ความอึดอัดใจเดียวที่มีช่วงนั้น คือคำวิจารณ์ทำนองว่า ‘เด็กคนนี้ร้องเพลงดีนะ เสียดายอ้วนไปหน่อย’ ได้ยินครั้งแรก โอเค ครั้งสอง โอเค ครั้งสาม โอเค…พอได้ยินจนนับครั้งไม่ได้แล้ว ก็เริ่มไม่โอเค
ทำไมจะชมว่าร้องเพลงดีแล้วต้องเสียดายที่ ‘อ้วนไปหน่อย’ ด้วยล่ะ ก็เป็นนักร้อง ชมว่าร้องเพลงดี หรือด่าว่าร้องเพลงห่วย ก็น่าจะพอแล้วนี่
พอโดนทัก โดนติบ่อยๆ ว่าอ้วน ว่าบวม จากแค่รู้สึกเอะใจ รำคาญใจ (อยู่บ้าง—แต่ก็ยังไม่สำนึก) กลายเป็นความต่อต้านไปตามประสา คิดเอาเองว่าถ้าอ้วนแล้วเราไม่เดือดร้อน ทำไมคนอื่นถึงต้องมาเดือดร้อนกับความอ้วนของเรา หลายครั้งก็คิดคำตอบไว้ตั้งรับแบบซื่อบื้อๆ ว่า ถึงอ้วนก็ยังร้องเพลงได้นะคะ ผอมแล้วร้องเพลงดีขึ้นเหรอค้าาา?
ด้วยความไม่รู้—ตอนนั้นไม่เข้าใจจริงๆ ว่า ผู้หญิงคนนึงจะต้องมีน้ำหนักตัวแค่ไหน ถึงจะเป็นที่ถูกใจทุกคนได้ เพราะเวลาเจอแฟนคลับ (เป็นเด็กเอเอฟ ก็ต้องมีแฟนคลับกับเขาอยู่บ้าง) ก็มีทั้งคนที่บอกว่า หนูอ้วนเกินไปแล้ว ทำไมไม่รู้จักดูแลตัวเอง ไปจนถึง ไม่ต้องลดความอ้วนนะคะ แก้มป่องๆ แบบนี้แหละ น่าเอ็นดูดีแล้ว
เลือกแบบเข้าข้างตัวเอง แน่นอน เราเลือกเชื่อแบบหลัง ก็คนมันอ้วนไปแล้ว อยู่ๆ มาบอกว่าอ้วนไป หนูก็กดอันดูย้อนหลังให้เดี๋ยวนั้นไม่ได้อยู่ดี
จึงใช้ชีวิตท้วมๆ อย่างทรนงต่อไป...
แต่ทีนี้ พอร่างมันขยาย เสื้อผ้าของเดิมก็ใส่ไม่ได้ อันนี้เดือดร้อนตัวเอง ไม่เป็นไร ไปช้อปปิ้งซื้อใหม่ เปลี่ยนไซส์ยกตู้ก็สิ้นเรื่อง ลำพังเครื่องแต่งกายส่วนตัวยังพอทน แต่พอเป็นเครื่องแต่งกาย ส่วนงานนี่มีปัญหาละ เพราะไม่ใช่ว่าเสื้อผ้าทุกโอกาสจะมีขนาดเผื่อไว้ให้คนสะโพก 41! ในขณะที่ชุดของคนอื่นดูช่างหาง่าย ไซส์มาตรฐาน เรากลายเป็นภาระของพี่สไตลิสต์ที่ต้องเสาะหากางเกงเบอร์ใหญ่ หากระโปรงหลวมๆ ให้ใส่กันอุตลุด ไหนจะต้องหาชุดปิดก้นพรางพุง เพื่อกำจัดจุดอวบ (เหมือนกำจัดจุดอ่อน) ให้มันอีก... (หนูขอโทษ...)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in