เสาร์วันนั้นคงเป็นวันที่ยูริลืมไม่ลงอีกหนึ่งวัน เมื่อโทรทัศน์แทบทุกช่องมีรายงานข่าวด่วนถึงเหตุการปะทะกันระหว่างทหารเกาหลีเหนือและใต้ใกล้กับบริเวณป้อมปันมุนจอม
มีรายงานว่าทหารฝั่งเกาหลีเหนือเป็นฝ่ายยิงข้ามพรมแดนก่อนจนทหารนายหนึ่งของกองทัพบกเกาหลีใต้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งนำไปสู่การพยายามเจรจาจากฝั่งใต้ให้หยุดยิงแต่ก็ไม่เป็นผลทำให้ทั้งสองฝั่งเปิดฉากยิงปะทะกันในที่สุด ทหารจำนวนหนึ่งได้รับบาดเจ็บแต่ไม่มีรายงานการเสียชีวิตโดยรัฐบาลและกองทัพจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมสถานการณ์
วันนั้นยูริอยู่กับพี่แทราพี่สาวของวิคเตอร์ที่บ้าน ทั้งสองรอฟังข่าวจนไม่เป็นอันทำอะไร แทบจะลืมการใช้ชีวิตปกติอย่างการอยากอาหารหรือความเหนื่อยล้าใดๆ ไปเลย และจนกระทั่งที่สำนักข่าวที่ใหญ่และน่าเชื่อถือที่สุดในประเทศสรุปรายงานว่าทั้งสองฝั่งได้หยุดยิงแล้วและยืนยันว่าไม่มีทหารเกาหลีใต้เสียชีวิตแม้แต่นายเดียว
“ขอบคุณพระเจ้า!” ชองแทราพรอดออกมาอย่างนั้น แล้วเธอก็ยังพึมพำขอบคุณทุกๆ อย่างมากมายไปหมดจนยูริไม่ทันจับใจความ
แต่อย่างไรก็หมายความว่าเธอโล่งใจไม่ต่างกับยูริเลยนั่นแหละ
ยูริเลิกสนใจศาสนาตั้งแต่เป็นของวิคเตอร์ มันไม่ใช่การตั้งตนเป็นศัตรูหรือผู้ต่อต้าน ทว่ายูริค้นพบได้เองว่าการมีวิคเตอร์อยู่นั้นมีน้ำหนักมากพอที่จะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจโดยที่จะไม่ต้องรู้สึกผิดบาปและไม่ต้องอยู่ในสภาพที่ถูกห้ามจากทุกกฏเกณฑ์ ในเวลานี้จึงไม่มีคำขอบคุณจากปากนั้นเลย… ยูริทำเพียงเอนหลังพิงพนักแล้วสูดหายใจเข้าออกให้เต็มปอด โดยหวังว่าอีกไม่นานมือนี้จะหายจากการชุ่มเหงื่อเพราะความกังวลไปได้เสียที
ใครก็รู้ว่าเด็กสองคนนี้สนิทกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ที่พวกเขาพบกันครั้งแรกในช่วงเข้าสู่วัยรุ่น จนถึงตอนที่อายุยี่สิบกว่าแบบนี้ก็ยังรักกันดี และบางคนก็รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาสนิทกันแนบแน่นมากกว่าตอนอายุสิบกว่าซะอีก
คนรอมักต้องทรมานกว่าเสมอ คนที่ได้แต่รออย่างยูริก็เช่นกัน วันนี้เองก็ราวกับว่าการรอคอยที่จะฟังข่าวความเป็นความตายของคนที่รักนั้นทำให้เวลาเดินไปอย่างเชื่องช้ากว่าปกติตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ยิ่งเวลาผ่านไปช้าเท่าไหร่ หัวใจก็ยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น และยูริคิดเลยไปแล้วว่าถ้าหากไม่มีวิคเตอร์แล้ว...กำลังใจของยูริก็คงหดหาย จะมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะทำได้อย่างเป็นปกติหรือเปล่า
“โล่งอกไปทีเนอะ แจจุง”
“อื้ม”
“เขาคงจะได้แผลมาบ้างนั่นแหละ ถึงจะอดห่วงทั้งหมดไม่ได้...แต่ก็ดีกว่าได้ยินข่าวร้ายว่านี้ ว่าไหมจ๊ะ”
ยูริพยักหน้า และไม่เอ่ยปากออกไปว่ายังไม่ได้โล่งใจไปอย่างหมดจดเสียทีเดียว
- YURI -
เป็นเช้าวันที่ควรจะสดใสอย่างยิ่งหลังจากที่ได้ฟังข่าวดีแล้ว ทว่าวันอาทิตย์นั้นไม่ได้เป็นอย่างที่ควรเอาเสียเลย เพราะในขณะที่นาฬิกาเพิ่งจะตีเวลาบ่ายโมงตรงไปไม่เท่าไหร่ เสียงกริ่งที่หน้าบ้านของยูริก็ดังขึ้น… ทั้งแม่บุญธรรมและพี่แทราที่ถูกโน้มน้าวให้มานอนค้างด้วยกันต่างสงสัยไปตามๆ กัน และมันไม่มีเหตุผลเลยที่ยูริจะไม่อาสาออกไปเปิดประตูเอง ด้วยความหวังที่ว่าอาจเป็น ‘เขา’ ที่ยืนอยู่อีกฝั่งของประตูก็ได้
ยูริหยุดยิ้มไม่ได้ตั้งแต่ที่เดินมุ่งหน้าออกจากห้องนั่งเล่น และเหยียบย่างลงบนทางเดินที่ปูด้วยหินมาจนถึงประตูรั้วบานโตของบ้าน แต่เมื่อได้ปลดล็อคและเปิดประตูออกแล้วรอยยิ้มที่กำลังเหมือนดอกไม้ที่แย้มบานอย่างค่อยเป็นค่อยไปนั้นก็ค่อยๆ หายไปเช่นกัน
เขาสบตากับยูริ มองดวงตาสีสวยที่กำลังสั่นไหวนั้นอย่างแน่วแน่
“สวัสดีครับ”
เขาทักอย่างเรียบง่าย...ชายในชุดทหารตรงหน้า
“มาหาใครหรือ”
ยูริเอ่ยถามเขาอย่างไม่เต็มเสียง
ตรงหน้าคือทหารสามนายในชุดพรางสีเขียวอย่างที่เห็นชินตา ทว่าคนตรงกลางดูเคร่งขรึมและอาวุโสกว่า แต่ที่ชัดเจนมากกว่านั้นก็คือแววตาของทั้งสามที่เป็นไปในทิศทางที่ดูไม่สบายใจเหมือนกันทั้งหมด
ยูริเงียบระหว่างรอคำตอบจากเขา ทว่ากลับได้คำถามกลับมาแทน
“คุณคิมแจจุงใช่ไหมครับ”
เจ้าตัวพยักหน้า ในขณะนั้นรู้สึกเกร็งตลอดตัวตั้งแต่ต้นคอลงไป แล้วก็ยังถอยหลังหนีอีกครึ่งก้าวเมื่อทหารทั้งสามตรงหน้ายกมือทำวันทยหัตถ์กันอย่างพร้อมเพรียงก่อนที่เขาจะยื่นซองกระดาษสีน้ำตาลซีดนั้นให้กับยูริ ผู้ซึ่งรับเอาไว้และเปิดออกด้วยมือไม้อันสั่นเทา
ยูริอ่านหนังสือมามาก ความรู้รอบตัวมีไม่น้อยไปกว่าใคร สมัยเรียนวิทยาลัยก็เรียกได้ว่าขับเคี่ยวแข่งเอาที่หนึ่งกันสองคนกับวิคเตอร์มาโดยตลอด แล้วก็ยังรู้ด้วยอีกว่าเมื่อมีคนใกล้ชิดไปเป็นทหาร แล้ววันหนึ่งมีนายทหารที่ไม่รู้จักกันมาก่อนที่บ้านแบบนี้นั้นจะนำมาพร้อมกับข่าวอย่างไร
แต่เวลานั้นยูริไม่เชื่อในความรู้ของตัวเอง… ตั้งมั่นว่าไม่เชื่อเอาไว้อย่างนั้นจนกระทั่งคลำได้วัตถุเย็นๆ จากในซองกระดาษนั้นและหยิบออกมาดูให้เห็นกับตา
“สิบเอกชองแทโฮ เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่เมื่อวานนี้ครับ”ป้ายเหล็กของวิคเตอร์ สลักชื่อและข้อมูลของเขาเอาไว้อย่างชัดเจนและยูริรู้ดีว่าเมื่อคนอื่นนำสิ่งนี้กลับคืนมาสู่ครอบครัวของทหารนั้นมันหมายความว่าอย่างไร
หัวใจของยูริแตกสลาย โลกใบนี้หยุดหมุนลงไปในทันที
ไม่อาจประคองร่างกายของตัวเองเอาไว้ได้อีกแล้วจึงปล่อยให้ร่างผอมบางของตนทรุดลงกับพื้นพร้อมกับน้ำตาที่ทะลักหลั่งไหลออกมาโดยไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้น…
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้แต่ก็ราวกับว่านานแสนนาน ยูริไม่ได้ยินเสียงและเหมือนกับว่าไม่รู้สึกอะไรอีกแล้วนอกจากความเจ็บปวดที่หัวใจ และไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่ว่าที่พี่แทราและคุณแม่ออกมาพร้อมกับกอดยูริเอาไว้ทั้งน้ำตาไม่ต่างกัน
ปกติแล้วการจากไปของคนที่เรารัก รักจนสุดหัวใจไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจได้ง่ายนัก ซึ่งจะต้องใช้เวลามากแค่ไหนก็มีแต่ต้องดูเอาจากความเข้มแข็งของคนที่อยู่เท่านั้นถึงจะได้คำตอบที่ชัดเจน ในตอนนั้นยูริที่เคยมีวิคเตอร์เป็นที่รักและเป็นเหมือนขุมพลังใหญ่ของตนจึงแทบไม่เหลือความเข้มแข็งใดๆ ไว้อีกเลย
ไม่มีวิคเตอร์แล้วจะอยู่ยังไง - แม้ว่าคำถามนี้จะดังวนเวียนอยู่ในหัวหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่บ่อยครั้งเท่ากับที่ยูริเฝ้าถามกับผู้ไร้ตัวตนใดๆ ว่าตอนที่เขาตาย เขาทรมานมากไหม มีใครอยู่ข้างเขาหรือเปล่า เขาเรียกหายูริของเขาบ้างไหม แล้วใครกันนะที่ได้คุยกับเขาเป็นคนสุดท้าย
และมันคงไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอะไรเลย
ถ้าหากวิคเตอร์ต้องตายอย่างเดียวดาย...นั่นคงจะเป็นการสร้างแผลใหญ่เอาไว้ในชีวิตนี้ก็เป็นได้และยูริได้แต่หวังว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น
หากจะมีอะไรให้ขัดข้องติดค้างเอาไว้กับวิคเตอร์ก็ขอให้เป็นความรักเท่านั้น...
ไม่ใช่ความรู้สึกผิด...
- YURI -
เวลานอนหลับ ไม่ว่าใครก็ดูเหมือนเด็กน้อยกันทั้งนั้น…
ยุนโฮที่กำลังอยู่ตรงหน้ายูรินี้ก็ดูเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน
และเพราะความเป็นห่วงต่อชายหนุ่มมีมากจนท่วมท้น ก่อนหน้านี้ถึงได้โกรธลูกเลี้ยงทั้งสองคนอย่างที่แทบจะไม่อยากคุยด้วยอีกสักสองสามวันด้วยซ้ำไป เพราะการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ บังคับให้คนคนหนึ่งต้องอดทนยืนตากหิมะหลายๆ ชั่วโมงจนเขาไม่ได้สติไป แล้วก็ยังไม่ยอมปริปากสารภาพผิดแต่ดันหันไปหาทางแก้ไขกันเอาเอง เป็นแผนการระหว่างกันเองสองคน ทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่าถ้าคุณท่านมารู้โดยบังเอิญก็คงจะถูกโกรธเอาแน่ๆ แต่ทั้งที่รู้ก็ยังก่อเรื่อง…
ยุนโฮมาตั้งแต่ก่อนหิมะจะตกซะอีก เขาเองก็คงรู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองกำลังไม่รักษาคำพูดเรื่องที่จะไม่มาพบกันอีก แล้วก็อาจจะมาทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าคุณยูริไม่อยากเจอ แต่ไม่ว่าเขาจะมาเพราะอะไร รู้สึกอะไรบ้างนั่นก็เป็นคนละเรื่องกับการที่เจ้าลูกชายคนเล็กอย่างชางมินบอกเขาว่าคุณท่านไม่อยากพบ แถมยังไปแนะนำเขาอย่างน่าตีให้อีกว่าบางทีถ้ายืนรออยู่ตรงหน้าประตู ให้คุณท่านเห็นจากในกล้องอย่างครั้งก่อนล่ะก็อาจจะมีสิทธิ์ได้เข้าไปอย่างที่ต้องการก็ได้
แล้วอากาศวันนี้ก็ไม่ใช่ของเล่น หิมะแรกตกหนักจนหนาทีเดียว...ลมหนาวก็พัดทั้งวัน ก็เล่นเอาจนคนตัวโตๆ อย่างเขาไข้ขึ้นสูงได้ถึงขนาดนี้เลยก็แล้วกัน…
ยูริอยู่ที่ตึกเล็กที่ไม่ได้เข้ามาตั้งนาน พวกชางมินกับจุนซูนอนที่นี่ แล้วก็ยังใจดีจัดหาห้องหับใหม่แล้วพายุนโฮมาซ่อนตัวอยู่ในนี้ซะด้วย เจ้าตัวการอย่างจุนซูกับชางมินถูกไล่ให้ไปนอน ครั้งนี้รั้นอยู่สองสามคำก็ยอมไปแต่โดยดีเพราะยังมีความผิดติดตัวอยู่ก็เลยไม่กล้าพูดอะไรมาก...คุณยูริกำผ้าขนหนูหมาดๆ แล้วคอยเช็ดตัวลดไข้ให้คนป่วยอยู่เป็นระยะ ยูริเป็นกังวลเรื่องอาการของเขา แม้ว่าจะไม่พูดอะไรมากแต่การกระทำก็บอกชัดอยู่แล้วว่าเป็นอย่างนั้น ทั้งดูแลเขาอย่างใส่ใจ จับมือเขา แล้วก็กำลังจะนอนผิดเวลา และอาจนำพาไปถึงการอดนอนในค่ำคืนนี้ก็ได้ถ้าหากยังคงปักหลักอยู่ตรงที่ว่างข้างๆ เตียงและรอดูอาการเขาด้วยตัวเองแบบนี้
กลับมาครั้งนี้เขาก็มากับผมทรงใหม่ เป็นทรงที่เตือนความจำยูริได้อย่างดีว่าพวกเขาไม่ได้เจอกันนานเสียจนตอนนี้คงจะใกล้เวลาที่เขาต้องไปรับใช้ชาติอย่างที่เคยบอกเอาไว้เต็มทีแล้ว...แต่ก่อนจะถึงมือหน่วยฝึก ว่าที่ทหารใหม่กลับต้องมานอนป่วยไข้อยู่ที่นี่และเขาคงไม่สบายตัวนักถึงได้นอนคิ้วขมวดแบบนั้นไม่หายเสียที ยูริไม่ได้ตื่นตกใจกับอาการไข้ ทว่าไม่ว่าเขาจะเป็นอะไรก็อยากจะให้หายโดยไวที่สุดทั้งนั้นถึงได้หน้านิ่วคิ้วขมวดตามเขาไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว
“เดี๋ยวก็หายไม่ทันไปรายงานตัวหรอก...”
ยูริพูดเบาๆ ขณะเช็ดหน้าที่เริ่มจะเบาเหงื่อของเขา ขณะที่มือหนึ่งเช็ด อีกมือหนึ่งก็กุมกับมือเขาเอาไว้อย่างอ่อนโยน ยูริรู้สึกอย่างที่พรั่งพรูออกไป มันมั่นคงมากเหมือนกับครั้งเดียวที่เคยรู้สึกรักคนนอกครอบครัว ยูริไม่ได้จะโกหก ไม่ได้อยากปิดบังความรู้สึกตัวเองหรืออะไรพรรค์นั้นแน่นอนเพราะคิดเสมอว่าอะไรเกิดขึ้นในความรู้สึกแล้วจะเรียกคืนไม่ได้ มีแต่ต้องเกิดความรู้สึกใหม่ๆ ขึ้นมาและอาจแทนที่กันได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็แล้วแต่แรงกระทบต่อตัวเรานั่นแหละที่เป็นตัววัด ความรักที่เกิดขึ้นกับเด็กหนุ่มที่อ่อนกว่าเกือบยี่สิบปีคนนี้ก็เช่นกัน เมื่อเกิดเป็นรักแล้วยูริก็ยอมรับว่ารัก แต่กับวิคเตอร์รักแรกก็ยังคงรักและรักมากไม่เคยลดลง ทว่าวันนี้ในหัวใจกลับมีชองยุนโฮที่ดูเหมือนเขามากเข้ามาอีกคน...ยูริจึงรู้สึกไม่ชอบตัวเองที่มีสองจิตสองใจขึ้นมา ไม่ชอบเลย
ไม่ชอบตัวเองที่สองใจ
ไม่ชอบที่อย่างไรในอนาคตก็จะทำให้ยุนโฮต้องเสียใจแน่ๆ
ไม่ชอบที่รู้อย่างนั้นแล้วก็ยังชอบเขา ยังคงคิดถึงเขาทุกวัน
- YURI -
เปลือกตาทั้งคู่เปิดขึ้นเผยดวงตาสีเทานั้นอีกครั้งในเวลาเกือบเที่ยงของวันต่อมา วันนี้ยูริตื่นสายที่สุดในรอบเดือน… ทั้งต้องพลาดอาหารและยาในมื้อเช้าแล้วก็ยังพลาดการพูดคุยกับหมอพัค หมอประจำตัวของตนที่เข้ามาช่วยดูอาการของแขกคนสำคัญในบ้านไปเสียด้วย
พอเห็นว่าเจ้านายตื่นนอนแล้วจุนซูที่นั่งอยู่ข้างๆ เตียงแล้วก็แทบจะนับนาทีรอมาโดยตลอดก็กระวีกระวาดเข้ามาช่วยประคองเอาร่างบางๆ นั้นขึ้นนั่งแล้วก็รายงานอาการของยุนโฮให้ได้ฟังทั้งที่ยังไม่ได้ร้องถามเลยด้วยซ้ำ ราวกับอยากจะทำหน้าที่ให้ดีเพื่อจะชดเชยความผิดที่ทำลงไปแล้วอย่างนั้นแหละ
“เชิญคุณหมอพัคมาตรวจให้แล้วนะครับ บอกว่าพอได้ยาไปแล้วอีกเดี๋ยวก็คงจะดีขึ้นแล้วก็หายดีเองครับ”
“อืม”
ยูริครางตอบเบาๆ ทำเอาเด็กหนุ่มใจหล่นวูบลงไปอีกครั้งเพราะตั้งแต่ถูกจับได้ว่าทำผิดคุณยูริก็ยังไม่ได้พูดอะไรด้วยมากมายเหมือนแต่ก่อนเลย เมื่อคืนนี้พอทนไม่ไหวเพราะเป็นห่วงว่าถ้าคุณยูริไม่ยอมเข้านอนดีๆ ก็อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพในวันต่อมาก็ได้ก็เลยรวบรวมความกล้าเคาะประตูและเกลี้ยกล่อมให้คุณยูริไปนอนแล้วก็อาสาจะเฝ้าไข้ให้เอง กว่าเธอจะยอมก็แทบจะถอดใจไปแล้วแต่ในที่สุดก็หันมาสั่งเสียงเบาๆ
“พรุ่งนี้เขาคงตื่น...พวกเธอช่วยย้ายเขาขึ้นไปที่ตึกใหญ่แล้วก็ตามหมอมาดูหน่อยก็แล้วกัน”
ขนาดนั้นแล้ว ถึงจะไม่เห็นด้วยแล้วก็อยากจะแย้งด้วยความรู้สึกของคนขี้หวงอย่างไรก็ไม่กล้า คุณท่านว่าสั่งอะไรก็ว่าตามนั้นก็แล้วกัน…
กระทั่งคุณท่านลุกขึ้นมาอาบน้ำแล้วก็กินมื้อกลางวันไปแล้วทั้งชางมินและจุนซูก็ยังเอาแต่เฉไฉไม่กล้าสบตา พอคุณท่านมองมาทีไรก็เสไปมองทางอื่น อาจเป็นเพราะภาพและเสียงที่ถูกตำหนิเมื่อคืนนี้จะยังไม่หายไปไหน ถึงจะไม่กรรโชกโฮกฮากแต่ก็ฝังใจไปอีกหลายวันแน่ๆ ถึงยังทำให้ไม่กล้าทำตัวปกติกับคุณท่านมาจนถึงตอนนี้ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็น่าอึดอัดไม่ใช่เล่นเพราะคนอยู่บ้านเดียวกันถึงจะนอนคนละห้อง แต่ก็เจอกันทุกวัน หน้าที่ของเจ้าสองคนขี้หวงนี่ก็มีแต่ต้องคอยดูแลทั้งบ้านแล้วก็ดูแลคุณท่านอย่างดี ทั้งกำชับให้กินอาหารและยาให้ครบทุกมื้อ เมื่อไรเห็นว่าดึกแล้วแต่ยังติดพันกับหนังสือหรืออะไรอื่นก็ต้องมาคอยทำตัวเป็นนาฬิกาตีบอกเวลาให้ไปนอนอยู่ต่อเนื่องมาตั้งไม่รู้กี่ปีแล้วนั่นแหละถึงจะปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้ สนิทกันแล้วอยู่ๆ จะปล่อยให้กลายเป็นห่างเหินกันแบบนี้น่ะไม่ไหวแน่ บ้านนี้เขาก็ว่ากันว่าเป็นบ้านผีสิงกันอยู่แล้ว ถ้าขืนไม่ทำอะไรแล้วอย่างน้อยจุนซูที่พูดมากกว่าชางมินต้องกลายเป็นคนไม่พูดไปเฉยๆ เดี๋ยวจะกลายเป็นบ้านผีสิงไปอย่างเขาว่าจริงๆ แน่… ยูริครุ่นคิดตลอดเวลาที่ทำเป็นสนใจกับชาดอกไม้ตรงหน้าก่อนจะตัดสินใจพูดเมื่อคิดว่าเป็นเวลาที่ควร
“พวกเธอสองคน”
“ครับคุณท่าน”
พวกเขากุลีกุจอขานรับ
“อย่าอุกอาจคิดเองเออเองอย่างเมื่อวานนี้อีกล่ะรู้ไหม...อากาศหนาวๆ แบบนี้บางคนก็คงถอดใจอย่างที่เธอคิดแน่ แต่กับบางคน...เธอก็เห็นแล้วนี่ว่าเขาไม่ถอย แล้วถ้าเขารั้นจนเป็นปอดบวมหรืออะไรมากกว่านั้นขึ้นมาก็คงแย่ และส่วนหนึ่งมันจะเป็นความผิดของพวกเธอ”
“ทราบแล้วครับ”
“ฉันเป็นห่วงมากกว่าโกรธนะรู้ไหม”
“ก็ผมได้ยินคุณท่านบอกว่าเขาจะไม่มาอีกแล้ว”
“แล้วไปแกล้งเขามันถูกไหม...ไม่รู้ล่ะ หยุดเถียงได้แล้ว ฉันจะไปดูเขาหน่อย”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่แล้วชางมิน”
คุณยูริลุกจากเก้าอี้ แล้วก็มุ่งหน้าออกไปจากห้องอาหาร แต่ไปได้แค่ก้าวสองก้าวก็หันกลับมา
“ป่านนี้หิมะคงหนามากแล้ว ไปช่วยกันจัดการหน่อยสิ...หลังบ้านก็ด้วย”
หลังบ้านที่มีเฉลียงเชื่อมทางไปที่ทะเลสาปส่วนตัวยังมีปัญหาตรงรอยต่อระหว่างประตูกับพื้นอยู่ เพราะบ้านนี้อยู่มานานกว่าคนอยู่เสียอีกก็เลยมีปัญหาชำรุดเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง ปีนี้พอคิดว่าจะซ่อมประตูหลังบ้านทีไรก็ไม่ทันการแล้วคงต้องรอไปถึงตอนหมดหิมะแล้วนั่นแหละถึงจะจัดการกับช่องโหว่ที่เป็นปัญหาได้ ถึงเวลาแบบนี้ก็ทำได้แค่หาอะไรไปปิดรูเอาไว้ให้ลมและเสียงวืดๆ นั้นเข้ามาได้น้อยที่สุด หิมะตกแล้วก็มีลมแบบนี้ก็ยิ่งต้องรีบจัดการ เพราะเดี๋ยวจะเปียกแล้วกักความชื้นเอาไว้เยอะๆ อีกจะไม่ดี ชางมินกับจุนซูคงจะลืมไปแล้วแต่คุณยูริที่เป็นเจ้าของบ้านไม่เคยลืมแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ก็เลยออกปากเตือนให้ไปทำหน้าที่กันได้แล้วก่อนจะเดินออกไปจริงๆ ให้ลูกชายขี้หวงทั้งสองคนต้องทำหน้าตูมเพราะถูกกันไม่ให้ตามติดตั้งแต่ยังไม่ทันได้ก้าวเลยด้วยซ้ำ
- YURI -
หลังจากเปิดและปิดประตูอย่างระวังแล้ว ยูริก็ยังเดินอย่างระวังจนแทบจะย่องอีกด้วยตอนที่เดินไปหายุนโฮที่เตียง วันนี้เขามีสีหน้าดีกว่าที่ยูริเห็นเมือคืนนี้มาก เท่านั้นก็โล่งใจแล้วว่าเขาคงจะไม่ได้เป็นอะไรมากกว่านั้น
เด็กๆ รายงานว่าคุณหมอพัคมาถึงก็ตรวจตามประสา แล้วก็ฉีดยาให้หนึ่งเข็ม คุณชองยุนโฮยังลืมตาแล้วก็โต้ตอบกับคุณหมอได้อยู่เลย คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง…ซึ่งยูริก็เชื่อว่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆ หลังจากตอนนี้ไปถ้ายุนโฮได้สติอีกครั้งแล้วก็จะให้เขาพักผ่อนจนกว่าจะรู้สึกดีขึ้นแล้วก็คงถึงเวลาต้องเชิญเขากลับบ้าน อย่างน้อยช่วงเวลาก่อนที่จะเข้ากรมทหารก็ควรใช้ไปกับครอบครัวมากกว่าคนอื่นอยู่ดี
พอลองอังฝ่ามือกับหน้าผากเขาก็รับรู้ได้เลยว่าไข้ลดลงจนแทบเป็นปกติแล้วก็ยิ่งสบายใจที่สิ่งที่ทำมาเมื่อคืนมีประโยชน์อยู่บ้าง อย่างน้อยก็คงมีส่วนช่วยลดไข้ให้เขาได้บ้างนั่นแหละ...แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะตื่นขึ้นมาตอนที่ยังทำทั้งวางมือไว้บนหน้าผากของเขาแล้วก็นั่งยิ้มอยู่แบบนี้ซะหน่อย
“คุณยูริหรือเปล่าครับ”
“ใครบอก...ฉันเป็นผีเฝ้าบ้านนี้ต่างหาก”
เขายิ้ม อาการดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดจนได้ยินและได้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าตรงหน้านี้คือคุณยูริจริงๆ
“เป็นยังไงยุนโฮ ชอบเล่นหิมะมากนักหรือไง”
“สนุกดีเหมือนกันนะครับ”
“ถ้าไม่ได้คุณหมอจ่ายยาแรงๆ ให้ ป่านนี้คงไม่สนุกหรอก”
“ผมอยากเจอคุณ...ต้องเจอคุณให้ได้”
“อ๊ะ เดี๋ยวสิ! อย่าเพิ่งลุก ยุนโฮ!”
ยูริตกใจคว้ามือเขาเอาไว้ทั้งสองข้าง แต่นั่นก็ไม่สามารถห้ามเขาไม่ให้ลุกขึ้นอย่างที่ต้องการได้เลย เพราะสุดท้ายแล้วยุนโฮก็ลุกขึ้นนั่งจนได้ แถมเขายังยิ้มหวานให้คุณยูริอีก
“ผมดีใจนะครับที่ได้เห็นหน้าคุณแบบนี้อีก”
“เธอ...ปล่อยมือก่อนได้ไหม”
เขายอมปล่อยมือ แต่ก็ด้วยความเสียดาย
“ขอโทษครับ”
“ฟังนะ...ตามประสาคนเคยคุยกันบ่อยๆ พอไม่ได้เจอหน้ากันเป็นเดือนแล้วมาเจอกันอีกแบบฉันกับเธอนี่ก็น่าดีใจเป็นธรรมดา ฉันเองก็ดีใจที่ได้พบเจอเธออีกครั้งนะยุนโฮ”
“ขอบคุณครับ”
“แต่ว่าที่พลทหารควรใช้เวลาที่พอมีในตอนนี้อยู่กับครอบครัวมากกว่านะ”
“คุณต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่าตอนนี้พ่อกับแม่ของผมกำลังไปทัวร์ยุโรปกัน เพราะแม่ไม่อยากร้องไห้ตอนไปส่งผม”
“อีกกี่วันกว่าจะไป”
“เจ็ดวันครับ”
“เธอต้องทำได้ดีแน่ๆ ฉันมั่นใจ…”
“คุณหงุดหงิดไหมครับที่ผมผิดคำพูด ทั้งที่รับปากแล้วว่าจะไม่มาอีก”
ยูริพยักหน้า
“ยอมรับว่าหงุดหงิดอยู่บ้าง แต่พอลูกๆ ของฉันแกล้งเธอจนจับไข้ขนาดนี้ฉันก็ไม่กล้าหงุดหงิดต่อแล้ว”
“ผมไม่เป็นไร”
“ยุนโฮ...เธอยังต้องใช้ร่างกายอีกมากเชียว ถึงจะเป็นแค่ไข้หวัดก็อย่าประมาทสิ”
“ถ้าแลกกับการที่จะได้มาพบคุณอีกครั้งก่อนที่อะไรๆ จะสายไป ผมยอมทุกอย่างนั่นแหละครับ”
เจ้าของบ้านเลี่ยงที่จะตอบโต้อะไรแต่ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีและรอประโยคต่อมาจากเขาแทน
“ผมคิดถึงคุณนะครับ”
“เธอพูดไปแล้ว”
“และผมต้องพูดกับคุณด้วยว่าผมรักคุณแล้ว…”
แม้ว่าจะเคยมีความรักมาแล้วครั้งหนึ่งแต่ยูริไม่เคยชินกับการถูกบอกรักเลย โดยเฉพาะครั้งนี้เป็นยุนโฮที่บอกรักและแววตาของเขาบอกอย่างแน่วแน่ว่าเขาเตรียมหัวใจมาสารภาพให้หมดเปลือกยิ่งทำให้ยูริรู้สึกวูบวาบอยู่ในอก แต่ถึงในใจจะปฏิเสธและอยากจะบอกเขาว่าเขาไม่ควรคิดแบบนี้ แต่กลับไม่กล้าเปิดปากพูดอะไร ไม่แม้แต่จะส่ายหน้าหรือขยับตัวหนีเขาขณะที่อยู่ใกล้กันแค่เอื้อมแบบนี้
ก็เพราะยูริไม่ได้อยากจะปฏิเสธเขาเพราะไม่มีใจแต่เป็นเพราะว่ามีใจเหมือนกันต่างหาก
“ชองยุนโฮ ถึงมันจะเป็นความรัก ก็อย่าให้มันเป็นความรักเลยจะดีกว่า เธออาจจะแค่ชอบหน้าของฉัน หรือแม้กระทั่งชอบจูบของฉัน แต่อย่าให้มันเป็นถึงขั้นความรักเลยดีกว่า มีความรักมันไม่ได้มีความสุขเสมอไปหรอกนะ”
ใจตรงกันก็จริง แต่ถ้าในอนาคตจะต้องทิ้งเขาไปก่อน...ถ้าจะต้องทำให้เขาเสียใจไม่ว่าจะมากหรือน้อยยูริก็ไม่อยากทำ
“คุณยูริ! ความรู้สึกของผมมันไม่ใช่เรื่องผิวเผินขนาดนั้นซะหน่อย”
ยุนโฮหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ
ถ้าความรู้สึกของเขามันเกิดขึ้นอย่างง่ายดายและรวดเร็วแล้วก็เป็นเพียงเรื่องผิวเผินแบบนั้นจริงล่ะก็เขาคงจะรั้นไม่ยอมหยุดจูบเอาไว้แค่นั้นแน่ๆ แต่เพราะเขาได้กลับไปคิด ทบทวน แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างอึดอัดแบะน่าหงุดหงิดกับความรู้สึกแบบนั้นตลอดทุกๆ วันที่ไม่ได้กลับมาพบกับคุณยูริที่นี่...เขาคิดมาแล้วถึงขนาดนั้น ถึงได้มั่นใจว่าเมื่อเขาได้กลับมาพบกับคุณยูริอีกครั้ง ทุกสิ่งที่เขาพูดนั้นจะเป็นความจริงทั้งหมด
และมันจะเป็นเรื่องของความรักทั้งนั้น ไม่ใช่แค่ความหลงไหลแน่นอน
เขาจับมือคุณยูริอีกครั้ง ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าเธอจะยินดีรับสัมผัสของเขาหรือไม่ในขณะที่สีหน้าของเธอมีแต่ความเคร่งเครียด และเมื่อเธอรู้ตัวก็พรอดชื่อของเขาออกมาอย่างที่ฟังออกเลยว่าเธอกำลังเหนื่อยใจกับนดื้อดึงอย่างเขามากทีเดียว
“ยุนโฮ…”
“ใช่ครับ ผมยุนโฮ ไม่ใช่คุณวิคเตอร์นะครับ”
“ฉันรู้หรอกว่าเธอคือใคร เพราะเชื่อสิว่าถ้าฉันคิดว่าเธอเป็นวิคเตอร์ฉันคงไม่ลังเลที่จะกอดเธอเดี๋ยวนี้เลย แต่เพราะเธอคือยุนโฮ...ชองยุนโฮ เธอก็คงรู้อยู่แล้วว่าฉันยังรักวิคเตอร์อยู่ด้วยแล้วแบบนี้ก็ยังอยากที่จะรักฉันอยู่อีกหรือไง”
“ครับ”
“ไม่ฉลาดเอาเสียเลย”
คำพูดของคุณยูริไม่มีความหมายกับเขาเลยหรือต่อให้มี ก็ไม่ได้มากไปกว่าการที่เธออยู่นิ่งๆ ฟังเขา มองตาเขา แล้วก็ยอมให้เขาจับมืออยู่แบบนี้หรอก
“ฉันจะรับรักเธอไม่ได้เด็ดขาด ฉันบอกตัวเองไว้แบบนี้”
“แต่คุณพูดว่าคุณรักผม วันนั้นคุณพูด...เมื่อกี้คุณก็พูดนี่ครับ”
“จะรักสองคนไปพร้อมๆ กันได้ยังไงล่ะ”
“ผมไม่มีปัญหาครับถ้าคุณจะยังรักเขาอยู่”
“ไม่ใช่อย่างนั้นยุนโฮ...ฉันไม่ได้กลัวว่าเธอจะขัดข้องไปกับฉัน แต่ฉันเองต่างหากที่รู้สึกไม่สบายใจ ฉันไม่อยากรู้สึกไม่ซื่อสัตย์กับใคร ไม่ว่าจะเป็นเธอหรือวิคเตอร์”
ความรักมันทุกข์ถึงขนาดนี้เชียวหรือ...ยูริรำพึงอยู่ในใจขณะที่มองสองตาที่เต็มไปด้วยความหวังของคนหนุ่มตรงหน้า
“ความรักก็คือความรักครับ ไม่ใช่ความซื่อสัตย์”
“ก็ได้ ถ้าไม่พูดถึงความซื่อสัตย์ก็มีอีกอย่างที่ฉันขัดข้อง ก็คือว่าไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องทำให้เธอเสียใจแน่ๆ ถ้าฉันไปก่อนเธอจะเป็นยังไง โดยเฉพาะถ้าเธอพูดว่าเธอรักฉันจริง...ถ้าฉันต้องจากไปก่อน เธอก็จะเสียใจ ฉันไม่อยากให้เธอเป็นแบบที่ฉันเป็นตอนที่วิคเตอร์ตายไป เข้าใจไหม”
“ผมไม่สนใจเรื่องวันพรุ่งนี้หรือวันต่อไปหรอกครับ สำคัญที่สุดคือวันนี้! ตอนนี้ต่างหากที่คุณควรถามตัวเองว่าคุณรู้สึกยังไง มีความสุขแค่ไหนที่ผมอยู่ตรงนี้ ปัจจุบันน่ะสำคัญที่สุดนะครับช่างมันเถอะเรื่องอนาคตน่ะ…”
“เหลวไหล!”
เธอขึ้นเสียง แล้วก็ลุกหนียุนโฮทว่าไม่ทันได้ไปไหนเขาก็คว้ามือเอาไว้ก่อน
“เหลวไหล! เพ้อเจ้อ! เธอเธอลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันอายุเท่าไหร่แล้ว ฉันแก่เกินไปสำหรับเธอ...ไม่อายคนอื่นเขาหรือไงถ้าจะมาคบกับฉันน่ะ”
“ผมไม่สน”
“แต่ฉันแคร์เธอตรงนี้!”
“สำหรับผม...ความรู้สึกสำคัญที่สุด ถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้วไม่ว่ามันจะเป็นยังไงหรือคนอื่นจะพูดอะไรมันก็คือความรู้สึกของผม เหมือนกันกับคุณยูรินั่นแหละครับ ถ้ามันเกิดขึ้นมาในใจคุณแล้วมันก็คือความรู้สึกของคุณ ซึ่งผมแคร์คุณเหมือนกัน”
ผู้งดงามส่ายหน้าช้าๆ เมื่อยิ่งชัดเจนว่าน้ำตากำลังจะไหลลงมาก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่อยากอยู่ตรงนี้และร้องไห้ให้เขาเห็น
“มันเร็วเกินไปด้วย”
“คุณก็อ้างไปเรื่อย...ถ้าคุณเกลียดผม ผมจะไม่ตื๊อเลย...แต่เพราะผมดูออกว่าคุณรักผม”
“อย่ามารักฉันเลย ให้ฉันรักเธอคนเดียวก็พอแล้ว”
ยูริสะบัดมือและกำลังจะไปอยู่แล้ว ทว่ายุนโฮก็รั้งเอาไว้อีกครั้งด้วยอ้อมกอดที่ยังคงอุ่นกว่าปกติเพราะพิษไข้ที่ไม่ทันหายขาด เขากอดยูริจากด้านหลัง และยิ่งกระชับแน่นเมื่อคนในอ้อมกอดทำท่าจะผลักไสกัน
“ผมจะเด็กกว่าคุณแค่ไหน หรือเราจะใช้เวลากันมามากแค่ไหนอย่าสนใจเลยนะครับ...ขอแค่คุณเชื่อผม ที่สำคัญเชื่อตัวเอง แค่นี้ได้ไหมครับคุณแจจุง”
“แต่ฉันไม่อยากเป็นคนหลายใจ”
“คุณไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก”
“ฉันบอกวิคเตอร์ว่าจะมีเขาคนเดียว”
ยูริร้องไห้ น้ำตาหยดลงบนท่อนแขนของยุนโฮไม่ขาด
“แต่เขาคงไม่อยากให้คุณต้องเหงาไปตลอดชีวิตหรอกครับ”
“แต่ฉันไม่อยากให้นายตีกรอบตัวเองไว้ด้วยคำสัญญา”
“ไม่ใช่ว่าไม่ชอบหรอกนะที่นายกล้ารับปากว่าจะเป็นของฉันคนเดียว แต่ใครก็รู้ว่าอนาคตมันไม่แน่นอนเลยยูริ”
“ฉันก็แค่กลัวว่าวันนึงคำพูดพวกนี้จะมาผูกมัดตัวนายเอง”“โธ่ ทำไมเธอถึงเป็นแบบนี้นะ”
ยูริพรอดเสียงสั่นเครือ พร้อมๆ กับที่พยายามกลั้นสะอื้นไปด้วยและตอนที่กำลังยกมือขึ้นมาปิดหูหลังจากได้ยินเสียงวิคเตอร์พูดประโยคนั้นวนไปเวียนมาอยู่ในหัวนั่นเองที่ยุนโฮจะไม่ยอมให้เวลาเจ็ดวันที่เหลือก่อนต้องไปไกลต้องสูญเปล่า…
เขาออกแรงจับคุณยูริให้หันมามองหน้า แล้วรวบมือที่ดื้อดึงทั้งคู่นั้นไว้
“คุณแจจุง มองผม!”
“...........”
“ผมรักคุณ...ผมรักคุณ ผมรักคุณครับ ผมรักคุณ…”
“พอแล้ว…”
“ผมรักคุณครับ”
“ยุนโฮ!”
“คิมยูริ...แจจุง...ผมรักคุณ!”
“.........”
“ผมรัก!”
คำพูดของยุนโฮถูกจูบของยูริบดบังจนหายไปหมดในพริบตา หากจูบของยูริยังคงยืนยาวและต่อเนื่องและถูกตอบสนองอย่างอ่อนโยนโดยยุนโฮ พวกเขาจูบกันอย่างลึกซึ้งและยาวนานราวกับว่าเวลาหยุดเดินไปแล้ว
แขนของยูริเกาะบ่ากว้างๆ ของยุนโฮเอาไว้ ปลายเท้าเขย่งจนสุดแหงนเงยรับความสูงโปร่งของเขาเอาไว้ ในขณะที่ยุนโฮโน้มตัวรั้งเอวคอดบางของยูริเอาไว้อย่างหวงแหน
วินาทีนั้นเขารู้สึกอย่างชัดเจนในใจว่าเขารักยูริ รักมากเสียจนหัวใจของเขาเจ็บปวดได้อย่างไม่น่าเชื่อ และแม้แต่เขาเองก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าเพราะอะไรความรักที่เขาเคยได้รู้จักและเรียนรู้ด้วยตัวเองมาตลอดชีวิตถึงได้กลายเป็นคนละเรื่องเลยกับความรู้สึกที่มีให้กับคุณยูริอยู่ในตอนนี้
ยูริรู้สึกว่าการพบยุนโฮครั้งนี้เหมือนการต่อสู้กับดาบคมกริบเขาด้วยขนนกไม่มีผิด เพราะถึงจะตั้งใจและตั้งมั่นว่าจะต้องชนะกลับไปแค่ไหนแต่ก็ด้อยกว่าอยู่ดี เพราะคิดเอาไว้ว่าทั้งอายุและประสบการณ์ที่ผ่านมาจะทำให้ตนมีเหตุผลและทำให้คนหนุ่มอย่างยุนโฮยอมถอยไปแน่ๆ แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นตัวเองต่างหากที่พ่ายแพ้ให้เขาหมดรูป แล้วก็ยังเป็นคนเร่ิมจูบนี้เองก่อนด้วยซ้ำ และแม้ว่าจะรู้ดีว่าจูบนี้กำลังจะเลยเถิดไปเป็นอะไรที่มากกว่านั้นก็ยังไม่คิดห้าม...ยอมยุนโฮหมดทุกทาง
ราวกับความรู้สึกวูบวาบและรุนแรงแบบที่เคยมีเมื่อยังเป็นวัยแรกรุ่นได้หวนกลับมาอีกครั้ง !tbc
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in