คิมแจจุง อายุสี่สิบปีทายาทเพียงคนเดียวของร้อยเอกนิโคไลแห่งกองทัพโซเวียตกับหญิงชนชั้นสูงจากเกาหลีเหนือ คนหนุ่มสาวที่จับมือกันหนีความอยุติธรรมที่ชัดเจนขึ้นทุกขณะทางฝั่งเหนือแม้จะหยุดยิงแล้วก็ตามที คนทั้งสองที่ได้ถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศตั้งแต่นั้นมา
คิมแจจุง คนดังที่เคยตกเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ว่าเป็นบุคคลที่พิเศษผู้เกิดจากความรักท่ามกลางเขม่าควันสงครามที่ยังคงคละคลุ้งและยังถูกมองว่าเป็นคนน่าสงสารอย่างยิ่งที่ทั้งพ่อและแม่ถูกฆ่าต่อหน้าต่อตาโดยสายลับเกาหลีเหนือ ทั้งที่พวกเขาต่างวางใจแล้วว่าทั้งครอบครัวปลอดภัยจากการถูกลงโทษในข้อหาผู้ไม่จงรักภักดีต่อพวกพ้องแล้ว
ปัจจุบันคิมแจจุงยังคงมีชีวิตที่สงบและเรียบง่ายและไม่ต้องการที่จะผูกสัมพันธ์กับคนนอกมากนักเพราะครั้งสุดท้ายที่พ่อและแม่พาออกจากบ้านก็คือการที่เพื่อนสนิทของแม่มารับไปงานเลี้ยงเต้นรำแล้วคนพวกนั้นก็จัดการสังหารโดยทำเหมือนเป็นอุบัติเหตุให้ไฟลุกไหม้รถไปทั้งคัน แต่คิมแจจุงอยู่ในอ้อมกอดของแม่จนกระทั่งมีคนเข้ามาช่วยแล้วเด็กน้อยในวันนั้นก็รอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์โดยที่มีแผลไฟลวกขนาดใหญ่ที่บริเวณกระดูกสะบักซ้ายติดตัวมาจนถึงปัจจุบัน
ขณะนั้นแจจุงยังมีอายุเพียงเจ็ดขวบ แต่น่าแปลกที่ความทรงจำในครั้งนั้นไม่เคยเลือนลางไปเลยในความคิด ภาพทุกภาพ เสียงทุกเสียงที่ได้ยินยังคงชัดเจน เสียงเล่านิทานก่อนนอนของแม่ จูบที่กระหม่อมจากพ่อ ยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงความนึกคิดเสมอ
บ้านหลังโตที่ล้อมรอบด้วยรั้วอิฐแดงสูงท่วมหัวนี้ถูกตั้งฉายาว่าบ้านผีสิง
ส่วนเจ้าของบ้านที่แทบจะไม่เคยก้าวพ้นบานประตูใหญ่นั้นออกมาเลยก็ถูกเรียกว่าผีดิบ
แม้จะอยู่ในย่านเดียวกันแต่ก็ไม่มีใครเคยเห็นคิมแจจุงผู้โด่งดังออกมาใช้ชีวิตอย่างเช่นคนอื่น ว่ากันว่าเขาใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยการดื่มเลือดสดสลัลกับวอดก้าแท้ตำรับรัสเซียแกล้มกับเนื้อทุกชนิดแบบดิบเป็นประจำทุกวัน และมีเงินทองมากมายจากการขายเพชรพลอยและสมบัติที่ถูกฝังอยู่ในบ้าน และมันมีไม่รู้จักหมด มากเสียจนสามารถทำให้ใช้ชีวิตได้อยู่เป็นอมตะได้ด้วยซ้ำ
นั่นคือสิ่งที่ชองยุนโฮได้มาจากการค้นหาในอินเตอร์เน็ต และมันช่างต่างกับที่ใครก็ไม่รู้เขียนเอาไว้ตั้งยืดยาวถึงความน่ากลัวของทั้งบ้านรั้วอิฐแดงและเจ้าของ เพราะในตอนนี้ต่อให้มันเหมือนฝันแต่ก็เป็นความจริงแล้วเมื่อเขาได้เข้ามาข้างใน และเจ้าของบ้านที่ใครๆ ก็บอกว่ามีผิวขาวซีดและร่างกายผอมแห้งเหมือนศพนั้นก็นั่งอยู่ตรงหน้าเขา แต่เป็นในรูปแบบที่ต่างจากเรื่องโกหกนั้นเหลือเกิน
คุณคิมแจจุงนั่งอยู่ตรงหน้าของเขา สวมชุดคลุมยาวสีเลือดหมู ผิวขาวออกซีดแต่ก็ดูมีชีวิตชีวา ผมกำลังยาวระเกะระกะอยู่บ้างแต่ก็ยังน่ามอง แต่น่าเสียดายที่วันนี้แว่นสายตาอันนั้นทำให้เขามองเห็นนัยน์ตาเจือสีเทาคู่นั้นไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่
และคุณคิมแจจุงยังให้เกียรติรินน้ำชาให้ ก่อนจะเป็นฝ่ายเริ่มทักทายก่อนด้วยซ้ำ
“สวัสดี”
“ส...สวัสดีครับ”
เขาประหม่า เวลานั้นรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเด็กประถมแล้วก็ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าต้องวางมือวางไม้ไว้ตรงไหน หรือนั่งแบบไหนถึงจะดูดี…
“ขอโทษนะ แต่ปีนี้เธออายุเท่าไรแล้วชองยุนโฮ”
ชื่อชองยุนโฮที่ถูกเรียกในครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งไหนๆ เลย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่บุคคลที่มีความพิเศษและวิเศษอยู่ในตัวเองอย่างคุณคิมแจจุงเรียกเขา
“ยี่สิบสามครับ”
“อืม...ยี่สิบสามสินะ”
“ครับ”
“ฉันขอโทษแทนชางมินด้วย...บางทีเขาอาจจะเผลอเสียมารยาทกับเธอไปบ้าง”
“ชางมิน?”
“คนแรกที่เธอคุยด้วยนั่นไงล่ะ ส่วนอีกคนที่ฉันให้เขาไปเชิญเธอเข้ามาในบ้านคือจุนซู ทั้งสองคนเป็นพ่อบ้านของฉัน...เป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ”
“อย่างน้อยก็ไม่ได้อยู่คนเดียวที่นี่ใช่ไหมครับ”
คุณคิมแจจุงปิดปากหัวเราะอย่างมีมารยาท เขานึกเอ็นดูความซื่อที่คนตรงหน้าเผลอปล่อยมันออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
“ฉันไม่รู้ว่าเธอได้ยินอะไรมาจากข้างนอก แต่ฉันไม่ใช่คนประหลาด ไม่ใช่ผี ฉันก็คือคนติดบ้านคนนึงต่างหาก”
“ผมได้ยินว่าคุณแทบไม่ออกไปไหน ขนาดท่านประธานาธิบดีเชิญด้วยตัวเองก็ยังไม่ยอมไป ขนาดให้สัมภาษณ์กับนิตยสารก็ยังไม่ยอม...แล้วทำไมผมถึงได้เข้ามาในนี้ล่ะครับ…”
“มันไม่เกี่ยวกับการที่ฉันจะให้สัมภาษณ์กับเธอหรือเปล่าเลย”
“ครับ?”
“ฉันแค่อยากคุยกับเธอ เพราะเธอดูเหมือนคนที่ฉันเคยรู้จัก”
“ผมหน้าโหลล่ะมั้งครับ หรือไม่คุณก็อาจจะเคยรู้จักกับพวกญาติๆ ของผมก็ได้...แต่คงไม่ใช่หรอกครับ คิดยังไงก็ไม่มีทางเกี่ยวข้องกันได้เลย”
“แล้วเธอจะสัมภาษณ์ฉันในหัวข้ออะไรนะ”
“บุคคลในข่าวครับ ได้ยินว่าคุณเคยขึ้นหน้าหนึ่ง...จากนั้นทุกคนก็รู้เรื่องราวของคุณ…”
“ฉันถูกถ่ายรูปขึ้นหน้าหนึ่งในพิธีฝังศพพ่อแม่ฉัน ในฐานะลูกที่รอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์ของอดีตทหารโซเวียตและญาติห่างๆของคิมที่พากันหนีจากเศษซากสงครามไปอีกซีกโลกแล้วสุดท้ายก็มาจบชีวิตเพราะสายลับเกาหลีเหนือจนได้...”
“ก...ก็ประมาณนั้นล่ะครับ ไม่ทราบว่าคุณ…”
“นี่ใกล้จะวันครบรอบอีกแล้วหรือนี่”
“ครับ อีกสองเดือน”
“เป็นการสัมภาษณ์แบบไหนกัน”
“เป็นสารคดีทีวีครับ ในหัวข้อนี้เราจะสัมภาษณ์หลายคนครับ อยากจะถามหรือเล่าเหตุการณ์ในครั้งที่ตกเป็นข่าว ซึ่งทุกคนที่เราจะสัมภาษณ์ได้ตกเป็นข่าวจากเหตุขัดแย้งของเหนือกับใต้...คนที่ตกลงให้สัมภาษณ์แล้วมีคุณซงแทฮยอนที่ตามหาแม่กับพี่น้อง3คนที่อยู่คนละซีกโลกจนเจอจากรายการของสถานีเรา มีคุณยายจางซุนอค พยาบาลที่อยู่ในภาพที่ดังมากๆ ภาพที่เธอถูกยิงจนชุดกลายเป็นสีแดงแต่ก็ยังปฐมพยาบาลทหารจนตัวเกือบตาย แล้วก็มี....”
“เรื่องของพวกเขาฟังดูน่าสนใจกว่าฉันเยอะเลยนะ”
“แต่เรื่องของคุณก็น่าสนใจมากเหมือนกันนะครับ มันจะดีมากถ้าคุณจะให้เกียรติ---”
“หนุ่มน้อย...ฉันไม่ได้เกิดที่ฝั่งเหนือหรือใต้หรือในยุคสงคราม ไม่เคยเห็นสงครามจริงๆ ด้วย...แล้วเรื่องของฉันจะไปน่าสนใจอะไร”
“แต่คุณ…”
“ฉันให้เธอเข้ามาถึงในนี้ก็เพราะว่าเธอดูเหมือนคนที่ฉันเคยรู้จัก เหมือนกันมากจนฉันตกใจ...ไม่ได้ให้เข้ามาเพื่อฟังเธอโน้มน้าวฉัน”
“ขอโทษครับ”
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากพูดถึงเรื่องของตัวเองหรอกนะ แต่ฉันอยากพูดให้คนไม่กี่คนได้ฟังมากกว่า”
ชายหนุ่มไม่ค่อยเข้าใจนัก ความซื่อของเขาทำให้เขาเผลอเอียงหัวต่อหน้าบุคคลพิเศษตรงหน้าอย่างกับเป็นลูกหมาตัวเล็กๆ จนอีกฝ่ายยิ้มออกมาอีกครั้ง
“ฉันหมายถึง ฉันคงจะไม่สามารถปรากฏตัวในสารคดีที่น่าสนใจมากของเธอได้ แต่ฉันไม่ปฏิเสธถ้าหากเธออยากจะเก็บข้อมูลของฉันเป็นรูปแบบบันทึกหรือการจดจำ ในกรณีที่เธออาจจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้บ้างในวันข้างหน้า...ฉันยินดี”
“ครับ?”
“ให้คนเขาคิดกันต่อไปว่าฉันเป็นผีสิงอยู่ในบ้านนี้ต่อไปคงจะดีกว่า”
“ทำไมล่ะครับ คุณดูไม่เหมือนที่พวกนั้นว่าซะหน่อย คุณออกจะยังดูดี...ไม่เหมือนคนอายุสามสิบปลายๆ ด้วยซ้ำ”
“ข้อมูลผิดแล้ว ปีนี้ฉันเข้าเลขสี่แล้วนะ...และที่เธอดูไม่ออกคงเป็นเพราะฉันกินเนื้อสัตว์ดิบๆ กับเลือดสดและวอดก้าทุกวัน วันละสามมื้อยังไงล่ะ”
อยู่ๆ ยุนโฮก็ขนลุกซู่ เขากำมือแน่นเมื่อมองไม่เห็นสีหน้าและแววตาของการพูดเล่นออกมาจากคุณคิมแจจุงสักนิด
“เอาสักแก้วไหม วันนี้พ่อบ้านของฉันเพิ่งจะจับกระต่ายแม่ลูกอ่อนได้ตรงเชิงเขาหลังบ้านนี่เอง ยังอุ่นๆ อยู่เลยนะ”
คนฟังเหงื่อตก เขาก็คิดอยู่หรอกว่าคุณคิมแจจุงพูดเล่น แต่ทำไมคุณคิมแจจุงทำเหมือนกับกำลังพูดจริงๆ นักเล่า
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น”
“คือผม...คือ…”
“ถ้าเธอไม่ค่อยชอบกระต่าย ฉันยังมี….”
“ผมเป็นมังสวิรัติครับ!!”
“จริงหรือเปล่า”
“ครับ ไม่ทานเนื้อสัตว์ เลือดสดๆ ยิ่งไม่ชอบเลยครับ”
“นั่นสินะ ใครเขาจะไปกินของพรรค์นั้นได้ ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนเขาเอาที่ไหนไปพูดว่าฉันเป็นอย่างนั้น”
“นี่สรุปว่าคุณหลอกผมเล่นหรอกหรือครับคุณคิมแจจุง”
เจ้าของบ้านยิ้มกว้างที่สุดในรอบวัน แล้วจึงจิบน้ำชาในถ้วยของตนต่อโดยไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนกับอีกฝ่ายเลย
“ไม่ต้องเรียกชื่อฉันเต็มยศขนาดนั้นก็ได้”
“ไม่ดีหรอกครับ คุณเป็นผู้ใหญ่มากกว่าผม…”
“ก็ไม่ได้ให้เรียกแบบเพื่อนกันซะหน่อย เรียกว่าคุณแจจุงเฉยๆ ก็พอแล้ว”
“ครับ”
“เตรียมตัวมาหรือเปล่า ฉันกำลังว่าง...แล้วก็อารมณ์ดีพอที่จะให้เธอสัมภาษณ์ด้วย”
“วันนี้เลยหรือครับ”
“ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี เธอจะได้รู้ตัวเร็วๆ ว่าเรื่องของฉันน่าเบื่อมาก”
หลังจากนั้นยุนโฮก็ลุกลี้ลุกลน หยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองออกมาเปิดและคุ้ยหาของจำเป็นสำหรับบันทึกเสียงที่พกติดตัวเอาไว้เป็นประจำออกมาเตรียมใช้งานก่อนที่คุณคิมแจจุงจะเปลี่ยนใจ
“ผมยังไม่ได้เตรียมคำถามมา เพราะฉะนั้นอาจจะถามไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะครับ”
“ไม่เป็นไร”
แจจุงขยับตัวนั่งไขว่ห้างและทำตัวให้สบายขึ้นโดยการเอนหลังพิงกับที่นั่ง ตาคู่นั้นมองเห็นความตั้งใจที่ฉายชัดของคนหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ นี้อย่างชัดเจน
“เริ่มเลยนะครับ”
“อืม”
“คุณเป็นลูกครึ่งรัสเซียกับเกาหลีเหนือใช่ไหมครับ พอจะเล่าประวัติของตัวเองให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ”
“คุณพ่อของฉันคือร้อยเอกนิโคไล เบเรรุสกี คุณแม่คือคิมยองอค...ถ้าจำไม่ผิดคุณแม่ของฉันเป็นญาติห่างๆ ของพวกคิม... พวกท่านหนีสงครามมาด้วยวิธีไหนฉันเองก็ไม่รู้ เพราะท่านไม่เคยเล่าให้ฟังสักครั้ง รู้เพียงแต่ว่าฉันไม่ใช่ลูกครึ่งรัสเซียเกาหลีเหนือที่เกิดและโตนอกประเทศคนแรก แล้วก็ไม่ใช่ลูกคนแรกของพ่อแม่ด้วย ก่อนหน้านี้ยังมีพี่สาวของฉันด้วยแต่เพราะการที่พ่อแม่ต้องหนีไปเกือบจะทั่วโลกสุดท้ายพี่สาวที่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงของฉันก็อายุสั้น...ทิ้งห่างอีกหลายปีก็มีลูกหลงอย่างฉันเกิดขึ้นมา...คิม ยูริ แจจุง”
“ยูริหรือครับ”
“ในทะเบียนราษฎร์ก็ไม่มียูริหรอก แต่พ่อเรียกฉันว่ายูริเสมอ แม่ก็เรียกตามไปด้วย ก่อนที่พวกท่านจะเสีย ฉันชินกับชื่อยูริพอๆ กับแจจุงนั่นแหละ”
“ผมชอบนะครับ…” เขาพูดออกมาอย่างลืมตัว แล้วก็พึมพำกับตัวเอง “ยูริ”
เป็นภาพที่ทำให้แจจุงนึกย้อนไปถึงใครอีกคนที่เคยนั่งอยู่ตรงข้ามกันแล้วก็บอกว่าชอบชื่อภาษารัสเซียแบบนี้เหมือนกัน
“เขาก็บอกว่าชอบ”
“...........”
“เขาบอกว่าชอบ ก็เลยเรียกฉันว่ายูริบ่อยๆ เหมือนพ่อกับแม่ของฉันเลย”
“ใครครับ”
“คนที่ฉันเคยรู้จัก...คนที่ดูเหมือนเธอ…”
“ก็เพราะเป็นชื่อที่ฟังเพราะจริงๆ นั่นแหละครับ”
ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือน…
“ว่าแต่เขาดูเหมือนผมขนาดนั้นเลยหรือครับ”
“เหมือนมาก เหมือนซะจนฉันเกือบจะเป็นลมเลยตอนที่เห็น แต่เรื่องนิสัยใจคอฉันไม่รู้หรอกนะ...เขาดูชอบชื่อภาษารัสเซีย ฉันก็เลยตั้งชื่อให้เขาบ้างว่าวิคเตอร์ วิคเตอร์เรียนกฎหมาย เขาเก่ง เป็นอัจฉริยะ...วิคเตอร์---ตายจริง ขอโทษที ฉันคงออกนอกเรื่องเกินไปแล้วใช่ไหม”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
ยุนโฮพบว่าการได้นั่งมองคนตรงหน้าพูดอะไรไปเรื่อยๆ อย่างที่เจ้าตัวไม่มีความห่วงกังวลใดๆ อยู่บนสีหน้าแบบนี้เป็นอะไรที่เพลินยิ่งกว่าการนอนฟังเพลงโปรดในวันหยุดซะอีก เขาหลงมองกิริยาอาการและทุกอย่างเท่าที่คุณแจจุงจะเปิดเผยให้เห็นในตอนนี้
ในบ้านที่ใครๆ ก็บอกว่าเป็นบ้านผีสิงก็ไม่เหมือนจินตนาการ เจ้าของบ้านก็ยิ่งแล้วใหญ่… เขารู้สึกว่าคล้ายกับว่าวันนี้คือวันที่ดีที่สุดในช่วงปลายปีไม่มีผิด
พวกเขาต่างเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ยุนโฮจะคว้าเอาเครื่องอัดเสียงมากดปิดและโยนมันเข้ากระเป๋าที่เต็มไปด้วยใบเสร็จค่าอาหารกลางวันของรุ่นพี่ในทีมเหมือนเดิม นั่นทำให้แจจุงแปลกใจมากจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
“ไม่สัมภาษณ์กันแล้วหรือ...”
“ครับ”
“เรื่องของฉันน่าเบื่อแค่ไหน เข้าใจแล้วใช่ไหม”
แต่เขากลับส่ายหน้าปฏิเสธ
ก่อนที่จะบอกเหตุผลที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจนักว่าอะไรที่ทำให้คิดแบบนั้น ทั้งที่เพิ่งจะใช้เวลาทำความรู้จักกับเจ้าของบ้านรั้วอิฐแดงคนนี้ได้ไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ
“ผมคิดว่ามันน่าสนใจจนอยากจะฟังคนเดียวมากกว่าครับ”
“หืม?”
“ถ้าคุณไม่รังเกียจ เล่าให้ฟังอีกได้ไหมครับ...คุณยูริ”
คนฟังยิ้มออกมาอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่ดูสูงค่าซะจนเข้าข้างตัวเองไปแล้วว่าคงไม่ค่อยมีใครได้เห็นคุณเขายิ้มแบบนี้แน่ๆ และยุนโฮเรียกตัวเองว่าคนโชคดีไปแล้วเรียบร้อย
“ฉันทำให้เธอเสียการเสียงานใช่ไหมนี่”
“ไม่เลยครับ”
“แล้วจะเสียหรือเปล่าถ้าหากต้องใช้เวลาเล่านานสักหน่อย เธออาจต้องมาที่นี่อีกหลายๆ ครั้งจนกว่าฉันจะไม่มีอะไรจะเล่า”
“ไม่หรอกครับ” เขายืนยันคำเดิม
“ที่เรียกคุณยูริน่ะ”
“ผมละลาบละล้วงเกินไปใช่ไหมครับ ขอโทษนะครับ”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ก็แค่ไม่มีใครเรียกฉันว่ายูริมาตั้งนานแล้วน่ะสิ”
“ถ้าคุณไม่พอใจ...”
“อย่ากังวลไปเลย ฉันชอบต่างหาก”
- YURI -
อาหารมื้อเย็นวันนี้เป็นเนื้อปลากะพงกับผักหลายชนิด ทุกอย่างล้วนปรุงสุกตามคำสั่งของเจ้านายคนเดียวในบ้านที่ไม่เคยกินของดิบอย่างข่าวลือ
คิมแจจุงมักจะกินข้าวคนเดียวเงียบๆ ไม่มีการดูทีวีหรือฟังเพลงไปด้วย การคุยบนโต๊ะอาหารเกิดขึ้นอยู่บ้างกับพ่อบ้านทั้งสองคนที่มักจะยืนอยู่ด้านข้างและคอยอำนวยความสะดวกให้เจ้านายเสมอ บ่อยครั้งที่พ่อบ้านจะทำหน้าที่ที่ปรึกษา และมีไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่พวกเขาจะไม่เห็นด้วยในความคิดของเจ้านาย
“ผมไม่เห็นด้วยนะครับคุณท่าน”
“ฉันทำอะไรไม่ดีหรือไงจุนซู”
“ไม่ใช่ว่าไม่ดีหรอกครับ แต่ผมว่ามันแปลกๆ”
“แปลกหรือ”
“ก็คุณท่านไม่เคยให้ใครเข้ามาในบ้านง่ายๆ แบบนี้เลยนะครับ โดยเฉพาะคนแปลกหน้าอย่างเขา”
“ผมเห็นด้วยกับจุนซูนะครับคุณท่าน เรายังไม่ได้รู้จักนายคนนั้นดีเลยด้วยซ้ำ เขาอาจจะดูไว้ใจได้ แต่อาจจะมีเบื้องหลังบางอย่างก็ได้นะครับ”
การวิเคราะห์เอาเองของพ่อบ้านทำให้แจจุงต้องหยุดมือ แล้วเอ่ยถามเขาชัดๆ
“นี่พวกเธอ...ไม่เชื่อใจฉันหรือว่าฉันไว้ใจคนไม่ผิด”
“ไม่ใช่ว่าเราไม่เชื่อใจครับ แต่--”
“และฉันว่าฉันก็ดูคนไม่ผิดหรอกนะ”
“คุณท่านมั่นใจหรือครับ”
“อีกอย่าง เวลาของฉันก็เหลือน้อยลงทุกที คงจะดีถ้าในอนาคตจะมีคนหลงมาอ่านหรือฟังเรื่องน่าเบื่อของฉันแล้วก็นึกคิดถึงฉันขึ้นมาบ้าง”
“นั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมไม่เห็นด้วยที่คุณท่านไว้ใจเขานะครับ ช่วงนี้คุณท่านไม่น่าจะต้องคิดอะไรมากด้วยซ้ำ”
“ใจเย็นๆ สิ เด็กๆ แค่คุยกับเขาคงไม่ทำให้ฉันล้มได้หรอก”
“แต่--”
“ฉันจะรีบกินให้เสร็จแล้วไปอ่านหนังสือต่อ เลิกทำให้เสียเวลาได้แล้ว”
ก่อนแม่บุญธรรมจะเสีย เธอพบจุนซูที่ละแวกบ้าน เขายังเด็ก ตัวผอมโซและหน้าตามอมแมม และเขาเป็นเหตุผลให้แม่บุญธรรมรับเขามาอุปถัมภ์ แล้วแจจุงก็เป็นเหมือนพี่ เหมือนครูที่คอยสอนอะไรหลายๆ อย่างกับเขา
ชางมินถูกพบหลังจากแม่บุญธรรมเสียไม่ถึงปี เขามีสภาพใกล้ตายเพราะแผลฉกรรจ์จากคมมีดที่กลางหลัง ถามไปถามมาถึงได้รู้ว่าเขาอุตส่าห์มีชีวิตรอดมาจากพยองยางแต่เกือบต้องมาตายเพราะเป็นนักเลง
ทั้งสองคนอยู่กับเจ้านายอย่างแจจุงได้หลายปีแล้ว เพราะเคยเป็นเด็กข้างถนนที่แทบจะต้องคุ้ยขยะกินมาก่อน...พอมีคนใจดียื่นมือเข้ามาช่วยแล้วก็นับเป็นบุญคุณมาตลอด จนถึงตอนนี้ก็ไม่ได้นับถือคุณคิมแจจุงเป็นเพียงเจ้านายเท่านั้นแต่ยังเรียกได้ว่าเป็นเจ้าชีวิตด้วยซ้ำ…
“ขอโทษที่ก้าวก่ายครับคุณท่าน”
“ฉันไม่ได้โกรธหรอกนะอย่าเข้าใจผิด...แต่วันนี้ฉันอยากกินข้าวคนเดียว”
พูดเท่านั้นก็รู้แล้วว่าควรที่จะอยู่หรือไป พอได้ยินอย่างนั้นแล้วพ่อบ้านทั้งสองคนก็พากันถอยออกไปจากห้องอาหาร ให้เจ้านายได้ใช้เวลาอาหารอยู่เงียบๆ คนเดียวอย่างที่เจ้าตัวต้องการ…
- YURI -
แจจุงมีอายุสิบสามปีตอนที่ได้พบกับวิคเตอร์เป็นครั้งแรก พวกเขาพบกันที่โบสถ์ในวันอาทิตย์…
วิคเตอร์มีชื่อจริงว่า ชองแทโฮ เขาเพิ่งย้ายตามพี่สาวเข้ามาอยู่ในเมือง
คำแรกที่พวกเขาพูดกันคือคำทักทายแบบปกติทั่วๆ ไป แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ โบสถ์ไม่ใช่สถานที่เดียวที่พวกเขาได้พบกัน แต่ยังมีห้องสมุดประชาชน สวนสาธารณะ หรือแม้แต่บ้านที่วิคเตอร์อาศัยอยู่กับพี่สาวแค่สองคน
พี่สาวของวิคเตอร์เป็นแม่บ้าน แม่ศรีเรือนตัวจริง นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงรักและเคารพเธอเหมือนแม่แท้ๆ พี่สาวของวิคเตอร์รักแจจุง เธอเป็นอีกหนึ่งคนที่รู้เรื่องของเด็กเลือดผสมผู้รอดชีวิตจากทางหน้าหนังสือพิมพ์และเธอเอ็นดูตลอดจนเมตตาเด็กหนุ่มตัวเล็กที่มีนัยน์ตาสีประหลาดบ่งบอกถึงความผสมผสานทางเชื้อชาติของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี
แทโฮหรือวิคเตอร์เองก็เป็นหนุ่มหล่อที่สุดในเมืองทันทีที่เขามาถึง เขามีรูปร่างสูงและโดดเด่น ใครๆ ก็บอกว่าถ้าเขาได้ใส่เครื่องแบบนายทหารสัญญาบัตรคงดูโก้ไม่แพ้ใคร แต่วิคเตอร์ไม่เคยจินตนาการตัวเองถึงภาพนั้นเพราะที่ผ่านมาทั้งปู่ ตา และพ่อของเขาล้วนตายในสนามรบกันทั้งสิ้น เขาจึงไม่อยากก้าวย่างเข้าไปในวงการนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่อย่างไรวิคเตอร์ที่มักจะสวมเสื้อเชิ๊ตและกางเกงสีดำแบบธรรมดาๆ นั้นก็ยังดูรูปหล่อที่สุดอยู่ดี เพราะเขายังคงมีใบหน้าได้รูป ตาเรียวๆ ที่มีสเน่ห์ จมูกโด่งธรรมชาติ แล้วเขาก็ยังมีรูปร่างสูงใหญ่ มีบ่ากว้างๆ ที่ใครก็อยากจะซบลงไปสักครั้งเหมือนที่ยูริได้ทำ
การที่เขาดูดีและเป็นที่สนใจของหลายๆ คนทำให้คนยิ่งไม่ชอบแจจุงที่เป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของเขา พวกเขาสนิทกันมากพอที่จะมีความลับที่รู้กันอยู่สองคนเท่านั้น บางครั้งแจจุงก็เป็นคนเดียวที่ได้ซ้อนท้ายจักรยานบุโรทั่งของเขา แล้ววิคเตอร์ก็เป็นคนเดียวเท่านั้นที่ขอให้แจจุงตั้งชื่อเป็นภาษารัสเซียให้ และเขายังเป็นคนเดียวเท่านั้นที่ได้เรียกแจจุงว่ายูริแบบที่ไม่มีใครเรียก...พอได้มานั่งนึกย้อนไปในตอนที่กำลังมีอายุใกล้วัยเลขสี่แบบนี้แจจุงถึงได้นึกออกว่า บางที...เสียงนินทาที่บอกว่าคิมแจจุงคนนี้เป็นพวกผีดิบดื่มเลือดสดทุกวันก็อาจจะเริ่มมาจากตอนนั้นก็ได้
วิคเตอร์ชอบธรรมชาติ เขารักต้นไม้ ดอกไม้ มีความเมตตาและรักสัตว์นานาชนิดและเขาเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้แจจุงเริ่มชอบอย่างอื่นนอกจากหนังสือเล่มหนา
“ยูริ!!”
เช้าวันพุธวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ… ปีนั้นทั้งยูริและวิคเตอร์มีอายุครบสิบเจ็ดปี ความเป็นเพื่อนของพวกเขาดำเนินมาแล้วสี่ปี แจจุงรู้ตัวดีว่ามันมากขึ้นและมากขึ้น จนกระทั่งรู้สึกเกลียดทุกอย่างบนโลกใบนี้ตอนที่มีเพื่อนผู้หญิงฝากจดหมายรักมาให้วิคเตอร์แล้วก็ยังอยากจะหายตัวไปให้ได้เลยเมื่อวิคเตอร์ตอบจดหมายของเธอ เขาถึงได้รู้ว่าความรู้สึกนั้นมันชัดเจนมากแค่ไหนแล้ว
หลังจากนั้นยูริหาข้ออ้างขังตัวเองเอาไว้ในห้องสมุด พอเลิกเรียนก็รีบกลับบ้านโดยอ้างว่าคุณแม่ที่เป็นแม่บุญธรรมบอกให้กลับไปช่วยงาน วันอาทิตย์ก็ไม่ไปที่โบสถ์ เขาไปถามจากคุณแม่ของยูริถึงได้รู้ว่าวันนี้ยูริบ่นอุบว่าไม่ค่อยสบาย อยากจะใช้เวลาทั้งหมดในวันหยุดไปกับการนอนซะมากกว่า
แต่จริงๆ แล้วยูรินอนไม่หลับ...เพราะคิดถึงวิคเตอร์ทั้งวันทั้งคืน เมื่อวันก่อนวิคเตอร์ไปกินไอศกรีมกับเธอหลังเลิกเรียน ไม่รอกลับบ้านพร้อมกัน ไม่บอกก่อนด้วยซ้ำว่าเขาไปนั่งสบตากับเธอตอนที่กินไอศกรีมซันเดถ้วยเดียวกัน!
“ยูริ!! อยู่ในห้องหรือเปล่า!!”
“ยูริ!!!!”
“รู้แล้วๆ! นายจะเสียงดังอะไรนักหนา ฉันต้องตื่นเพราะนายแท้ๆ เลย!”
“คุณน้าบอกว่านายไม่สบายเหรอ”
“อืม ฉันปวดหัว-- ทำอะไรน่ะ!”
เขาทำท่าแปลกใจ แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากหน้าผากของอีกฝ่าย
“ไม่เห็นมีไข้นี่”
“ยุ่งน่า”
“หลบหน้าฉันอยู่สินะ” เขาหรี่ตา ตั้งใจจะจับผิดเพื่อนสนิทอย่างจัง
“พูดอะไร ฉันจะหลบหน้านายไปทำไม”
“พักหลังมานายเอาแต่ขลุกอยู่แต่ในห้องสมุดกับที่บ้าน เราไม่ได้กลับบ้านด้วยกันมาตั้งหลายวันแล้วนะ”
“ก็นายไม่เคยว่าง”
“หา?”
“นายอยู่กับยูรา”
“มันก็ไม่ได้หมายความว่านายจะอยู่กับฉันสองคนไม่ได้นี่”
ยูริส่ายหน้าแย้งคำพูดของอีกฝ่าย
“นายจะหนีบเพื่อนอย่างฉันเวลาไปเดทกับแฟนไม่ได้หรอกนะ”
“ฉันกับยูราไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าเพื่อนซะหน่อย”
“แต่วันก่อนยังไปกินซันเดด้วยกันอยู่เลย คนที่วิทยาลัยก็พูดกันทั่วว่าพวกนายเหมาะกัน”
“ก็เรื่องของพวกเขาสิ”
“นายจะเล่นกับความรู้สึกของผู้หญิงแบบนี้ไม่ได้! ยูราชอบนายตั้งแต่ที่เห็นนายแข่งว่ายน้ำครั้งแรกแล้ว”
“ก็เพราะรู้ว่าฉันไม่ควรทำให้เธอเสียเวลา รู้ว่ายังไงก็ไปกันไม่ได้ก็เลยไปบอกให้เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมนี่ไง! นายไม่รู้ใช่ไหมล่ะ แหงสิ ก็เพราะที่ผ่านมานายเอาแต่หลบหน้าฉันจริงๆ ไง ฉันจะคุยด้วยก็ไม่อยู่ วันอาทิตย์ที่น่าจะเจอกันแน่ๆ ก็เอาแต่แกล้งไม่สบายแล้วก็หลบอยู่ในบ้านแบบนี้ไง!”
“..........”
“อยู่ตรงหน้าแบบนี้ก็ยังหลบตาอีก มองหน้าฉันสิยูริ”
วิคเตอร์จับเข้าที่ต้นแขนทั้งสองข้างของยูริ เขาพยายามไล่ตามสายตาที่หลบหนีกันอย่างว่องไวของเพื่อนสนิทเอาไว้ด้วย แต่แล้วยูริก็ดื้อดึงกว่าครั้งไหน แม้ว่าจะไม่พยายามวิ่งหนีไปไหนก็ยังไม่ยอมมองหน้ากันอยู่ดี
“ฉันปฏิเสธยูราไปแล้ว ได้ยินไหม”
“มาบอกฉันทำไม”
“เพราะฉันรู้ไงว่านายไม่ชอบยูรา ฉันดูออกนะยูริ”
“ไม่ใช่ซะหน่อย แล้วมันก็ไม่เห็นเกี่ยวกับฉันเลย”
“เกี่ยวสิ!!” เขาตะคอก “ถ้านายไม่ชอบอะไร ฉันก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งทั้งนั้น”
“เอาเรื่องนี้มาใช้กับเรื่องผู้หญิงไม่ได้หรอกนะวิคเตอร์”
“แต่ฉันจะใช้! ฉันมีนายเป็นเพื่อนสนิท ถ้าฉันไม่แคร์นายที่สุดแล้วจะให้ไปแคร์ใคร!”
“ถ้าชอบยูรา ก็คบกับยูราเถอะ”
“ฉันไม่ได้ชอบยูรา ถึงชอบก็ไม่ได้มากไปกว่าที่ชอบนายหรอกยูริ!!!”
“.........”
เขาหล่อ รูปร่างและบุคลิกดี แต่พอถึงเวลานั้นเขาก็กลายเป็นคนซื่อบื้อคนหนึ่ง
“ฉันพูดจริงๆ ยูริ! แล้วนายก็ฟังให้ดี! อย่าพยายามหลบหน้าฉันอีก! ต่อให้นายจะปฏิเสธฉันก็ช่าง แต่ห้ามทำตัวห่างเหินกับฉัน เข้าใจไหม!?”
“แทโฮ…”
“ตอบมาเลย จะเอายังไง”
หัวใจของยูริเต้นแรกขนาดนั้นเป็นครั้งแรก มันอาจจะเคยมีบ้างที่หัวใจเต้นแรงแบบนี้ ไม่ว่าจะเพราะโกรธหรือตื่นเต้น หรือดีใจ..แต่มันไม่เคยมีอาการแบบนี้เพราะ ‘ความรัก’ เลย
“อย่าเอาเรื่องนี้มาล้อกันเล่น”
“ฉันเปล่า”
“ฉันไม่รู้ว่าฉันรู้สึกยังไง...ฉันรู้สึกเสียใจกับยูรา แต่ฉันก็ไม่อยากให้นายมีใคร ฉันหวงนาย...มันไม่เป็นไรหรอกนะถ้าเราจะเป็นแค่เพื่อนกันตลอดไป แต่ฉันแค่ไม่อยากให้นายรู้สึกดีกับใครมากกว่าฉัน นี่สรุปฉันรู้สึกยังไงนะ”
ในตอนนั้นดวงตาทั้งคู่ของวิคเตอร์มีประกาย ในที่สุดช่องว่างที่ถูกปล่อยร้างเอาไว้นานจนเขาแทบทนรอไม่ไหวแล้วก็ถูกยูริเติมคำตอบลงไป ยูริที่ดูเหมือนจะตัวเล็กไปกว่าเดิมตอนที่อ้อมแอ้มตอบออกมาอย่างลังเลใจนั้นอยู่ตรงหน้าเขา ดวงตาสีสวยกว่าใครในละแวกนี้มองเขาพร้อมกับมีน้ำตามาคลอ เขาไม่เคยเห็นยูริร้องไห้เพราะยูริบอกว่าไม่ชอบร้องไห้ ยูริตัวเล็ก ผอมบางที่สุดในโรงเรียน แล้วก็ดูเข้ากับคนอื่นในหมู่บ้านไม่ค่อยได้ แต่ยูริคือเพื่อนรัก คือคนที่เขาคอยปกป้องดูแลแล้วก็ยินดีที่จะอยู่ข้างๆ
“ฉันชอบนายที่เป็นแบบนี้...ยูริ หัวใจที่บริสุทธิ์แบบนี้ของนาย...ฉันจะดูแลอย่างดี”
เขากอดยูริ และอยากจะกอดแน่นๆ ให้ยูริไม่ต้องห่างออกจากตัวเขาเลย
ยูริกอดตอบ และยินดีให้เขากอดแน่นๆ เพราะไม่อยากจะห่างจากตัวเขาเลย
วัยสิบเจ็ดของยูริและวิคเตอร์เป็นอย่างนั้น
มันทั้งเป็นเหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานและสดใส เหมือนแสงอาทิตย์อบอุ่นในวันที่ลมหนาวพัดกระทบผิว เหมือนขนมหวานที่แม้จะลิ้มรสเพียงนิดเดียวก็ติดใจและอยากจะกินคำต่อๆ ไปไม่รู้จบ
ยูริในปัจจุบันมองรูปถ่ายเก่าๆ บานนั้นด้วยความรู้สึกคิดถึง ปลายนิ้วนั้นสัมผัสลงบริเวณใบหน้าของวิคเตอร์ที่ยืนร่วมกรอบเดียวกันกับตนพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ แต่ว่าแม้จะยิ้มอยู่อย่างนั้นหัวใจกับเจ็บร้าวไปด้วยความเศร้า และก่อนที่น้ำตาจะหยดลงมาอีกครั้ง ยูริเก็บรูปภาพเก่านั้นใส่กล่องไม้และล็อคกุญแจเอาไว้เหมือนเดิม…
ปิดลงไปแล้ว
หัวใจของยูริกำลังตะโกนก้องหารักแรกที่จบลงอย่างไม่ทันตั้งตัว หัวใจที่ไม่ได้เสริมเหล็กกล้าแต่กลับต้องเผชิญเรื่องเศร้านักต่อนักมาทั้งชีวิตของยูริกำลังร้องไห้เช่นเดียวกับเจ้าของ
ไม่ได้เสียใจที่ไม่มีเงาของเขาอยู่ข้างกายเพียงอย่างเดียว แต่เสียใจกับทุกเหตุการณ์ที่เคยผ่านมาในชีวิต
วัยสิบเจ็ดที่เคยหอมหวานอย่างนั้น… ช่างต่างกับวัยสี่สิบที่โดดเดี่ยวในวันนี้เหลือเกิน
- YURI -
ยุนโฮพร้อมที่จะลงนอน เขาทิ้งตัวลงบนเตียงเดี่ยวที่ใช้นอนมาตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมปลาย นี่คือห้องนอนที่เป็นอาณาจักรเดียวของเขา เพราะห้องนั่งเล่นเป็นของพ่อ และในครัวก็เป็นของแม่ วันนี้เขาไม่ได้กินข้าวเย็นด้วยเหตุผลที่ว่าไม่หิว...หรือไม่จริงๆ เขาก็แค่เอาแต่คิดถึงเจ้าของบ้านผีสิงหลังนั้นจนไม่ได้สนใจเรื่องอื่นๆ อีก
เครื่องอัดเสียงที่ถูกเขาใช้ไปนิดหน่อยในวันนี้ถูกหยิบออกมาเปิดฟังอีกครั้ง มันไม่ได้มีอะไรให้ฟังนานเท่าไหร่ แต่แค่ได้ฟังเสียงของคุณคิมแจจุงที่พูดเรื่องตัวเองนั้นภาพขณะที่คุณเขากำลังเล่าและยิ้มไปบางๆ ไปพลางนั้นก็ทำให้ยุนโฮต้องยิ้มตามไปด้วยเหมือนคนบ้า
“ฉันไม่ใช่ลูกครึ่งรัสเซียเกาหลีที่เกิดและโตนอกประเทศคนแรก แล้วก็ไม่ใช่ลูกคนแรกของพ่อแม่ด้วย ก่อนหน้านี้ยังมีพี่สาวของฉันด้วยแต่เพราะการที่พ่อแม่ต้องหนีไปเกือบจะทั่วโลกสุดท้ายพี่สาวที่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงของฉันก็อายุสั้น...ทิ้งห่างอีกหลายปีก็มีลูกหลงอย่างฉันเกิดขึ้นมา...คิม ยูริ แจจุง”
“ฉันชินกับชื่อยูริพอๆ กับแจจุงนั่นแหละ”“คิม ยูริ แจจุง”
“คุณยูริ…”
ยุนโฮอารมณ์ดีจนเขาคิดว่าคืนนี้คงฝันหวานแน่ และในขณะที่ความง่วงเริ่มจู่โจมเขานอนพลิกไปพลิกมาอีกไม่กี่ครั้งก็หยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่ไม่ได้สนใจมาตลอดทั้งวันขึ้นมาดูอีกครั้ง เขาพบว่ามีข้อความจากรุ่นพี่ในทีมสารคดีเยอะแยะไปหมด ทุกคนถามว่าเขาเป็นยังไงหลังจากไปที่บ้านผีสิง การที่เขาเงียบไปทำให้เขาถูกคิดว่าตายไปแล้วด้วยซ้ำและก่อนที่จะปล่อยให้เข้าใจผิดจนเป็นเรื่องบานปลายใหญ่โต เขาเลือกที่จะตอบเรื่องสำคัญที่ทุกคนอยากรู้ที่สุดก่อน
‘สรุปว่าคุณคิมแจจุงจะให้สัมภาษณ์กับเราหรือเปล่า’เขา
ไขว้นิ้ว แล้วพิมพ์ตอบอย่างไม่ลังเล...
‘เสียใจครับ เขาปฏิเสธ’tbc
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in