เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เพลงรักนิวตริโนSALMONBOOKS
บทที่ 1
  • ละติจูดที่ 22-24 องศาเหนือ
    ลองจิจูดที่ 114-116 องศาตะวันออก


    เกาะเพิงเจ้า

    วันที่ภรรยาผมเสียชีวิต เป็นวันที่มีกลิ่นหอมอย่างยิ่ง

    หลังจากแพทย์ยืนยันเวลาสิ้นลมที่แน่นอน ผมเปิดหน้าต่างห้องนอนทีละบาน อากาศภายนอกอวลไปด้วยกลิ่นของดอกพลับพลึงยามค่ำ กิ่งของหลิวต้นใหญ่ในสวนโบยโบกเป็นเงาสลัวอย่างแช่มช้า ถนนและทางเดินนอกบ้านร้างไร้ผู้คน เทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ที่วางไว้ตรงมุมต่างๆ ถูกผมจุดจนสว่างไสวตามคำร้องขอครั้งสุดท้ายของเธอ แผ่นเสียงของ เอริกซาตี ถูกวางลงบนแท่น และเมื่อเข็มของมันลากผ่านไปถึงท่อนที่สามของเพลง Sonatine Bureaucratique บาทหลวงแอสคาร์ คือ เดยรอซก็เดินทางมาถึง ท่านประพรมน้ำเสกไปทั่วร่างของเธอ และในขณะที่กลิ่นแห่งใบโรสแมรี่ซึ่งเจืออยู่ในนั้นคลี่กระจายออกมา ลูกวัดสองคนก็บรรจุร่างของเธอลงในโลงไม้ที่ตระเตรียมมา พวกเขาเคลื่อนย้ายมันอย่างทะนุถนอมไปยังรถเปิดประทุนที่จอดอยู่ด้านนอก และอีกห้านาทีหลังจากนั้น เราทุกคนก็มุ่งหน้าไปสู่สุสานไป่หู

    เมื่อเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาเที่ยงคืนตรง โลงไม้ใบนั้นทอดตัวนิ่งสนิทอยู่ในหลุมลึกซึ่งผมได้จับจองไว้ล่วงหน้า ห่างไกลออกไปมีภาพคลื่นกระแทกฝั่งเป็นระยะ และไกลออกไปอีกมีภาพระยิบระยับจากหมู่ตึกระฟ้าแห่งเกาะฮ่องกง ตึกที่สว่างไสวที่สุดอาจเป็นธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ หรืออาจเป็นธนาคารแห่งประเทศจีนก็เป็นได้ ผมไม่แน่ใจนัก เพราะภาพนั้นห่างไกลเหลือเกิน ขณะที่ภาพใกล้นั้น ผมเห็นเสื้อผ้าและของใช้ของภรรยาถูกวางลงในหลุม สมุดบันทึกบุผ้าลายลูกไม้ของหลุยส์ ฟองเทน ชุดน้ำชาชุดเล็กของโรเซนธาล แจกันสีแดงเพลิงของคอสต้า โบด้า ตะเกียงน้ำมันของลูก้า ดาวิเอนเต้ และสิ่งอื่น ดอกมะลิถูกโปรยลงไปบนชื่อของจัสมิน หลิง ท่านบาทหลวงยังคงอ่านพระวรสารอย่างช้าๆ อันเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงขั้นตอนสุดท้ายแห่งพิธีกรรม และเมื่อเสียงอ่านเงียบลง ลูกวัดทั้งสองก็โกยดินรอบปากหลุมลงสู่ที่เดิมแล้วประทับแผ่นหินอ่อนที่สลักชื่อของเธอ สายฝนตกลงมาอย่างแผ่วเบา ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด
    และดวงดาวที่อ่อนแสง เม็ดฝนขับกลิ่นของดอกมาริโกลด์ตามทางเดินให้ปรากฏทุกการเคลื่อนเท้า ผมมองย้อนกลับไปที่สุสานอีกครั้ง กลิ่นดอกไม้แห้งจากกองพวงหรีดตามแท่นหินอ่อนจำนวนมากโชยมาแตะต้องปลายจมูก ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นดูจะมีเพียงกลิ่นที่ตราตรึงและตอกย้ำประสาทสัมผัสของผม ภาพสุดท้ายของเธอ ใบหน้า ท่าทาง ร่างกายสุดท้ายของจัสมิน หลิงได้เลือนหายไปจากความทรงจำของผมอย่างรวดเร็ว และอาจถูกขจัดออกไปอย่างสมบูรณ์ หากผมจะไม่ได้มีโอกาสพบเธออีกครั้งหนึ่ง…
  • วันเปลี่ยน คืนผ่าน กาลเวลาหมุนไป หลังการจากไปของจัสมิน หลิง ผมตัดสินใจเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตนเอง ไม่มีทางที่คนเราจะจมอยู่กับความทุกข์โศกได้ตลอดกาล เช่นเดียวกับที่เราไม่อาจสวมเสื้อผ้าชุดเดิมได้ชั่วนิรันดร์ ผมซื้อโทรทัศน์มาประดับบ้านเป็นครั้งแรก สมัครเป็นสมาชิกเคเบิลทีวีของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง ลงชื่อเรียนโยคะเบื้องต้นทางไปรษณีย์ และยังสมัครเรียนทำอาหารกับกลุ่มแม่บ้านบริเวณใกล้เคียงทุกเช้าวันเสาร์ นอกเหนือจากการลงประกาศถ้อยคำไว้อาลัยในหนังสือพิมพ์ เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ สัปดาห์ละหนึ่งครั้งเป็นเวลาติดต่อกันสามเดือน ตามคำร้องขอสุดท้ายของเธอแล้ว ทุกสิ่งที่ผมทำหลังจากนั้นล้วนเป็นไปเพื่อตัวเองทั้งสิ้น

    แม้ผมจะยังคงทำงานที่สำนักงานสถาปนิกแห่งเดิม แต่ทุกสิ่งรอบๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย ผมวิ่งไปที่ทำงานในตอนเช้าแทนการโดยสารรถประจำทาง อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องน้ำในอาคารสำนักงาน ก่อนเริ่มต้นกินอาหารที่นำติดตัวมา ในเวลากลางวันผมจะต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต่างๆ ในห้องครัวแทนการออกไปกินอาหารกับเพื่อนร่วมงาน ในยามเย็นผมจะตรงดิ่งกลับบ้านแล้วใช้ความรู้ด้านอาหารที่ร่ำเรียนมาปรุงอาหารกินเอง ก่อนจะเข้านอนบนโซฟาหลังรายการข่าวโทรทัศน์ภาคสุดท้ายจบลง ในวันเสาร์หลังการเพิ่มพูนความรู้ด้านอาหาร ผมจะกลับมานอนต่อจนถึงบ่าย และตื่นขึ้นในยามเย็นเพื่อทำความสะอาดบ้าน เสื้อผ้า จานชาม และสิ่งของเครื่องใช้ ในวันอาทิตย์ผมจะโดยสารเรือข้ามไปเกาะฮ่องกงเพื่อซื้อหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ จากแผงลอยคนจีนใกล้สวนสาธารณะเกาลูน ตั้งต้นอ่านมันช้าๆ ทีละหน้าท่ามกลางเสียงสนทนาของแม่บ้านชาวไทย

    ในบริเวณนั้น ซึ่งเมื่อผมอ่านถึงหน้าสุดท้าย ผมก็จะยื่นมันให้กับใครสักคนหนึ่งข้างๆ ตัว โดยสารรถไฟใต้ดินไปกินอาหารกวางตุ้งที่เพิ่งตั้งแผงที่ตลาดหม่งก๊ก ตระเวนซื้อแผ่นเสียงมือสอง ก่อนโดยสารเรือเที่ยวเย็นกลับบ้าน ผมเลือกที่นั่งด้านท้ายเรือเพื่อเฝ้ามองดวงอาทิตย์ทิ้งตัวลงสู่ผืนน้ำ เฝ้าครุ่นคิดว่าระหว่างละอองน้ำที่ลอยฟ่องเป็นทางตามแรงเรือกับชีวิตผมนั้น สิ่งไหนที่ไร้น้ำหนักกว่ากัน

    นั่นคือรูปแบบการใช้ชีวิตของผมซึ่งกินเวลานานนับหกเดือน ก่อนที่จัสมิน หลิงจะปรากฏตัวอีกครั้งหนึ่ง
  • คืนนั้น ผมกลับถึงบ้านตามเวลาปกติ ตั้งหม้อที่บรรจุน้ำสะอาดบนเตาไฟฟ้า ใส่เกลือเล็กน้อย ลวกเส้นสปาเกตตีตามเวลาที่ระบุไว้ข้างกล่องแล้วลงมือปรุงคาโบนาร่าและเซวิเช่ อันได้แก่เนื้อปลาแซลมอนแช่มะนาวที่โรยด้วยดิลล์กับลูกมะกอก

    ผมอาบน้ำอุ่นเป็นเวลากว่าสามนาที เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนำอาหารทั้งหมดมาวางบนโต๊ะกลางครัว ม้วนเส้นสปาเกตตีเข้าปาก พลางกดรีโมต เปิดทีวีดูรายการต่างๆ

    มันเป็นคืนที่น่าเบื่อ มีรายการประกวดนางงามจากส่วนใดส่วนหนึ่งของโลก มีรายการแข่งขันกินอาหารซึ่งแลดูสับสนมากกว่าสนุกสนาน มีละครตลกฝืดๆ จากประเทศจีน และมีการดวลแรคเก็ตระหว่าง โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ และกิลเยร์โม โคเรียในทัวร์นาเมนต์หนึ่ง ผมเปลี่ยนช่องไปมากว่าสามเที่ยวก่อนตัดสินใจว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าการทนดูลูกเทนนิสเด้งตัวไปมา และเมื่อเกมดำเนินมาถึงเซ็ตที่สอง ผมก็จัดการอาหารมื้อค่ำเสร็จ ผมเอาจานชามทั้งหมดวางลงในอ่าง มีรายงานพยากรณ์อากาศด่วนปรากฏขึ้นบนจอโทรทัศน์ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เกาะฮ่องกงจะถูกโจมตีด้วยพายุไต้ฝุ่นอย่างหนักหน่วงในคืนนี้ ผมปิดหน้าต่างรอบห้องทีละบานจนหมด แต่เมื่อกลับมานั่งที่โซฟาในห้องรับแขกอีกครั้ง ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป ไม่มีการพยากรณ์อากาศ ไม่มีการแข่งขันเซ็ตที่สามปรากฏขึ้นบนจอ ที่จริงแล้วไม่มีการดวลแรคเก็ตอีกต่อไปด้วยซ้ำ ในพื้นที่สี่เหลี่ยมตรงหน้ามีภาพยนตร์จีนขาวดำเรื่องหนึ่งฉายอยู่ หญิงชราชาวจีนสองคนโต้เถียงกันอย่างยืดยาวในสวนกว้างกลางคฤหาสน์

    “นี่เป็นความผิดของเธอแม่สื่อ เธอต้องรับผิดชอบ ฉันจะให้โอกาสเธอเป็นครั้งสุดท้าย จะด้วยวิธีใดก็ตาม เธอต้องทำให้ลูกสะใภ้คอแข็งของฉันหายตัวไปให้ได้”

    “ดิฉันพยายามอยู่ค่ะคุณนาย แต่กว่าการณ์จะเรียบร้อยตามที่คิดคงอีกสองถึงสามวัน”

    “นั่นคือเวลามากสุดที่เธอมี ก่อนที่ลูกชายของฉันจะกลับมาจากเมืองหลวง การต้องอยู่ร่วมกับมันทุกวัน ทำให้ฉันขนลุกขนพองจนแทบทนไม่ไหว... ”

    กล้องตัดเข้าไปข้างในห้องนอนขนาดเล็กห้องหนึ่ง มีลวดลายประแจจีนกรุอยู่โดยรอบ มีแจกันขนาดใหญ่สองใบอยู่ข้างประตู มีเตียงนอนหลังคาสูงที่แลดูเหมือนไม่เคยถูกใช้มาก่อนหนึ่งหลัง และกรงนกที่ต่อขึ้นอย่างประณีตแขวนอยู่กลางห้อง นกหงส์หยกตัวหนึ่งเกาะอยู่บนคอนอย่างนิ่งสงบ จัสมิน หลิงนั่งอยู่ตรงหน้ากรงนกนั้น เธอสวมชุดกี่เพ้ายาวที่ติดกระดุมกลมจนถึงต้นคอ ท่อนแขนที่พ้นออกนอกเสื้อนั้นขาวเนียนและซูบซีด มีเพียงกำไลหยกที่ข้อมือด้านซ้ายเป็นเครื่องประดับบนเรือนกาย เธอเริ่มต้นสนทนากับนกหงส์หยกในกรง
  • “จะมีชีวิตไปเพื่ออะไรกันหนอ แม้จะมีอาหาร มีที่พักพิง มีความสุขสบายทางกาย แต่กลับไร้ซึ่งอิสรภาพและความสุขทางใจ ฉันกับเจ้ามีสภาพไม่ต่างกันเลย เพียงแต่ฉันส่งเสียงได้ไม่ไพเราะเท่าเจ้า ส่วนเจ้าก็ไม่อาจหลั่งน้ำตาได้เหมือนฉัน”

    เธอหันหลังออกจากกรงแล้วเดินไปที่หน้าต่าง ข้างนอกนั้นมีพระจันทร์เต็มดวง เธอเริ่มต้นร้องเพลงภาษาจีนกลางซึ่งหยิบยืมท่วงทำนองจากเพลง Clair de Lune ของเดอบูซซีอย่างช้าๆ

    เรื่องราวดำเนินต่อไป โจรชั่วสองคนที่ถูกว่าจ้างมาโดยแม่สื่อลักพาตัวจัสมิน หลิงออกจากคฤหาสน์ด้วยความรู้เห็นเป็นใจจากแม่สามี แต่เธอหลบหนีมาได้เพราะมีชายชราผู้มีอาชีพหาของป่าคนหนึ่งช่วยเหลือเธอไว้ แต่แล้วเธอก็ถูกตามพบอีกครั้ง ชายชราผู้นั้นถูกฆ่าปิดปาก จัสมิน หลิงตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการโจนลงในบ่อน้ำลึกกลางป่าเพื่อลบล้างความทุกข์ยากทั้งปวง ร่างของเธอกระทบกับพื้นน้ำในขณะที่สามีของเธอตามมาถึง เขาหยิบรองเท้าผ้าไหมของเธอขึ้นกอดในขณะที่นกหงส์หยกตัวหนึ่งค่อยๆ บินลงจับขอบบ่อ

    ภาพยนตร์เรื่องที่สองดำเนินต่อทันที ในเรื่องนี้ จัสมิน หลิง รับบทเป็นนางเอกงิ้วคณะหนึ่งแห่งกรุงปักกิ่งที่ถูกหมายปองโดยขุนศึกผู้ทรงอำนาจในสมัยปลายราชวงศ์ชิง แต่เนื่องจากเขามีภรรยาอยู่แล้วและต้องการเธอไปเป็นนางบำเรอ จัสมิน หลิง จึงหนีออกจากคณะไปอยู่เมืองชายแดนและร่วมแสดงงิ้วกับคณะที่ใกล้จะล้มละลาย แต่ด้วยความสามารถของเธอ คณะงิ้วกลับพลิกฟื้นขึ้นมาใหม่ ข่าวคราวความโด่งดังของเธอระบือไปถึงเมืองหลวง เข้าถึงหูของขุนศึกผู้นั้น เขาส่งข่าวแจ้งว่าจะตั้งขบวนมารับเธอกลับกรุงปักกิ่งอย่างสมเกียรติ และเธอต้องเข้าพิธีวิวาห์กับเขาอย่างบิดพลิ้วไม่ได้ แต่ก่อนหน้าที่ขบวนของขุนศึกจะเดินทางมาถึง จัสมิน หลิงได้เปิดการแสดงครั้งสำคัญ เธอดื่มยาพิษที่จะออกฤทธิ์ในอีกสองชั่วโมง ซึ่งเมื่อบทเพลงสุดท้ายถูกขับร้องออกจากปาก เธอก็ล้มลงสิ้นใจกลางเวทีท่ามกลางฝูงชนอันเนืองแน่น
  • ในภาพยนตร์เรื่องสุดท้าย จัสมิน หลิงรับบทเป็นสายลับที่ปลอมตัวเป็นชายในกลุ่มกบฎนักมวย ภายใต้การปราบปรามอย่างหนักจากทางราชการและกลุ่มอำนาจตะวันตก จัสมิน หลิงตกหลุมรักผู้ก่อการชายคนหนึ่ง ในการโจมตีครั้งสุดท้าย เธอได้รับแจ้งให้หลบหนีในฐานะสายลับ แต่ในวินาทีที่เพลิงไฟกำลังโหมไหม้ค่ายของพวกกบฎ จัสมิน หลิงได้หวนกลับมาที่ค่ายและขังตัวเองไว้กับชายคนนั้นเพื่อจบชีวิตร่วมกัน

    เมื่อภาพขาวดำบนจอเปลี่ยนเป็นสัญญาณจบการออกอากาศ ผมเหลือบมองดูนาฬิกาข้างฝา เป็นเวลาเกือบสี่นาฬิกาในยามเช้า เกือบหกชั่วโมงแล้วที่ผมนั่งอยู่บนโซฟาโดยไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน มีหลายสิ่งเปลี่ยนไป ต้นไม้ใหญ่ข้างนอกหน้าต่างหักโค่นลงด้วยแรงพายุ มีหยาดน้ำเกาะกระจกหน้าต่างเป็นคราบ

    ผมพยายามเพ่งมองธรรมชาติเหล่านั้นเพื่อความแน่ใจว่ายังคงสติสมบูรณ์อยู่ ผมได้สูญเสียประสาทรับรู้ไปหรือไม่ ผมยังมีชีวิตอยู่ดีหรือเปล่า เมื่อลองคลำชีพจรตนเอง ผมยังมีชีวิตอยู่ ผมมองไปที่กองจานชาม คนเราจะเกิดภาพลวงตาเมื่อหิวโหยจากการอดอาหาร ผมมองไปที่นอกหน้าต่างอันเปียกชื้น คนเราจะเกิดภาพมายาเมื่ออยู่กลางทะเลทราย แต่ผมไม่ได้ตกอยู่ในสภาพเหล่านั้น แล้วเหตุใดภาพของจัสมิน หลิงจึงปรากฏต่อผมได้ต้องเป็นเธอแน่ หรือไม่ก็เป็นใครสักคนที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกับเธอ ผมเดินเข้าไปในห้องนอน เปิดลิ้นชักค้นหารูปภาพของเธอ ผมเสียเวลาอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะนึกได้ว่าข้าวของทุกสิ่งอย่างของจัสมิน หลิงถูกบรรจุลงหลุมฝังศพตามคำขอของเธอจนหมดสิ้น ผมนั่งลงบนขอบเตียงด้วยความผิดหวัง ทำไมถึงทำเรื่องโง่เง่าเช่นนั้นไปได้ ผมควรเก็บบางสิ่งจากเธอไว้ ไม่สิ ผมควรเก็บทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอไว้ ในชีวิตของผมจะมีใครหรืออะไรแทนที่เธอได้ ท่ามกลางความผิดหวังอันมหาศาลนี้เองที่ผมค้นพบว่าไม่มีใครหรือสิ่งใดจะแทนที่เธอได้เลย

    แม้จะได้พักผ่อนแค่เพียงน้อย วันรุ่งขึ้นผมก็ยังตื่นนอนในเวลาเจ็ดโมงเช้าเหมือนเคย ผมเปิดหน้าต่าง หยดน้ำจำนวนมากวิ่งไล่ตามก้านหน้าต่างไปจนสุดบานแล้วไหลลงพื้นเบื้องล่าง ผมทอดไข่ดาวสองใบ ใส่ขนมปังสี่แผ่นลงในเครื่องปิ้ง ต้มกาแฟจนเดือด แล้วก็เริ่มต้นร้องไห้ 

    มันไม่ใช่การร้องไห้แบบเด็กขี้แยหรือการร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง มันอาจเป็นการสะอึกสะอื้นที่มากเกินไป มีอาการจุกในลำคอและช่องอก รู้สึกร้อนผ่าวที่บริเวณขอบตา นอกจากทุกสิ่งที่ดูหนาวเย็นในเช้าหลังจากเกิดพายุใหญ่ น้ำตาของผมอาจเป็นสิ่งเดียวที่มีอุณหภูมิสูงสุด มันอบอุ่นราวกับไข่มุกที่ถูกนำขึ้นมาจากทะเลอันหนาวเหน็บ ผมเช็ดน้ำตาด้วยกระดาษทิชชูข้างมือ แล้วตัดสินใจแปรงฟันที่อ่างล้างจานแทนการเดินเข้าห้องน้ำก่อนลงมือกินอาหารเช้าอันแสนเรียบง่าย 

  • หลังจากร่างกายได้บรรจุสิ่งใหม่ลงตัว ผมรู้สึกดีขึ้นมาก ท้องฟ้าเบื้องนอกเริ่มใสสว่างบ่งบอกถึงการจบสิ้นของพายุ ผมโทรศัพท์ไปที่ทำงาน เป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะลากสังขารในตอนนี้ไปไหว ผมต้องการหยุดนิ่งอยู่กับที่ เพื่อสำรวจโลกรอบๆ ตัวอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง ผมต้องการสำรวจร่างกาย ผมต้องการสำรวจสิ่งของรอบๆ ร่างกาย ผมต้องการสำรวจอาภรณ์ที่ห่อหุ้มร่างกาย ว่าทุกสิ่งยังอยู่กับที่กับทาง นอกจากความคิดและจิตใจของผมที่ถูกโยกย้ายสั่นคลอนแล้ว ของทุกสิ่งควรอยู่กับที่ ทุกสิ่งควรอยู่ตามร่องตามรอยของมัน

    ผมเปิดโทรทัศน์ มีรายการปกติในยามเช้า รายการวิเคราะห์ข่าวทั้งในและนอกประเทศ รายการทำอาหารแบบจีนดั้งเดิม ชีวิตสัตว์รอบบึงเอเวอร์เกลดส์ ทุกรายการในโทรทัศน์เป็นไปตามปกติจนไม่น่าเชื่อว่าคืนที่ผ่านมามันได้ให้ภาพและเสียงที่พิสดารเกินจะเข้าใจ

    ผมแกะหนังสือคู่มือรายการเคเบิลทีวีจากซองพลาสติก ตั้งแต่เป็นสมาชิก ผมไม่เคยแกะมันออกมาดูเลยสักครั้ง เพียงแค่ชมในสิ่งที่มีเท่านั้น ผมตรวจสอบรายการออกอากาศเมื่อคืนก่อนตามช่องและเวลา โปรแกรมสุดท้ายคือ การถ่ายทอดสดเทนนิสเอทีพีทัวร์ ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ไม่มีรายการภาพยนตร์โบราณหรือแม้แต่ภาพยนตร์สมัยใหม่ ผมยกหูโทรศัพท์ไปยังบริษัทเคเบิลทีวี กดตัวเลขบนแป้นเพื่อเข้าสู่การสนทนากับพนักงาน ที่ปลายสายมีเสียงของหญิงสาวผู้หนึ่ง ผมกล่าวคำสวัสดีตอนเช้า

    “ขอโทษที่รบกวนแต่เช้าตรู่ ผมมีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับรายการออกอากาศของคุณ”

    เสียงปลายสายหยุดเงียบไปชั่วครู่

    “ดิฉันได้กระดาษกับปากกาแล้ว คุณมีข้อติชมอะไร”

    “ไม่ใช่เรื่องทำนองนั้น” ผมพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ผมแค่อยากทราบว่ารายการภาพยนตร์ที่ออกอากาศเป็นโปรแกรมสุดท้ายในคืนที่ผ่านมาทางช่อง 69... ” ผมได้ยินเสียงรัวเคาะแป้นคีย์บอร์ด

    “รายการถ่ายทอดสดการแข่งขันเทนนิสเอทีพีทัวร์ ไม่มีรายการภาพยนตร์ทางช่อง 69 ค่ะ”

    “ครับ จากคู่มือมันเป็นตามนั้น แต่บางทีอาจมีข้อผิดพลาดเลยทำให้มีการออกอากาศเป็นพิเศษเพิ่มเติม” ผมพยายามยืนยัน มีความเงียบเหมือนเสียงพักรบในสนามเพลาะเกิดขึ้น

    “รบกวนขอชื่อของคุณด้วย”

    “สมิทธิ... ” ผมสะกดชื่อของตัวเองอย่างละเอียดให้พนักงานเพื่อให้เธอรู้สึกได้ว่าผมมีตัวตนจริงๆ

    “มิสเตอร์สมิทธิ” เธอเรียกชื่อผม “ดิฉันขอแจ้งว่าไม่มีการออกอากาศเพิ่มเติมต่อจากการถ่ายทอดสดที่ว่า หลังจากการแข่งขันระหว่างโรเจอร์ เฟเดอเรอร์ และกิลเยร์โม โคเรียเริ่มไทเบรคในเซ็ตที่ห้าแล้ว เราได้หยุดการออกอากาศอย่างหมดจดราวกับกวาดเมฆทุกก้อนออกจากท้องฟ้า... ”

    อีกครั้งที่คืนผัน วันเปลี่ยน และชีวิตผ่าน แต่คราวนี้ทุกสิ่งไม่เหมือนเดิม

    ถึงแม้ผมจะออกวิ่งระยะยาวในตอนเช้า กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตอนกลางวัน ปรุงอาหารกินเองตอนเย็น และดูรายการเคเบิลทีวีตอนค่ำ แต่ทุกสิ่งกลับไม่เหมือนเดิม คล้ายมีมือทรงพลังคู่หนึ่งแหวกเข้ามาในกะโหลกศีรษะของผม และมือคู่นั้นก็โยกเปลี่ยนก้อนสมองของผมให้ผิดตำแหน่งแห่งที่ จากซ้ายไปขวา และจากขวามาซ้าย ผมไม่อาจมองไปในอนาคต ทุกสิ่งที่ผมมองเห็นและสัมผัสถูกโยนกลับไปข้างหลัง 
  • นอกเหนือจากชีวิตภายนอกที่ดูคล้ายเดิม ผมทุ่มเทห้วงเวลาทั้งหมด ห้วงความคิดทั้งมวลให้กับโลกของภาพยนตร์เงียบในศตวรรษที่ 20 ผมเริ่มต้นค้นคว้าข้อมูลจากทางอินเทอร์เน็ต แล้วเริ่มขยายสู่ห้องสมุดประชาชน สู่ร้านหนังสือ สู่ห้องสมุดในมหาวิทยาลัย สู่สมาคมผู้สร้างภาพยนตร์ แม้การดำลึกลงในข้อมูลเหล่านั้นของผมจะไม่มีคำว่า ‘จัสมิน หลิง’ อยู่ในหัว แต่ผมก็ไม่อาจโกหกตัวเองได้ว่า ‘เธอ’ คือแสงสว่างเดียวเหนือผิวน้ำ อันมืดมิดที่ผมปรารถนาจะพบเจอและได้เห็น

    ศตวรรษที่ 20 เป็นจุดเริ่มต้นของการผลิตภาพยนตร์จากสตูดิโอในเมืองเซี่ยงไฮ้ และถือเป็นยุคทองของภาพยนตร์เงียบแห่งประเทศจีน ตลอดช่วงเวลา 10 ปี มีบริษัทภาพยนตร์ผุดขึ้นกว่าหนึ่งร้อยแห่ง มีภาพยนตร์ถูกสร้างขึ้นเกือบหกร้อยเรื่อง มีดาราหญิงแจ้งเกิดกว่าหนึ่งร้อยคน หญิงสาวเหล่านั้นล้วนมีที่มาหลายหลาก บ้างก็เคยเป็นครู บ้างก็เคยเป็นดารางิ้ว บ้างก็เคยเป็นแม่บ้าน และมีบ้างที่เคยเป็นโสเภณี อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางดวงดาราเหล่านั้น–นามที่โดดเด่นที่สุดแห่งยุคสมัยคือ หูเตี๋ย และ หยวน หลิงอี้

    หูเตี๋ย คือราชินีหนังเงียบคนแรกแห่งจักรวรรดิจีน แม้เธอจะได้รับสร้อยนามอันเกริกไกรแต่นั่นมิได้หมายความว่าจะสามารถปัดเป่าชะตากรรมอันดำมืดที่ครอบงำดาราหญิงทุกผู้คนในยุคนั้น หูเตี๋ยมีสามีเป็นตัวเป็นตนก่อนที่เธอจะเข้าสู่วงการอยู่แล้ว แต่เมื่อเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง เธอก็ถูกบรรดาผู้มีอิทธิพลในโลกภาพยนตร์บังคับให้ยอมเป็นภรรยาลับ เมื่อดิ้นรนปฏิเสธ ครอบครัวของเธอก็ถูกขู่ฆ่า หูเตี๋ยต้องยอมตกอยู่ในฐานะภรรยาน้อยเกือบสามปี ก่อนจะสิ้นชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี 1940

    เพื่อนของหูเตี๋ย—หยวน หลิงอี้ ก็มีชีวิตที่ระทมทุกข์เช่นกัน ในวัยเพียง 16 ปี เธอแต่งงานกับลูกชายของตระกูลใหญ่ที่อุปการะเลี้ยงดูเธอและแม่มา ชีวิตสมรสของเธอไม่ราบรื่นและยืนยาว สามีของเธอนอกใจไปหาผู้หญิงอื่น เธอตัดสินใจเลิกรากับเขา ออกเร่หางานทำ เธอผ่านงานมากมายก่อนจะลงเอยด้วยอาชีพนักแสดงและมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาด้วยการปั้นของสตูดิโอเหลียนหัว เมื่อกองทัพแห่งประเทศญี่ปุ่นบุกเซี่ยงไฮ้ในปี 1931 หยวน หลิงอี้ตัดสินใจหนีออกจากประเทศจีนโดยไม่แจ้งสาเหตุ ก่อนจะกลับสู่เซี่ยงไฮ้อีกครั้งและรับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง หญิงสาวแห่งยุคใหม่ทั้งสาม (Three Modern Women) ซึ่งเป็นหนังของขบวนการฝ่ายซ้ายเรื่องแรกที่ยินยอมให้ผู้หญิงเป็นดารานำ จากนั้นก็ดังเป็นพลุด้วยบทของโสเภณีที่ยอมขายตัวเพื่อเลี้ยงดูลูกน้อยใน แม่ทูนหัว (The Goddess) ก่อนจะรับบทสุดท้ายของชีวิตในหนังประวัติของ อ้ายเจีย ดาราหญิงที่ฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหาชีวิต ในภาพยนตร์เรื่อง หญิงคนใหม่ (New Woman) จากความโด่งดังของเธอทำให้มีคนพยายามจะขุดคุ้ยเรื่องของหยวน หลิงอี้มาตีแผ่เธอทนกับแรงกดดันเหล่านี้ได้ไม่นาน และตัดสินใจฆ่าตัวตายในวันที่ 8 มีนาคม 1935 ความตายของเธอ
    ก่อให้เกิดความตื่นตะลึงกับคนทั่วประเทศ มีแฟนภาพยนตร์สามคนพากันฆ่าตัวตายตาม งานศพของเธอมีผู้เข้าร่วมงานถึงสามแสนคน คิดเป็นความยาวได้เกือบห้ากิโลเมตร หนังสือพิมพ์ เดอะนิวยอร์กไทมส์ เรียกขานงานศพของเธอว่า ‘งานศพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษ’

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in