ภาพยนต์ยาวลำดับที่ 5 ของพี่เต๋อนวพล เรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องความตายหลากหลายแบบที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ อิงจากสถิติ โดยทุกๆหนึ่งวินาทีจะมีคนตาย ประมาณ 2 คน และด้วยทัพนักแสดงหลากหลายจากผลงานเก่าๆของผกก.คนนี้ จะแบ่งเป็น 6 พาร์ทหลัก 7 พาร์ทย่อย จาก 13 นักแสดง
หนังเรื่องนี้จงใจอย่างมากกับการให้ตระหนักถึงการ live today เพราะอาจ die tomorrow ในสักวัน ในเรื่องราวของหนังจะแบ่งเป็นพาร์ทๆที่นำแสดงโดยนักแสดงหลากหลาย โดยเรื่องราวก็จะแตกต่างกันไป มีการใช้ชีวิตและการตายที่ไม่เหมือนกัน
ชอบการหนังมีเวลาจริงที่อิงตามระยะเวลาของหนังพร้อมกับสถิติการตาย ที่ทุกๆหนึ่งวินาทีจะมีคนตาย 2 คน ตอนแรกยอมรับว่ายังไม่สนใจสักเท่าไหร่ แต่พอดูๆไป เวลาก็เดินไปเรื่อยๆ จนกระทั้งวินาทีที่ 60-70 เลขจำนวน Deaths ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันทำให้เราตระหนักว่า "ตอนนี้ที่เรากำลังนั่งดูหนังเรื่องนี้อยู่ มีคนตายไปแล้วกี่คน"
ยอมรับว่าหนังเสพยาก และดูยาก ดังนั้นหนังเรื่องนี้อาจไม่เหมาะกับทุกคน ด้วยที่มุมกล้องนิ่งๆ กับการใช้ชีวิตของตัวละครที่แสนจะธรรมดา มันเลยกลายเป็นเรื่องราวธรรมดาๆในวันก่อนตายเท่านั้น ในหนังมีบรรยากาศเดธแอร์เยอะมากๆ จนกลัวว่าคนข้างๆจะได้ยินเสียงลมหายใจของเราเชียว แต่ถ้าดูดีๆ มันก็ตามคอนเซ็ปต์ของหนังเลย วันก่อนตายของเรา อาจเป็นแค่วันธรรมดาๆง่ายๆวันนึง ไม่ว่าจะเป็นบทสนทนากับคนรอบข้างง่ายๆ หรือจะเป็นใช้ชีวิตเหมือนเดิมแบบง่ายๆเท่านั้นเอง
พาร์ทที่ชอบที่สุด คือพาร์ทของซันนี่พลอย เป็นพาร์ทที่คงความเป็นจริง พาร์ทที่ทำให้เราอินตามจนร้องไห้ เรื่องราวคือฝ่ายหญิงอาจจะตายได้สักวัน แต่ก็ยังห่วงฝ่ายชายที่อาจจะยังใช้ชีวิตตัวคนเดียวบนโลกนี้ไม่ได้ ส่วนฝ่ายชายก็ไม่อยากให้ฝ่ายหญิงจากโลกนี้ไป มันเป็นเรื่องราวความรักที่น่าเศร้า จนมันพาเรากลับไปในสถานการณ์ที่เราเคยเจอแบบนั้น ด้วยเหตุนี้นี่แหละถึงทำให้ชอบพาร์ทนี้ที่สุด
พาร์ทที่ประทับใจที่สุด คือพาร์ทของเต้ย รู้สึกว่าจะเป็นฉากลองเทคซะด้วย บทมีไม่มาก พูดก็ไม่มาก แต่เต้ยเล่นผ่านสีหน้าจะท่าทางอย่างได้อารมณ์มากๆ เอาจริงๆไม่มีอะไรมากเลย แต่กลับเป็นพาร์ทที่เราประทับใจที่สุด ประทับใจตัวเต้ยนี่แหละ
พาร์ทที่ตื่นเต้นที่สุดคือ พาร์ทของสี่สาวอย่างจูนจูน เมโกะ ออกแบบ และต้นหลิว เอาจริงเนื้อเรื่องไม่ได้น่าตื่นเต้นขนาดนั้น แต่ด้วยสกอร์ที่เหมือน Hans Hammer มาเอง เสียงนาฬิกาดังติ๊กต่อกไปมา ตรงนี้ทำเอาลุ้น ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าลุ้นอะไร
ขอพูดถึงงานภาพที่ยังคงเป็นเอกลักษณ์ของพี่เต๋อนวพลมาตั้งแต่เรื่อง 36 จะเป็นภาพนิ่งๆ แอบเนื่อยๆ ใครไม่ชอบเสพงานแนวนี้อาจจะหลับไปเลย แต่ต้องทำความเข้าใจกับคอนเซ็ปต์ของหนังก่อน ตัวหนังเองต้องการจะสื่อให้คนดูเห็นความธรรมดาที่ไม่พิเศษของตัวละครอยู่แล้ว ซึ่งมันก็น่าจะถูกแล้วที่งานภาพจะออกมาเป็นแบบที่เห็น การโคลสอัพเพื่อให้เห็นรายละเอียดด้านอารมณ์ของตัวละคร การถ่ายภาพแบบนิ่งๆแต่ก็วาดกล้องไปมาเล็กน้อยตามตัวนักแสดง เพื่อให้เห็นความเคลื่อนไหวที่ไม่มาก ฯลฯ ส่วนตัวชอบในตรงนี้
ยังไงก็ตาม อย่าคาดหวังกับหนังเรื่องนี้เยอะ ยอมรับเลยว่าหนังมันดูยาก และไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน แต่หลายๆคนก็ควรเปิดใจ ลองดูหนังที่เป็นแบบเต๋อนอวพลของแท้ดูสักครั้ง
ถึงแม้จะไม่ได้เป็นหนังที่ต้องดูให้ได้ก่อนตาย แต่หลังดูจบก็จุดประกายให้กลับมาคิดทบทวนเรื่องการใช้ชีวิตซะมากกว่า
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in