เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Nightmare before 29BUNBOOKISH
บทที่ 1 Too Fat To Fit


  • หากมีใครพอจะจำได้ รายการ อะ-คาเดมี่ แฟนเทเชีย ซีซั่นที่สอง (AcademyFantasia หรือเอเอฟ) มีเด็กสาวคนหนึ่งที่นอกจากจะเข้าไปล่าฝันในบ้านแล้ว นางยังเข้าไปล่าขนมและอาหารอันโอชะจากสปอนเซอร์ผู้สนับสนุนรายการเป็นงานอดิเรกไปพร้อมๆ กันด้วย เรียกว่านอกจากจะได้เห็นพัฒนาการด้านร้องเพลงของตัวเองแล้ว ตอนนั้น ยังได้เห็นศักยภาพด้านการกิน และเพิ่มน้ำหนักตัวเอง ภายในเวลา 12 สัปดาห์

    แถมจบการแข่งขัน เราก็ไม่ได้ออกจากบ้านเอเอฟมามือเปล่า ‘พัดชา V6’ คว้ารางวัลติดมือ มาพร้อมกับร่างกายขนาดใหม่ ใหญ่กว่าเดิมเป็นสิบกิโลฯ!

    เมื่อกลับบ้านมา จึงพบว่าเสื้อผ้าไซส์เอสที่เคยมีในตู้กลายเป็นอดีต และเราคงเข้ากันไม่ได้อีกแล้ว (คือ เอาตัวเข้าไปไม่ได้อีกแล้ว) จึงต้องบอกเลิกกันไปในที่สุด

    ตอนนั้น การเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นไซส์ใหญ่ขึ้น และเปลี่ยนนามสกุลจาก น.ส.พัดชา เอนกฯ ที่เพื่อนเรียก มาเป็น พัดชา นามสกุลเอเอฟ คือสองเรื่องใหม่ที่บุกเข้ามาเปิดซิงในชีวิตเราพร้อมๆ กัน นอกจากจะต้องเรียนรู้การทำงานรูปแบบใหม่ๆ ยังต้องเรียนรู้การรับมือกับน้ำหนักตัว ที่เป็นปัญหาอย่างไม่คาดคิดมาก่อน

    เพราะไม่เคยอ้วน ก็เลยไม่เคยกลัวอ้วน เวลาใครทักว่า ‘เดี๋ยวอ้วน’ หรือ ‘ระวังอ้วน’ ก็ไม่ค่อยจะเชื่อเขา เพราะคิดว่าเรายังอยู่ในวัยเจริญเติบโต ร่างกายก็เผาผลาญดี

    ใครจะคิดว่า 12 สัปดาห์ต่อมา น้ำหนักตัวจะกลายมาเป็นเรื่องหนักใจ แล้วดูเป็นเรื่องหนักใจของคนที่ทำงานด้วยมากกว่าตัวเราเองเสียอีก

    ตอนนั้นไม่เข้าใจเลยว่าทำไม…
  • ความอึดอัดใจเดียวที่มีช่วงนั้น คือคำวิจารณ์ทำนองว่า ‘เด็กคนนี้ร้องเพลงดีนะ เสียดายอ้วนไปหน่อย’ ได้ยินครั้งแรก โอเค ครั้งสอง โอเค ครั้งสาม โอเค…พอได้ยินจนนับครั้งไม่ได้แล้ว ก็เริ่มไม่โอเค

    ทำไมจะชมว่าร้องเพลงดีแล้วต้องเสียดายที่ ‘อ้วนไปหน่อย’ ด้วยล่ะ ก็เป็นนักร้อง ชมว่าร้องเพลงดี หรือด่าว่าร้องเพลงห่วย ก็น่าจะพอแล้วนี่

    พอโดนทัก โดนติบ่อยๆ ว่าอ้วน ว่าบวม จากแค่รู้สึกเอะใจ รำคาญใจ (อยู่บ้าง—แต่ก็ยังไม่สำนึก) กลายเป็นความต่อต้านไปตามประสา คิดเอาเองว่าถ้าอ้วนแล้วเราไม่เดือดร้อน ทำไมคนอื่นถึงต้องมาเดือดร้อนกับความอ้วนของเรา หลายครั้งก็คิดคำตอบไว้ตั้งรับแบบซื่อบื้อๆ ว่า ถึงอ้วนก็ยังร้องเพลงได้นะคะ ผอมแล้วร้องเพลงดีขึ้นเหรอค้าาา?

    ด้วยความไม่รู้—ตอนนั้นไม่เข้าใจจริงๆ ว่า ผู้หญิงคนนึงจะต้องมีน้ำหนักตัวแค่ไหน ถึงจะเป็นที่ถูกใจทุกคนได้ เพราะเวลาเจอแฟนคลับ (เป็นเด็กเอเอฟ ก็ต้องมีแฟนคลับกับเขาอยู่บ้าง) ก็มีทั้งคนที่บอกว่า หนูอ้วนเกินไปแล้ว ทำไมไม่รู้จักดูแลตัวเอง ไปจนถึง ไม่ต้องลดความอ้วนนะคะ แก้มป่องๆ แบบนี้แหละ น่าเอ็นดูดีแล้ว

    เลือกแบบเข้าข้างตัวเอง แน่นอน เราเลือกเชื่อแบบหลัง ก็คนมันอ้วนไปแล้ว อยู่ๆ มาบอกว่าอ้วนไป หนูก็กดอันดูย้อนหลังให้เดี๋ยวนั้นไม่ได้อยู่ดี

    จึงใช้ชีวิตท้วมๆ อย่างทรนงต่อไป...

    แต่ทีนี้ พอร่างมันขยาย เสื้อผ้าของเดิมก็ใส่ไม่ได้ อันนี้เดือดร้อนตัวเอง ไม่เป็นไร ไปช้อปปิ้งซื้อใหม่ เปลี่ยนไซส์ยกตู้ก็สิ้นเรื่อง ลำพังเครื่องแต่งกายส่วนตัวยังพอทน แต่พอเป็นเครื่องแต่งกาย ส่วนงานนี่มีปัญหาละ เพราะไม่ใช่ว่าเสื้อผ้าทุกโอกาสจะมีขนาดเผื่อไว้ให้คนสะโพก 41! ในขณะที่ชุดของคนอื่นดูช่างหาง่าย ไซส์มาตรฐาน เรากลายเป็นภาระของพี่สไตลิสต์ที่ต้องเสาะหากางเกงเบอร์ใหญ่ หากระโปรงหลวมๆ ให้ใส่กันอุตลุด ไหนจะต้องหาชุดปิดก้นพรางพุง เพื่อกำจัดจุดอวบ (เหมือนกำจัดจุดอ่อน) ให้มันอีก... (หนูขอโทษ...)
  • จุดอ่อนต่อมาของเราคือน่องแน่นๆ เน้นๆ คือขาก็ไม่ได้ยาวเรียว เรียกง่ายๆ ว่าขาสั้น เรียกให้ง่ายกว่านั้นก็คือเตี้ย ยิ่งน้ำหนักเยอะน่องก็ยิ่งโต ขาก็ยิ่งใหญ่ (เป็นขาที่น่าเกรงขาม) เวลาไปร้านรองเท้าแล้วเจอแบบที่มีสายรัดข้อเท้ากิ๊บเก๋ก็อยากจะใส่กับเค้าบ้าง เป็นอันต้องให้ที่ร้านเจาะรูที่สายรัดเพิ่มให้ทุกที หรือบางคู่ก็โอบไม่รอบ อดใส่กันไป 

    มีอยู่คราวหนึ่ง ได้ไปถ่ายแบบลงนิตยสารกับเขาบ้าง เรื่องเสื้อผ้าไม่มีปัญหาเพราะว่าเป็นเซ็ตของแบรนด์ยุโรปที่แค่ไซส์เอ็มก็ใส่ได้สบาย (เห็นมั้ย! ใส่ได้! ฉันไม่ได้อ้วนนน—เอ่อ แต่จริงๆ แกควรอยู่ในหมวดไซส์เล็กของคนเอเชียนะ) รองเท้าที่เตรียมไว้คู่กับชุดเป็นบูทสูงถึงใต้เข่าสุดเปรี้ยว พัดชาก็ชะล่าใจกะว่าเสื้อผ้าใส่ได้ รองเท้าก็น่าจะได้เหมือนกันแหละน่า

    รับรองเท้ามาได้ ก็นั่งลงสวมฟรึ้บ เห็นมะ สบาย! รูดซิปขึ้นก็เสร็จแล้วใช่ป่ะ ฮึบๆ แต่แล้ว… เอ่อ พี่คะ รูดซิปไม่ขึ้น...มันติดน่อง!

    งานเข้าทีมงาน ที่ไม่ได้คิดว่ามันจะมีผู้หญิงคนไหนที่มาถ่ายแบบแล้วน่องใหญ่เกินกว่าจะรูดซิปรองเท้าบูทได้ แต่ก็ต้องขอบคุณไหวพริบและความมืออาชีพของทีมงาน ที่อุตส่าห์ไปวิ่งหาเทปผ้าสีดำแปะยึดเอาไว้แก้ขัด พี่เขาบอกว่าไม่เป็นไร...เดี๋ยวไปรีทัชเอาทีหลัง ต้องยกมือไว้ปลกๆ ทั้งขอบคุณและขอโทษแทนน่องของหนูด้วยค่ะ...

    พอทำงานมาสักพักก็เริ่มเห็นปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ เวลาไปถ่ายงานที่ต้องออกสู่สายตาผู้คนอย่างเช่น ภาพโปรโมต โฆษณา หรือว่ามิวสิกวิดีโอ ก็พบว่าตัวเองกลายเป็นภาระของทีมถ่ายทำและตัดต่อเพราะมุมกล้องที่พอใช้ได้ของเราคือ ‘มุมกด’ เพื่อลดแก้มที่บานเกินพอดี เวลาถ่ายทำแต่ละที ก็ต้องมีเสียงผู้กำกับคอยตะโกนกำกับและกำชับตลอดเวลาว่า “พัดชา กดหน้าหน่อย” จนรู้สึกได้ว่าทุกครั้งที่โดนบอกให้กดหน้า คือการโดนบอกว่า แกอ้วน แกหน้าบาน ก้มหน้าลงไปเดี๋ยวนี้!
  • ยังไม่หมดแค่นั้น ถ่ายมุมกดจนคอเกร็งไปหมดแล้วก็ยังไม่พอพอถึงขั้นตัดต่อก็เดือดร้อนทีมงานที่ลงมติกันว่า พัดชามันอ้วนล้นจอไปหมด จนต้องใช้เทคนิค ‘ดึงฟิล์ม’ เข้าช่วย (คือสมัยก่อนถ่ายทำกันด้วยฟิล์มจริงๆ การดึงฟิล์มก็คือเอามาฟิล์มมาดึงๆ ยืดๆ ภาพก็จะเหมือนโดนบีบๆ ยืดๆ ไปทั้งเฟรม)

    สุดท้าย พัดชาได้หุ่นเพรียวขึ้นหนึ่งระดับประทับใจ แต่คนอื่นในเฟรมที่เค้าก็ผอมก็สวยดีกันอยู่แล้วล่ะ กลายเป็นผอมแห้งเกินความจริงไปอีก (หนูขอโทษ...)

    เคราะห์กรรมยังไม่หมด เวลาได้ขึ้นคอนเสิร์ตกับเขาแต่ละทีนอกจากลำบากพี่สไตลิสต์ในการหาเสื้อผ้าอย่างเคยแล้ว นักร้อง (ที่คิดเอาเองว่า) ตัวเล็กๆ อย่างเรา ก็อยากจะมีภาพสวยงามเก็บไว้อวดพ่อแม่พี่น้องชื่นชม ก็เห็นมีช่างภาพมากหน้าหลายตา กล้องเอยเลนส์ไวด์ (Wide) เอย ระดับท็อประดับเทพ แต่พอได้ภาพมา จึงรู้ว่าเรามันก็ขึ้นกล้องจริงๆ ด้วย…ขึ้นอืดเต็มกล้องเลยน่ะ...

    เอาเข้าจริง ถึงปากจะต่อล้อต่อเถียงกับใครๆ ว่า อ้วนก็ยังร้องเพลงได้ แต่ในใจเริ่มรู้ตัวแล้วว่า พอต้องขึ้นเวที แทนที่จะมีสมาธิอยู่กับการร้องเพลง ยังต้องแบ่งพลังไว้แขม่วพุง ความมั่นใจก็มีปัญหา และกว่าจะยอมรับว่า ที่ผ่านมาเราช่างเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ที่เคยคิดว่าความอ้วนของเราก็ต้องเป็นปัญหาของเราคนเดียวสิ นั่นผิดถนัด ก็ถึงแม้จะร้องเพลงได้ เราก็ไม่ได้นั่งร้องเพลงคนเดียวที่บ้านเสียหน่อย

    การมีรูปร่างขนาดตัวที่เกินมาตรฐาน นอกจากจะส่งผลให้ทำงานไม่คล่องตัวคล่องใจแล้ว ยังสร้างความลำบากให้คนรอบข้าง เป็นปัญหาของทีมงาน เป็นภาระสังคม (ฮืออ...) มาถึงจุดนี้หนูยอมให้กล่าวคำว่า “สมน้ำหน้า พูดแล้วไม่เชื่อ” (หนูขอโทษ...)

    หลังจากคุกเข่าสำนึกผิดได้ว่า ข้าน้อยสมควรไดเอ็ต เป็นที่เรียบร้อย ก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่อง ใช้ความพยายามอยู่หนึ่งปีเต็ม กว่าจะถอนเอาน้ำหนักสิบกิโลกรัมที่เกินมาตรฐานออกไปได้ในที่สุด
  • พอพาตัวเองกลับเข้าสู่การเป็นสาวไซส์เอสได้อีกครั้ง ก็พบว่าการไปทำงานแต่ละครั้งก็สะดวกกายสบายใจขึ้นเยอะ แต่งตัวก็ง่าย งานไหน ใครจัดชุดอะไรมาก็ใส่ได้หมด ไม่ต้องกังวลว่าทีมงานจะหาเสื้อผ้าได้ไหม ไม่ต้องโดนดุให้ ‘กดหน้า’ เวลาถ่ายรูปเหมือนแต่ก่อน เวลาร้องเพลงบนเวทีก็ไม่ต้องคอยแขม่วพุงให้เป็นที่ลำบากลำบน พอสบายใจแล้ว ก็ทำให้มั่นใจเวลาร้องเพลงตามไปด้วย 

    ถึงตอนนี้อยากจะกลับไปบอกพัดชาเวอร์ชั่นปากดีตอนอายุยี่สิบว่า การลดน้ำหนักมันอาจจะไม่ได้ทำให้เราร้องเพลงเพราะขึ้นก็จริงอยู่ แต่การทำตัวให้อยู่ในมาตรฐานอันดีของหน้าที่การงาน ไม่ทำตัวเองให้เป็นปัญหาของคนอื่นก็เป็นเรื่องสำคัญ

    หรืออย่างน้อย ตอนนี้ ถ้าต้องใส่รองเท้าบูทสูงถึงเข่าอีกครั้ง ก็ไม่ต้องรบกวนใครหาเทปดำมาปิดแทนซิปที่ติดน่องรูดไม่ขึ้นอีกต่อไปแล้ว


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in