สนธิสัญญาฟลามิงโก
จิราภรณ์ วิหวา
ความลับมีค่าเท่าไหร่
เป็นครั้งแรกที่เห็นการหยิบยกความลับมาทำให้เป็นสิ่งที่มีราคา โดยปกติเมื่อเล่าเรื่องเกี่ยวกับความลับ จะพบเจอในเชิงที่พูดถึงว่าจะเก็บงำความลับนั้นอย่างไร และความลับนั้นมีผลกระทบต่อสิ่งรอบข้างมากน้อยแค่ไหน ถ้าความลับนั้นไม่เป็นความลับอีกต่อไป เหตุนี้จึงแอบชื่นชมนักเขียนอยู่ในใจว่าเลือกเล่าสิ่งที่คนคุ้นเคยกันดีในอีกมิติให้น่าสนใจ
ดังเช่นที่ตัวละครแมวสาวสีขาวนามว่า ' มี ' ถามกับฟลามิงโกหนุ่ม 'รัตติ' ว่าทำไมจึงเลือกนำความลับมาปรับแปลงเป็นพลังงานทดแทน นั่นสิ ฉันเองก็สงสัย ถ้าแปลงความโกรธเป็นพลังงานก็อาจจะได้พลังงานทดแทนมหาศาล ก็ชีวิตแต่ละวันมีเรื่องให้ชวนหงุดหงิดใจถมเถไป ... รัตติกล่าวตอบในเชิงว่า เพราะความลับเป็นสิ่งที่เราต่างพยายามกดเก็บมันไว้ให้มากที่สุด และไม่มีใครอยากจะเก็บมันไว้นาน
ถ้าเปรียบเทียบกันระหว่างความโกรธกับความลับ อืม สำหรับฉัน ความโกรธก็คงเป็นพลังงานที่ร้อนแรง เข้มข้นเพียงชั่วเวลาหนึ่ง เมื่อถูกปลดปล่อยก็หายวับไปทันควัน หากแต่ความลับนั้นเข้มข้น ขมุกขมัว ซ่อนเร้น ยิ่งถูกบ่มเก็บไว้นาน ยิ่งมีความสำคัญ รสชาติของมันยิ่งหอมหวาน เย้ายวนให้กระชากเปิดเปลือยมันออกมา จะว่าไป ฉันก็เริ่มคิดแล้วนะว่าความลับน่าสนใจกว่าความโกรธ
แมวคู่รัก
' มี ' แมวสาวตัวสีขาว และ 'ทอนน์' แมวหนุ่มขนสีเทาเข้ม เป็นคู่รักกัน
ถ้าพูดถึงมีกับทอนน์ ฉันพบว่าทั้งสองตัวยึดโยงกันอยู่ด้วยความรักกับความไม่เข้าใจกัน
ใช่ คุณอ่านไม่ผิดหรอก รักกันทั้งที่ไม่เข้าใจกันน่ะแหละ
มีตอนหนึ่งที่มีกล่าวว่า 'ฉันยังคงเป็นฉันที่เขาไม่ชอบ และเขายังคงเป็นเขาที่ทำให้ฉันเสียใจอยู่เสมอ ความสัมพันธ์ของเราขับเคลื่อนกันมาด้วยวิถีแบบนี้ และมันก็จะเป็นแบบนี้นี่แหละ' ฉันเกิดคำถามขึ้นว่า รักกันแต่ไม่ชอบกัน จะอยู่ด้วยกันด้วยความรู้สึกไหนนะ หรือตอนที่เริ่มต้นความสัมพันธ์แบบคู่รักด้วยกัน ถ้าไม่ชอบกันและกันแล้ว ความรู้สึกมันพัฒนาเป็นความรู้สึกรักได้ยังไงนะ
ฉันคงตอบไม่ได้ว่าแมวคู่รักอยู่ด้วยกันด้วยความรู้สึกแบบไหน หรือความรู้สึกมันพัฒนาเป็นความรักได้อย่างไร แต่เมื่อได้จับเข่าคุยกับตัวเองก็พบว่า ฉันเองก็มีความสัมพันธ์ที่ รักกันทั้งที่ไม่เข้าใจกัน รักกันทั้งที่ไม่ชอบกันและกัน กับเขาเหมือนกันแฮะ
มีอยากให้ทอนน์ใส่ใจเธอและฟังในสิ่งที่เธอพูด ดังที่เธอขอให้เขาจดจำดอกมิโมซ่าที่เธอชอบได้ และมอบมันให้กับเธอในสักวันที่ครึ้มอกครั้มใจ แต่จนแล้วจนเล่าตลอดหกปีที่คบกันเธอก็ทำได้เพียงแค่รอ ดังที่เธอเกลียดร้านอาหารญี่ปุ่นสำหรับสัตว์สี่ขาที่ชื่อวากาเมะ เพราะรสชาติอาหารช่างห่วยแตก แถมด้วยบริการแสนขมจากปูสาวเสิร์ฟที่จดออเดอร์ผิดแต่ไม่รับผิดชอบ เธอเคยมากินร้านนี้กับเขาแล้วครั้งนึง แต่เขาก็ยังนัดเจอเธอที่ร้านนี้อีกเป็นครั้งที่สอง ในขณะที่ทอนน์บอกกับแฟนสาวของเขาว่า เขาไม่รู้เลยว่าคำว่าเอาใจใส่ของมีแปลว่าอะไร แต่สำหรับทอนน์ ความเอาใจใส่หมายถึง การที่เขาจะไปส่งเธอที่บ้าน แต่เธอก็บอกว่าไม่ต้อง เขาโทร.เธอบ่อยๆ เธอรำคาญ เขาห้ามไม่ให้เธอนอนดึกเธอก็โกรธ
มีกับทอนน์ทำให้ฉันเกิดคำถามกับตัวเองล่ะค่ะว่า ความสัมพันธ์ที่ไม่เข้าใจกัน มันเกิดจากที่คนสองคนนิยามในสิ่งเดียวกันแตกต่างกันหรือเปล่านะ ลองทบทวนดูสิคะว่าทอนน์ไม่เอาใจใส่มีจริงๆหรอ ฉันว่าไม่ใช่อย่างนั้นนะ ทอนน์เอาใจใส่มีในแบบของเขาเพียงแต่ว่ามันถูกใจมีก็เท่านั้นเอง ประเด็นนี้ล่ะค่ะที่ทำให้ฉันเพียรสำรวจความสัมพันธ์ของตัวเองว่า เราไม่เข้าใจกันเพราะเราอาจจะให้นิยามในสิ่งหนึ่งสิ่งใดต่างกัน ถ้าเรามาคุยกันว่าการเอาใจใส่ของฉันหมายถึงแบบนี้ แล้วความเอาใจใส่ในความคิดของเธอเป็นแบบไหน แล้วเรามาพยายามไปด้วยกัน ทำแบบที่อีกคนชอบครึ่งนึง ทำในแบบของเราครึ่งนึง และทำความเข้าใจว่าที่เขาดูแลเราในแบบของเขา มันคือตัวตนเขา ก็จริงอยู่ที่มันอาจจะไม่โดนใจเราแต่ยังไงซะเขาก็ทำด้วยความรักที่มีให้เรา เอาใจเขามาใส่ใจเราล่ะค่ะ ฉันให้ข้อสรุปกับตัวเองว่าอย่างนั้น
เขียนสัญญาลับเพื่อรักษาความลับ
'เพราะมันกำลังเปิดเผยความลับให้ดังผ่านทุกเครื่องเสียงบนโลก ย่ำยีความรู้สึกย่ำแย่ของคุณกระต่ายด้วยเพลงที่ต้องเปิดซ้ำๆ หรือเป็นเพราะทอนน์แปรรูปความลับออกมาได้สำเร็จ ในขณะที่นิยายไตรภาคยังเป็นไฟล์ที่ไม่แล้วเสร็จกันแน่'
อ่านมาถึงย่อหน้าที่มีข้อความนี้ ฉันก็จินตนาการได้เลยค่ะว่ามีจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแค่ไหน เพราะเธอทั้งรู้สึกว่าถูกรัตติทรยศหักหลังและอิจฉาทอนน์ แฟนหนุ่มซึ่งไม่เคยเขียนเพลงได้อีกเลยตลอดชีวิตนักดนตรี จนกระทั่งหลังจากที่เธอได้ฟังเพลงล่าสุดที่เขาแต่ง เพลงที่แต่งขึ้นจากความลับของแม่กระต่ายสาวดวงตาสีแดงทับทิม แต่เมื่อฉันได้ใคร่ครวญดูอีกครั้ง ก็พบว่ามีคำถามหนึ่งดังขึ้นมาในใจล่ะค่ะว่า
มีรู้สึกโกรธตัวเองด้วยหรือเปล่านะ -- เธอโกรธที่เธอและทอนน์มีวัตถุดิบชั้นยอด มีตาน้ำพุจากแหล่งเดียวกัน แต่ทอนน์กลับเขียนเพลงได้สำเร็จ ในขณะที่นิยายของเธอยังค้างเติ่ง เป็นก้อนความคิดขมุกขมัวที่ยังจับต้องไม่ได้ คำถามนี้นำพาฉันเข้าสู่การทบทวนตัวเองว่าฉันเคยเป็นมี ในตอนที่อิจฉาใครต่อใครเมื่อเขาสำเร็จบ้างหรือเปล่า ฉันเคยโกรธตัวเองที่ทำไม่สำเร็จบ้างหรือเปล่า และฉันรับมือกับความโกรธ ริษยา ผิดหวังนั้นอย่างไร
อีกประเด็นที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยและฉันตั้งใจว่าจะเขียนเป็นลำดับสุดท้าย ใช่แล้วล่ะค่ะ ฉันกำลังพูดถึงความยุติธรรมต่อผู้บริโภค
รัตติบอกกับมีว่าการลงทะเบียนใช้งาน SI-RI สัตว์ทุกตัวต้องอ่านและยอมรับเงื่อนไขจึงจะแปลงความลับเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ และเงื่อนไขหนึ่งในประเด็นนี้คือ 'สัตว์ที่จะลงทะเบียนใช้งานจะต้องยอมให้ทางเข้าถึงข้อมูลความลับเพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนาโครงการ'
เรามาดูกันถึงข้อแม้หลักในสนธิสัญญาฟลามิงโกที่รัตติทำไว้กับคู่สัญญากันนะคะ มีเขียนไว้ว่า 'คู่สัญญาจะต้องมีจุดประสงค์ในการนำความลับไปใช้ในเชิงธุรกิจและพาณิชย์ศิลป์เท่านั้น ไม่อนุญาติให้เข้าถึงเพื่อความบันเทิง'
จากข้างต้นชวนให้รู้สึกว่าเอ๊ะ ยังไงนะกันหรือเปล่าคะ ตรงนี้ล่ะค่ะที่ฉันรู้สึกว่ารัตติเอาเปรียบผู้บริโภค เขาเขียนในเงื่อนไขการลงทะเบียบใช้งานว่าข้อมูลความลับจะถูกทำไปใช้ในการวิจัย พัฒนาโครงการ แต่ไม่ได้เขียนว่าเพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์
สุดท้ายนี้ฉันหวังว่านายรัตติจะเดินเข้าไปนั่งในตู้ SI-RI และเล่าเรื่องความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาดูบ้าง คุณคิดว่าเขาจะพูดถึงเรื่องอะไรหรอคะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in