ถ้ายึดตามสมมติแห่งเวลา ตอนนี้เขาอาจจะแก่ขึ้นอีกหน่อย ขยับเข้าใกล้เธออีกนิด เส้นใยล่องหนระหว่างเขาและเธออาจเชื่อมประสานขึ้นอีกคืบ เธออยู่ในอดีต ห่างจากเขาถึง 12 ชั่วโมง หากหนึ่งปีมี 8,760 ชั่วโมง อายุของเขาที่ห่างจากเธอ 2 ปีจะเป็น 17,520 ชั่วโมง เขาเคยอยู่ห่างจากเธอประมาณนั้น แต่ตอนนี้มันอาจลดลงมาอีกสักหน่อย อาจเหลือแค่ 17,508 ชั่วโมง และจะเป็นเช่นนั้นเสมอหากเขาและเธอไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
เธอยังคงติดอยู่ในหลุมลึกไร้ก้น ช่วยตัวเองเชื่องช้า เหม่อลอย พร่ำพูดไม่ได้ศัพท์ คล้ายคนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ทว่าทุกอย่างสำหรับเขาจบลงแล้ว พรุ่งนี้เขาจะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนที่แล้วๆ มา—เช้าเข้างาน เย็นกลับบ้าน อาจจะไปดูหนังบล็อคบัสเตอร์นานๆ ครั้ง หรือไปชุมนุมทางการเมืองแบบพาร์ตไทม์สักหนสองหนเพื่อจะได้ยืนยันว่าเขายังไม่โดนเตะหายไปจากสังคมที่กำลังอาศัยอยู่
เขาผิดหวัง ทำความเข้าใจไม่ได้กับบทสนทนาไม่ปะติดปะต่อและสั้นแสนสั้นของคนเพี้ยนสองคน ซากศพจากอดีตไกลโพ้นสองร่าง ที่ลงเอยด้วยความวิปริตของอีกคน และอาการเงียบงันอันทารุณของอีกคน ทุกอย่างพังภินท์ ต่อแต่นี้ไม่มีอะไรให้สานต่อ ไม่มีวัตถุดิบในอดีตใดที่เขาสามารถหยิบจับขึ้นมา สร้างเป็นนิยายรักพาฝันได้อีกต่อไป และใช่ เป็นเขาเองนั่นล่ะที่ลงมือจุดไฟเผาอดีตอันหวานหอมเสียมอดไหม้จนเหลือแต่กองเถ้าถ่านกับมือ
เขาจะปิดหน้าต่างวิดีโอคอลไปตั้งแต่ตอนนี้ก็ได้ บล็อคเธอไปตลอดกาล ไหนๆ ก็ไม่รู้จักกันอยู่แล้ว ไม่รู้จักกันอีกสักรอบจะเป็นไร ตอนนี้ชื่อจริงๆ ของเขา เธอก็คงไม่รู้จัก หรือแม้กระทั่งชื่อพิสดารที่เขาเลือกใช้เป็นนามแฝงในโปรแกรมแชตยุคโบราณ เขาก็ไม่แน่ใจนักว่าเธอจะจำได้
แต่ถ้าปล่อยให้ทุกอย่างจบลงแบบนี้ ตอนจบทำนองนี้จะหลอกหลอนเขาไปอีกนานนับนาน หลอกหลอนยิ่งกว่าภูตผีที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอในจอคอมพิวเตอร์ เหมือนตอนจบของนิยายเลวๆ สักเรื่องที่คนเขียนตัดจบอย่างไม่มีบทสรุป ไม่สามารถพิสูจน์ความหมายของชีวิต หรือความหมายของเรื่องราวใดได้ตามขนบของเรื่องเล่า—ใช่ ระหว่างทางมันอาจมีพยานหลักฐานบางอย่างที่เราสามารถนำมาอภิปรายถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอ รวมถึงเขาคนนั้นได้ แต่ท้ายที่สุด เราก็จะไม่สามารถประสบผลในระบบคิดใดๆ เลยจากเรื่องราวขาดพร่องอันเต็มไปด้วยความเงียบงันจนแทบจะไม่มีเส้นเรื่องเหล่านี้
ไม่มีคำถามเชิงปรัชญาอันสวยหรู ไม่ใช่บันทึกเชิงมานุษยวิทยา เราอยู่ในโลกแบบนี้ หากมีอะไรใกล้เคียง มันอาจเป็นเพียงบางเศษเสี้ยวที่สอดคล้องกับความกังวลในเรื่องตัวตนของมนุษย์ที่มีมาตลอดประวัติศาสตร์เท่านั้น
เขาไม่มีตัวตนในสายตาเธอ เธอไม่มีตัวตนในสายตาเขาคนนั้น และเขาคนนั้นก็แทบจะไม่มีตัวตนในสายตาของใครอีกหลายคน เราอยู่ในโลกแบบนี้ โลกอันเงียบงันวังเวงและแสนทารุณ ซ่อนตัวอยู่หลังจอมอนิเตอร์ ประกอบสร้างเรื่องราวจากรูปภาพ ประวัติย่นย่อ หรือสเตตัสในหน้าฟีดของโซเชียลมีเดีย นำมาสร้างเป็นนิยายพาฝันที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง
แต่เขาไม่ควรเงียบไปแบบนี้ เขาน่าจะพูดอะไรออกไปบ้าง เพื่อไม่ให้ทุกอย่างจบลงเหมือนที่แล้วๆ มา
“ขอโทษนะครับ ผมอยากรู้ว่าเขาชื่ออะไร”
เขาพูดออกไป แล้วรู้สึกเดี๋ยวนั้นว่า สิ่งที่เธอกำลังทำ คือการพยายามกระตุ้นอะไรบางอย่างในตัวเขา นั่นคือวิธีการต่อสู้เพียงอย่างเดียวของเธอ ต่อสู้เพื่อจะได้ยืนยันว่า เธอยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
เขาเศร้า—และรู้ว่าเธอก็เศร้า
ใช่ เมื่อหญิงสาวสักคนมาแก้ผ้าอยู่เบื้องหน้า เขาควรจะมีอารมณ์กระสันอยากอย่างชายหนุ่ม
แต่ร่างกายผอมบางราวกับจะถูกพัดปลิวสาบสูญไปได้ง่ายๆ หากโดนลมหายใจของภูตผีสักตนราดรดเข้าเพียงเบาๆ หรือความทุกข์ระทมที่ซ่อนอยู่ในริ้วรอยเล็กๆ บนใบหน้า และทรงผมที่ตัดสั้นติดหนังหัวประหนึ่งจะอุทิศทรงผมนี้ให้แก่เขาคนนั้นตลอดกาล ก็ไม่สามารถกระตุ้นอารมณ์กระสันอยากของชายหนุ่มในตัวเขาได้เลย
เธอนำเขาคนนั้นมาสวมทับตัวตนของตัวเองจนแน่นเกินไป มิดชิดเกินไป อึดอัดเกินไปจนแทบหายใจไม่ออก นั่นคือข้อผิดพลาดง่ายๆ ที่ทำให้เธอพ่ายแพ้เสมอมา นั่นคือคำสาปที่ทำให้เธอกลายเป็นภูตผีทั้งที่ยังมีลมหายใจจนถึงบัดนี้
“คุณไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไรใช่ไหม”
สรรพนามที่เขาใช้เรียกเธอเปลี่ยนไปแล้ว บางครั้ง เมื่อบันไดแห่งความสัมพันธ์ถ่างกว้าง สรรพนามที่เราใช้เรียกกันและกันก็มักจะเปลี่ยนไปได้ง่ายๆ เช่นนี้
“คุณไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไรใช่ไหม” เขาถามย้ำอีกครั้ง
เธอหยุดชะงัก ไม่ตอบคำ ร้องไห้เชื่องช้า หยิบปืนขึ้นมา ประทับมันไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ สูดลมหายใจเข้าปอดชั่วอึดใจ อาจเพื่อยืนยันว่าเธอยังใช้อากาศของโลกนี้หายใจอยู่
และแล้ว เธอก็ลั่นไกในวินาทีต่อมา
ลั่นไกให้สาสมแก่ความเงียบงันอันทารุณทั้งหมดทั้งมวลของโลกใบนี้
เพราะจนถึงบัดนี้ เธอเองก็ยังไม่รู้ และจะไม่มีวันได้รู้ว่า ชื่อแท้จริงของเขาคนนั้นคืออะไร
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in