ก็ผ่านมาจนเกือบจะเดือน 10 แล้ว ปีนี้กราฟสวิงยิ่งกว่าโรลเลอร์โคสเตอร์เลย แต่ช่างมันมาปิดจบท้ายปีให้มันดีทีเถอะ อย่างน้อย ๆ ได้คะแนนพอผ่าน ก็นับว่าเป็นปีที่ดีได้แล้ว
ช่วงก่อนหน้านี้ก็ทำคนเป็นห่วงเยอะ (ไม่ใช่ไม่รู้เสียเลย) แต่ตอนนี้คิดว่าสบายใจขึ้นมากแล้วละนะ ด้วยความช่วยเหลือจากทุกคน (สัมผัสได้อยู่แล้ว) เพราะใส่สุดจนโซเชียลแบตเตอรี่เสื่อม ปุ่มสวิตช์โหมดพัง กลับไปนิ่งเงียบคาดเดายากแบบร่างก่อนอีโว ผีอินโทรเวิร์ตเข้า ไม่สิมันอยู่ของมันอยู่แล้วต่างหาก
นึกถึงย่อหน้าหนึ่งในหนังสือ "หายใจในโลกจริง" ขึ้นมาเลย
"ยิ่งเมื่อดิ่งลึกลงไปแรงดันของน้ำก็ยิ่งทำให้อึดอัดทางเดียวที่จะกลับมาหายใจได้อีกครั้งคือกลับขึ้นเหนือผิวน้ำ กลับสู่อากาศด้านบน ไม่ว่าจะลุ่มหลงอยู่กับความโศกเศร้าผิดหวังเพียงใดก็ตาม เมื่อเท้าคุณแตะถึงก้นมหาสมุทร นั่นคือสัญญาณที่คุณจะต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดดีดตัวเองขึ้นเหนือผิวน้ำ อากาศอยู่บนนั้น ฟ้าสีครามอยู่บนนั้น แสงแดดอยู่บนนั้นและชีวิตคุณอยู่บนนั้น"
หาอะไรสนุก ๆ ทำ นอนพักเยอะ ๆ ออกไปเที่ยว ออกไปวิ่ง ออกไปเดินป่า จะเกิดอะไรขึ้นอีกก็ปล่อยให้เป็นเรื่องในอนาคต เราอยู่ตรงนี้ตอนนี้เท่านั้น กับบางเรื่องที่ควบคุมไม่ได้สุดมือเอื้อมคว้า เราก็เพียงต้องบอกตัวเองให้ปล่อยมันไป คิดถึงเฉพาะสิ่งที่เราคอนโทรลได้
พยายามคิดถึงสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข งานที่เติมเต็มใจเราในปีนี้กลับไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่สำคัญ ไม่มีราคาค่างวด แต่เป็นงานที่เราทำแล้วรู้สึกดีจัง "พี่ทำเหรอ" "โพสต์นี้พี่ทำใช่ปะ" เจอใครก็โดนทัก เราเขินมากแทบไม่กล้าดูงานตัวเองเลย แต่เห็นคนอื่นแชร์ก็ดีใจนะ ภาพช่วงเวลาดี ๆ ที่มีร่วมกัน คิดถึงตอนนั้น ก็มีความสุขจังเลยนะ
เรามีความสุขตั้งแต่คิดคอนเซปต์บรีฟแล้ว เป็นงานที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังญี่ปุ่นที่ชอบมาก ๆ It's a Summer Film! (เกือบจะไม่ได้) ฉายแล้วหน้าร้อนนี้! เพราะภาพฟิล์มที่ทุกคนถ่ายมามันดีมาก จะไม่ให้คนอื่นเห็นได้ไง น่าเสียดาย
กับอีกงานที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน เป็นงานที่ใช้เวลาเขียนนาน 2 วัน ไม่ใช่เพราะมันยากอะไรหรอก แต่เขียนต่อไม่ได้สักที เราแบ่งงานเขียนที่ทำตอนนี้เป็น 2 แบบใหญ่ คืองานเขียนที่ใช้ภาพเล่าเรื่องไปเกิน 70% แล้ว กับงานเขียนที่ต้องอาศัยตัวอักษรเล่าเรื่องเกือบ 100% ซึ่งอย่างหลังเป็นงานที่ยากกว่า ก็เก็บไว้ทำท้าย ๆ และยิ่งงานที่ต้องใช้ Emotion ก็ยิ่งยากต้องอาศัยจังหวะหัวโล่ง ๆ สงบ ๆ หน่อย ธรรมชาติเราชอบทำงานตอนเช้า ก็เขียนงานนั้นตอนเช้าที่โต๊ะที่ทำงานคนเดียวตอนนั้นยังไม่มีใครมา นอกจากโต๊ะข้างหลัง ก็เขียนไปเกือบครึ่งรวดเดียว แต่ไปต่อไม่ได้น้ำตาจะไหลแล้ว คนก็เริ่มทยอยมาแล้ว ก็เลยหยุดเขียน แล้วพอจะเขียนต่อก็เขียนไม่ได้ ต้องตัดอารมณ์ทิ้งไปก่อน คิดว่านี่คืองาน ไม่งั้นก็คงเขียนไม่จบ
พี่โจ้เคยบอกว่าการที่เราไม่ยอมเขียนออกมาสักที เพราะเรากลัวเขียนไปแล้วเจอจุดเจ็บปวด เพราะ Write = Life ก็คงจะจริง แต่พอเขียนเสร็จก็โล่งใจ ได้รับฟีดแบ็กมาว่า อันนี้อ่านแล้วปลงดีครับ โอเคเลย เพราะถ้าคนเขียนไม่รู้สึกคนอ่านจะไม่มีทางรู้สึกได้เลย เราเซ่นมันด้วยความรู้สึกตัวเองไปแล้ว และที่ชอบมาก ๆ เพราะเราได้เขียนถึงหนังที่ชอบ (อีกแล้วเรอะ) ขอบคุณ Perfect Days จริง ๆ กราบสามที
ก็ยังเฝ้ารอดูตอนจบของปีนี้อยู่นะ ไม่ว่าจะเป็นยังไง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in