจะครบหกร้อยกว่าวันที่รออยู่ เขารู้สึกเหมือนกำลังจะไปเข้าคุกไม่มีผิดและเชื่อว่าต้องไม่ใช่คนเดียวต้องคิดแบบนี้แน่หลังจากที่บอกตัวเองว่าต้องไปเข้ากรมแบบเขา จากนี้จะต้องนอนเป็นเวลา กินเป็นเวลา อาบน้ำเป็นเวลา ที่สำคัญคือเขาจะไม่ได้กลับบ้าน ไม่ได้เจอพ่อกับแม่ที่ป่านนี้ก็คงร้องไห้อีกแล้วเมื่อนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร แล้วก็จะไม่ได้ติดต่อคุณยูริเลยในหนึ่งเดือนต่อจากวันนี้


    ถ้าเป็นคนอื่นก็คงจะระแวงกันว่าเมื่อออกมาแล้วแฟนจะไม่รอแล้วก็เงียบไปจนกระทั่งเธอมีคนใหม่ แต่ยุนโฮไม่ได้กลัวว่าคุณยูริจะมีใคร เขากังวลมากกว่าว่าระหว่างนี้เธอจะเหงา...เพราะช่วงสัปดาห์สุดท้ายนี้เขาแทบตัวติดกับเธอและแม้แต่เขายังชินกับการที่ต้องคอยเกาะแกะ แล้วคุณยูริจะรู้สึกแบบนี้หรือเปล่า...แบบที่ไม่มีเขาคอยแซวและจีบเธอทุกๆ วัน หรือไม่มีเขาคอยกอดแล้วก็ทำให้เธอหลุดหัวเราะออกมา พูดง่ายๆ ก็คือเขากำลังอินเลิฟอย่างมาก และการต้องไปแบบไม่ได้เห็นหน้ากันเลยตั้งหนึ่งเดือนแบบนี้มันโหดร้ายเกินไป



    .
    .



    ยูริพุ่งเข้าไปในห้องน้ำและก้มหน้าลงกับอ่างล้างหน้าในขณะที่ร่างกายกำลังถูกรังแกด้วยเจ้าเนื้องอกก้อนเดิมที่ระรานระบบต่างๆ ในร่างกายอีกหนแล้ว อาการปวดหัวกำลังทวีมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เธอเองยังรู้สึกเหมือนมีคลื่นลมอยู่ในช่องท้องและมันทะลักออกมาอย่างมากมายจนเธอรู้สึกเหมือนลำคอกำลังถูกไฟเผาอยู่ไม่มีผิด และดูเหมือนมันจะกลั่นแกล้งเธอมากขึ้นในวันนี้เพราะทุกครั้งถ้าได้สำรอกออกมาสักทีหนึ่งแล้วมันจะหายไปเหมือนแค่มาทักทาย แต่เช้านี้กลับไม่ใช่เพราะมันยังออกมาและออกมาเรื่อยๆ จนยูริรู้สึกตัวเบาหวิวเหมือนเป็นใบไม้ที่พร้อมจะปลิวไปไหนต่อไหนได้ทันทีเมื่อมีลมพัดมา  ที่หัวของเธอก็ยังออกอาการอยู่ไม่น้อย...ทุกครั้งที่มีอาการแบบนี้เธอมักจะอ้อนวอนกับทุกอย่างที่นึกขึ้นได้เสมอ ขอให้เอาชีวิตเธอไปได้แล้วเพื่อที่จะได้ไม่ต้องทรมานอีกในครั้งหน้า เธอมักจะอ้อนวอนอยู่ในใจ ทั้งน้ำตา และสภาพทรุดโทรมอย่างกับว่าสีหน้าและความสดใสทุกอย่างที่เคยปรากฏให้เห็นเป็นเพียงเรื่องโกหก


    นอกจากนั้นตาของเธอยังพร่ามัวไปหมดไม่ว่าจะด้วยน้ำตาหรืออะไรก็ตามแต่ ทว่าหลังจากที่เธอพยายามเพ่งมองนาฬิกาแล้วก็พบว่านี่ถึงเวลาแล้วที่ยุนโฮจะต้องออกเดินทาง เธอเพิ่งจะกินมื้อเช้าแบบง่ายๆ ด้วยกันกับเขาแล้วก็อวยพรให้เขาโชคดีและยืนยันว่าเธอเชื่อมั่นว่าเขาจะทำได้ดีเหมือนที่ครั้งหนึ่งวิคเตอร์เองก็ทำได้ดีเหมือนกัน  หลังจากนั้นเธอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้าตอนที่ตื่นนอนนั้นเธอเอาแต่พิถีพิถันกับการเลือกระหว่างเสื้อสเวทเตอร์สีเบอร์กันดีกับสีครีมจนลืมหยิบของขวัญชิ้นเล็กๆ ที่ตั้งใจทำให้เขาติดมือลงไปที่โต๊ะอาหารด้วย เธอขอตัวเขามาแค่ครู่เดียวแต่อาการก็กำเริบแบบนี้จนมันกินเวลาไปมากแล้ว ซึ่งเธอว่าโชคดีแล้วที่มันไม่ได้กำเริบตอนที่อยู่ต่อหน้าเขา


    ยุนโฮจะต้องไปแล้ว แต่เธอยังไม่ได้จูบลาเขา
    เธอกลับมาที่ห้องนอนและติดอยู่ในนรกย่อมๆ ตรงนี้จนแทบไม่มีเรี่ยวแรงขยับเขยื้อนไปไหน
    ยูริที่หมดความทะนงตนและสง่างามถึงคราวต้องล้มลุกคลุกคลานอีกครั้งกว่าที่จะได้กินยาที่ไม่ได้ออกฤทธิ์ทันใจเลยและกว่าที่จะต้องกลับมาที่ลูกบิดประตูเพื่อใส่กลอนประตูให้แน่ใจว่าต่อให้ชางมินกับจุนซูจะถือกุญแจอยู่พวกเขาก็จะไม่สามารถเข้ามาได้นั้นก็ทุลักทุเลจนแม้แต่เธอเองยังนึกเกลียดตัวเอง ตอนนั้นเธออยากตายอยู่ในนี้ แต่อีกใจก็บอกว่าเธอตายไม่ได้ แต่เธอไม่มีความดิ้นรนที่จะเอาชีวิตรอดที่มากไปกว่านี้อีกแล้ว…

    เธอพังพาบอยู่กับประตูห้อง การ์ดอวยพรที่ลงมือทำให้ยุนโฮเองทุกขั้นตอนอยู่ในมือสั่นๆ ของเธอ แม้ว่าจะอยากให้เขาแทบตายแต่จะคลานออกไปให้เขาเห็นในสภาพแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด

    และเสียงเคาะประตูบวกกับเสียงเรียกของเขาก็ทำให้เธอสะดุ้งก่อนจะพยายามปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นและเสียงครางจากความทรมานที่คุกคามอยู่นี้ไม่ให้รั่วไหลออกไปให้คนข้างนอกได้ยิน แต่มันยากเหลือเกินเพราะแค่ได้ยินเสียงของเขาเท่านี้ยูริก็อยากจะปล่อยโฮแล้วพาตัวเองเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขามากกว่าครั้งไหนๆ

    “คุณยูริครับ ได้เวลาแล้ว…”



    “ของขวัญนั่นแค่หลอกให้ผมดีใจหรือเปล่าครับ? หรือว่าเพราะไม่อยากส่งผมไปก็เลยขึ้นหาเรื่องขึ้นมาหลบอยู่ในนี้”



    “ผมจะไปอยู่แล้ว ตั้งใจจะไม่ให้เห็นหน้าเลยหรือครับ”

    เธออยากตอบ แต่ถ้าแค่ส่งเสียงออกไปเขาจะต้องรู้แน่ๆ ว่ากำลังร้องไห้อยู่
    แต่เพราะของขวัญชิ้นนี้ตั้งใจทำให้เขา การ์ดใบเล็กๆ จึงถูกสอดไปทางช่องตรงขอบประตูซึ่งอีกฝั่งรีบหยิบมันไปทันที
    ยูริหวังว่าเขาจะชอบเมื่อได้เปิดมันดูและยังหวังอีกว่าเขาจะได้รู้ว่ายูริคนนี้ตั้งใจแค่ไหนกับการทับกลีบดอกกุหลาบแดงที่เขาซื้อมาให้และตอบแก้เก้อว่าเพราะความหมายมันดีทั้งที่เขาอาจไม่รู้ความหมายของมันเลย

    หลังจากตั้งใจเลือกกลีบที่สวยที่สุดขึ้นมาหนึ่งกลีบแล้วยูริก็แปะมันลงกับกระดาษการ์ดและเขียนข้อความลงไปด้วยลายมือของตัวเองอย่างไม่ได้ซับซ้อนอะไร...แม้ว่าจะกลัวว่าเขาไม่เชื่ออยู่บ้างว่านั่นคือหนึ่งกลีบจากดอกกุหลาบที่เขาเคยให้มาก็ตาม




    ‘กุหลาบแดงหนึ่งดอก หมายถึงรักแรกพบนะ
    ถ้าย้อนกลับไปตอนนั้นได้...เธอจะยังโกหกว่าเลือกมาให้ฉันเพราะความหมายของมันอยู่หรือเปล่า’





    “ผมจะเก็บมันไว้นะครับ”

    “อืม” 

    เธอพยายามควบคุมไม่ให้เสียงสั่นมากจนผิดสังเกตตอนที่กลั้นใจตอบออกไปแบบนั้นแม้ว่าที่จริงแล้วเสียงพูดของเธอจะเบาแสนเบาจนไปไม่ถึงเขาก็ตาม


    “ห่มผ้าหนาๆ นะครับคุณยูริ นอนอย่างระวังๆ อย่าให้เท้าโผล่ออกมาจากผ้าห่มนะครับ…”


    “คุ้นๆ ใช่ไหม? ผมลอกมาจากตอนที่คุณบอกผมนั่นแหละ...คราวนี้ขอผมบอกคุณบ้างนะครับ”


    “จะไม่ยอมออกมาจริงๆ ใช่ไหมครับเนี่ย”


    “ก็ได้ครับ ผมจะถือว่านี่เป็นการฝึกขั้นตอนแรกของทหารใหม่ก็แล้วกัน เจอบทเรียนหนักๆ แบบนี้ตั้งแต่ต้นเลยก็ดีไปอีกแบบ”


    “คุณยูริ..."


    “ถ้าผมรู้ว่ามันมีความหมายแบบนี้ตั้งแต่แรก…ผมคงจะบอกคุณอย่างมั่นใจกว่านั้นอีก”


    “เพราะหลังจากที่ได้พบคุณวันแรก ผมก็นอนไม่หลับเลย”


    “ผมคิดถึงคุณทั้งคืน”

    ท่ามกลางภาพพร่ามัวและซ้อนทับกันที่ยูริมองเห็น เสียงของยุนโฮก็ดังอื้ออึงมากขึ้นทุกทีแต่โชคดีที่ยูริยังได้ยินทุกคำจากเขาที่อยู่หลังบานประตู ทว่าการที่ไม่สามารถแม้แต่จะจับมือ กอด หรือแม้แต่ยิ้มให้เขาได้เลยในตอนนี้ มันทำให้ต้องร้องไห้หนักกว่าเก่าเพราะคราวนี้ดูเหมือนว่าความรักเองก็เล่นงานหนักเอาการไม่แพ้กับก้อนเนื้อเจ้าปัญหานั่นเลย


    “ผมรักคุณนะครับ”


    “แล้วผมจะรีบมาหาคุณ ผมสัญญา”


    ยูริอดทนเงียบต่ออีกนานจนแน่ใจว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงหน้าห้องอีกแล้วจึงปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้นและน้ำตาในเช้าวันนี้ล้วนออกมาด้วยความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและทางความรู้สึก 

    รวมถึงทั้งเจ็บใจและเสียใจกับตัวเองนักที่ยังต้องมีชีวิตอยู่กับร่างกายแบบนี้ในขณะที่กำลังมีความรักที่สดใสอย่างกับดอกไม้แรกบาน




    tbc


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in