"เมื่อฉากต่างๆในโลกภาพยนตร์ มาปรากฏอยู่ตรงหน้าคุณจริงๆ"
การเดินทางไปอเมริกาจากประเทศไทยนั้นสามารถทำได้หลายทาง และเเน่นอนว่ารถบัสของ บขส ไปไม่ถึง ผมก็เลยต้องเลือกนั่งเครื่องบินลำเขื่องซึ่งจะเเวะพักที่ฮ่องกง ก่อนจะทะยานข้ามทวีปไปเปลี่ยนเครื่องที่ California และเปลี่ยนเครื่องอีกคำรบเพื่อไปลงที่ Florida เมืองเเห่งหาดทราย สายลม และแสงแดด รัฐที่ถูกขนานนามว่า Sunshine State ซึ่งหมายถึงเมืองแห่งพระอาทิตย์แสนร้อนบัดซบ ไม่ต่างจากสยามเมืองยิ้มเลย (ไหนล่ะหิมะของหนู แง)
โครงการเเลกเปลี่ยนที่ผมเลือก คือ โครงการเเลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ณ Walt Disney World แห่งเมือง Orlando รัฐ Florida นั่นเอง รายละเอียดการเข้าร่วมหรือข้อมูลต่างๆ สามารถหาได้ใน Google หรือเพจ Londonhouse Chiangmai ได้เลย (เอาจริงๆคือขี้เกียจเขียนตอนนี้ เพราะมันยาวยิ่งกว่ากำเเพงเมืองจีน)
สำหรับการทำงานที่นี่ ให้เขียนบรรยายสัก 100 หน้าก็คงจะจบไม่ลง ไว้ถ้าผมว่างๆจะมารีวิวแบบเจาะลึก แต่ตอนนี้ (ก็ว่างนะ) เอาแบบคร่าวๆก่อนนะครับ
ไหนๆก็มาเรื่องนี้เเล้วก็ขอเล่าสักหน่อยดีกว่า ..
สิ่งที่ดีที่สุดในการทำงานที่นี่ ได้แก่ สามารถใช้บริการ Disney World ได้ตลอดสองเดือนครึ่ง เข้ากี่ครั้งก็ได้ ไม่อั้น! เรียกได้ว่าวันไหนมีวันหยุด ก็ไม่ใครยอมนอนพัก เพราะทุกคนต่างเลือกไปพักกายบนเหล่ารถไฟเหาะตีลังกาเเทน (ก็มันฟรีนี่หว่า) แถมยังมีสวัสดิการหอพักพนักงาน (จริงๆเเล้วเป็นอพาร์ทเม้นท์สุดหรูหรา) พร้อมเหล่าซีคิวริตีคอยประจำการตลอด 24 ชั่วโมง! โอ้โห ปลอดภัยเหมือนอยู่บ้านเลย
เอาล่ะครับ ต่อจากนี้เรื่องงานช่างมัน เพราะเป้าหมายของผมชัดเจนอยู่เเล้ว คือ เที่ยว เที่ยว และเที่ยว ดังนั้น ผมจะพาเดินดูรอบๆ Walt Disney World (รีบเดินนะ ต้องไปนิวยอร์กอีก)
ภาพจำของสวนสนุกของดิสนีย์ แน่นอนว่าต้องเป็นปราสาทที่ถอดเเบบมาจากในการ์ตูนเป๊ะๆ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงพุ่งเป้ามายังโซนนี้ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทขนาดเท่าของจริงเเละจับต้องได้
.
.
"Magic Kingdom ดินเเดนเเห่งเวทย์มนต์เเละเทพนิยาย"
สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดสำหรับผม ไม่ใช่ปราสาทขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างอย่างปราณีต แต่เป็นจำนวนของหัวคน! โอ้เเม่เจ้า ต้องเดินอัดกับฝูงพีเพิ่ลนับแสน แดดก็ร้อนจนแทบละลายลงไปกองกับพื้น ทำไมคนมันเยอะขนาดนี้ นี่คงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า Disney World ได้รับความนิยมมากขนาดไหนเป็นเเน่เเท้
และที่เด็ดสุดก็คือ พลุตอนกลางคืน! ซึ่งเป็นฉากที่ทุกคนรอคอย (แน่นอนว่าแออัดยัดเยียดและมองเห็นเเค่คอคนด้านหน้า) เมื่อระฆังตีบอกเวลาสามทุ่ม โลกทั้งใบก็เเทบหยุดหมุน ผมยืนอยู่ตรงกลางถนนที่ทอดไปยังตัวปราสาท ทันใดนั้นเสียง ตู้ม ก็ดังขึ้น ทุกสายตาพลันจับจ้องไปที่จุดเดียวกัน ดังภาพด้านล่าง
"Animal Kingdom อาณาจักสัส เอ๊ย สัตว์"
แอนิมอล คิงดอมเป็นที่ตั้งของ เดอะ เบสท์ ออฟ เดอะ เบสท์ เพลส ซึ่งก็คือสถานที่ที่เรียกว่า Pandora ดาวลอยฟ้าจากเรื่อง Avatar! ใครเห็นเป็นต้องตะลึงว่าสร้างได้ยังไงวะนั่น ไม่ว่าจะเป็นเหล่าหินก้อนยักษ์ที่ลอยอยู่บนฟ้า พืชพันธุ์และสัตว์แปลกๆจากดาวแพนดอรา แถมยังมีเครื่องเล่น 4D Simulator สุดเทพอย่าง Flight of Passage นั่นอีก (เป็นเครื่องเล่นที่จำลองเหมือนตัวเรากำลังขี่ตัว Banshee หรือจิ้งเหลนเวหา ท่องไปในโลกของอวาตาร ทำออกมาได้สวยงามไร้ที่ติสุดๆ)
สิริเวลารวมทั้งหมดที่ 3 ชั่วโมง กับโซนแพนดอรา (เวลาเข้าเเถว 2 ชั่วโมง 45 นาที เวลาเล่นเครื่องเล่น 5 นาที เวลาเดินไปยังทางออกอีก 10 นาที)
"เรียนรู้วิถีแห่งเจไดที่ Hollywood Studio"
จะเรียกได้ว่าที่นี่เป็นทั้งที่ทำงานและที่โปรดของผมเลย เพราะสตาร์วอร์สเป็นสิ่งเดียวที่ผมรู้จักในที่แห่งนี้ ตอนทำงานก็เลยอินมาก ประหนึ่งได้รับเลือกเป็นพาดาวันที่ถูกฝึกสอนโดยอาจารย์โอบีวันเคโนบี สิ่งที่เป็นสตาร์วอร์สในโซนนี้ นับได้ประมาณ 3-4 อย่าง ได้เเก่ Star Tour (3D Simulator จำลองการขี่ยานผจญภัยในอวกาศ), Jedi Training (พาน้องๆไปฝึกฝนการเป็นเจได), Trail of the Jedi (ฉายหนังเรื่องย่อของสตาร์วอร์สทุกภาค เพื่อคนที่ไม่เคยดูหรือดูไม่รู้เรื่อง) และพลุสตาร์วอร์สตอนสามทุ่มสุดอลังการ
"Epcot ที่เดียวเที่ยวทั่วโลก"
เอาเป็นว่าเรารีบเดินออกมาจากดิสนีย์เวิร์ลกันก่อนดีกว่า เดี๋ยวยาว ไว้จะมาเขียนเรื่องชีวิตทำงานสุดลำเค็ญในนั้นวันหลัง (ไม่ขนาดนั้น) สิ่งที่น่าเสียดายแค่สิ่งเดียวตลอดการทำงานที่นี่ ก็คือ ผมพลาดโอกาสการออกไปสำรวจเมืองอื่นในรัฐ Florida เช่น Miami เมืองที่ได้ยินชื่อมาตั้งเเต่เด็กๆ (ชอบหนังเรื่อง Miami Vice มาก) หรือสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งก็คือ Devil's Den อุทยานสระน้ำสีฟ้าเรืองแสงกลางถ้ำลึก (เกือบได้ไปละเชียวแต่ทริปดันเต็มซะก่อน ฮือ)
ดังนั้น ผมจึงใคร่ขอร่ำลา Orlando, Florida ไปด้วยภาพของย่าน Downtown ศูนย์กลางเศรษกิจใหญ่ใจกลางกรุง ทำเลติดทะเลสาบเมืองทองเเละสวนลุมพินีละกันนะ
ในที่สุดก็จบอารัมภบทเสียที ได้เวลาเก็บสัมภาระของท่านไว้ใต้ที่นั่ง ปรับเบาะให้ตรง แล้วเตรียมเเลนดิ้ง
แล้วฉันมาทำอะไรที่นี่? คำถามแรกผุดขึ้นในหัว สองมือลากกระเป๋าใบมโหฬารออกมาจากสนามบิน JFK พร้อมกับเพื่อนในคณะร่วม 10 ชีวิต เคว้งคว้าง ไร้จุดหมาย หันซ้ายหันขวา คนเดินกันขวักไขว่ แล้วจะเดินทางต่อไปยังไงดี เอาวะ ตัดสินใจไปถามหนุ่มมาดนักธุกิจคนนั้นดีกว่า
"Excuse me, I would like to know how to get there... (จิ้มไปที่แผนที่)"
หนุ่มนักธุกิจผิวแทนหุ่นบึ๊กก้มลงไปพิจารณาแผนที่ในมือผม เอามือเท้าคางทำหน้าครุ่นคิด สักพักเอาโทรศัพท์มาปาดซ้ายปาดขวา พี่เขาคงกำลังเปิด Google Map ตาเป็นประกาย พร้อมบอกทางให้เราเเน่ๆ // ทำสายตาอ้อนวอน
"ซอรี่ ซอรี่ เอสปัณญ่อล โน โน อิงลิช"
อ้าว บักหรรม ข้นไสหนิ .. สุดท้ายก็ได้รู้ว่าพี่แกเป็นคนสเปน พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ฮ่วย เเต่ไม่เป็นไร เรายังมีที่พึ่งสุดท้าย มันก็คือ Uber มิตรคู่เรือน เพื่อนคู่ตัว
ในที่สุดเราก็มาถึงที่พักของเราจนได้ เเท่เเด๊ม! ไชน่าทาวน์ เยาวราชนั่นเอง เอง เอง (จะเอ็คโค่ทำไม) สาเหตุที่เลือกพักที่นี่ เพราะมันใกล้กับสะพาน Brooklyn สะพานไม้ชื่อดังของละเเวกนี้ที่เชื่อมย่าน Brooklyn กับเกาะ Manhattan เข้าไว้ด้วยกัน และที่สำคัญ ที่นี่ยังเป็นจุดนัดพบของคณะทัวร์จีนวันพรุ่งนี้อีกด้วย (ผมจะจอยทริปกับคนจีน เป็นทริปตระเวนทั่วนิวยอร์ก แวะไปเมืองอื่นๆ เช่น วอชิงตัน ฟิลาเดลเฟีย และไปน้ำตกไนแองการา ถ้าถามว่าทำไมถึงเลือกทริปลักษณะนี้ แน่นอนว่าเพราะราคาถูก ...)
ในเกาะ Manhattan นี้ เราจะได้สัมผัสความเป็นนิวยอร์กเกอร์จริงๆ ไม่ว่าแหงนหน้ามองไปทางไหนก็เจอเเต่ความศิวิไล ป่าคอนกรีตเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญจนถึงขีดสุด ดังเนื้อเพลงท่อนนี้ในเพลงด้านบน New York, the concrete jungle where dreams are made off
ผมใช้สะพานบรู๊คลินเป็นจุดเริ่มต้นในการเดิน เเละเนื่องจากรีวิวอันนี้ถูกดองไว้นาน ผมจึงขอสารภาพว่าตอนนี้ผมจำทิศจำทางอะไรไม่ได้เเล้ว ดังนั้นการเดินทางต่อจากนี้ คือสิ่งที่ผมเดินไปเจอแบบไม่เรียง Timeline
เอาล่ะ มาเริ่มกันที่ Wall Street ที่ตั้งของศูนย์กลางตลาดหุ้นสำคัญของอเมริกาและของโลกละกัน ผมก้าวเท้ายาวๆมุ่งหน้าไปยังรูปปั้นกระทิง Charging Bull เป็นลำดับแรก เพราะเคยอ่านเจอมาว่า ถ้าใครได้มาลูบไข่เจ้ากระทิงตัวนี้ จะทำให้ร่ำรวยเงินทอง ค้าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า (ทำไมมันดูไท๊ไทย) รับรองว่าจะลูบให้หนำใจ ลูบจนคุณกระทิงขนลุกด้วยความเสียว บรึ๋ย
หลังจากเดินเตร็ดเตร่ทั่ววอลสตรีทก็พบว่า มันไม่น่าใช่ที่ของเรา มองไปทางซ้ายก็เจอเหล่านักธุรกิจผูกไทใส่สูท มองไปทางขวาก็เจอนักธุรกิจใส่สูทผูกไท (เเล้วมันต่างกันยังไง) ว่าเเล้วก็รีบเดินผ่านตึก Empire State และ Fifth Avenue (ถนนช็อปปิ้งชื่อดัง ซึ่งก็ไม่เหมาะกับผมอีก) เพื่อไปยัง Columbus Circle หรือ วงเวียนโคลัมบัส
วงเวียนเเห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่ Christopher Columbus ผู้ค้นพบอเมริกาในยุคล่าอาณานิคมนั่นเอง สาเหตุที่ผมมาที่นี่ ก็เพื่อมาสัมผัสและสูดดมกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ (จริงๆแล้วจะไป Central Park แต่หลงมา)
หลังจากสูดกลิ่นของประวัติศาสตร์จนเต็มปอด ผมรีบคว้ามือถือเพื่อเสิร์ชหา Central Park ซึ่งเป็นจุดหมายต่อไป เสิร์ชไปสักพักก็พบว่ามันอยู่ไม่ไกล แถมยังใกล้กับ American Museum of Natural History จากเรื่อง Night at the Museum อีกด้วย! เหยดด แบบนี้ต้องแวะไปดูสักหน่อย
ผมไม่ได้เข้าไปในพิพิธภัณฑ์นะครับ เพราะมีแพลนจะไปที่ Smithsonian อยู่แล้ว หลังจากกล่าวอำลา ปธน. รูสเวลท์ ผมก็เดินข้ามมายังอีกฟากของถนน เพื่อเข้าสู่ Central Park สวนสาธารณะขนาดมหึมา เรียกได้ว่าเป็นปอดของมหานครนิวยอร์กโดยเเท้จริง นี่เป็นที่ที่ผมอยากมามากๆ เพราะอยากรู้ว่ามันจะเหมือนกับสวนลุมบ้านเราหรือเปล่าวะ?
สรุปคือไม่เหมือนสวนลุมสักทีเดียว เพราะไม่มีตัวเงินตัวทองเเละขยะเป็นหย่อมๆ ส่วนขนาดของ Central Park เหมือนจะใหญ่กว่ามาก เรียกได้ว่า ถ้าจะเดินให้ทั่วนี่คงต้องใช้เวลาสักครึ่งวันเป็นอย่างน้อย
ต่อไปก็ถึงคิวของ Metropolitan Museum หรือที่มีชื่อย่อว่า MET เป็นสถานที่จัดงานรวมเซเล็บสุดยิ่งใหญ่ หรือ Met Gala Dinner! น่าเสียดายที่ตอนผมไป ไม่เจอดาราเลยสักคน (ก็เเหงล่ะ) ถึงกระนั้นผมก็ไม่ได้เข้าไปด้านใน เพราะค่าเข้าค่อนข้างเอาเรื่องอยู่ (ยังยืนยันว่าจะรอเข้าฟรีที่สมิธโซเนียน เหอๆ) เลยไปเดินดูบริเวณรอบๆพิพิธภัณฑ์แทน ซึ่งตึกในบริเวณนี้ได้ถูกจัดเป็นเขตอนุรักษ์สถาปัตยกรรม ทำให้สัมผัสได้ถึงความ Classic เเละความงดงามของบ้านในสมัยก่อน แม้อากาศจะร้อนชิบหัยเลยจ้า
เดินถ่ายรูปจนพลบค่ำ ก็ได้เวลาของ Time Square จัตุรัสแห่งแสงสี ดูจากแผนที่ Subway จะเห็นว่า ไทม์สเเควร์อยู่ไม่ไกลจากฟิฟต์อเวนิวเท่าไหร่ ผมเลยตัดสินใจเดินจาก MET นี่แหละ หึ รถไฟใต้ดินเหรอ ไม่ได้แอ้มชั้นหรอก! (เพราะงก)
ได้อ่านคำแนะนำมาจากหลายเว็บไซต์ เกือบทุกเว็บพูดตรงกันว่า ให้ระวังทรัพย์สินของท่านให้ดี เพราะมีมิจฉาชีพแฝงตัวปะปนอยู่ทุกซอกหลืบ และพยายามอย่าไปถ่ายรูปกับเหล่า Mascot เพราะจะโดนไถเงินได้อ่านมาเเบบนี้เเน่นอนว่าผมเอากระเป๋ามากอดไว้ด้านหน้าและไม่กล้าเดินไปใกล้ๆพวกมาสคอตเลย
"แสงสีในยามราตรีของ Time Square ปิดฉากการเดินเที่ยวนิวยอร์กในวันนี้อย่างสมบูรณ์"
.
.
เนื่องจากภูมิลำเนาของผมอยู่ที่จังหวัดกระบี่ ภาพของทัวร์จีนที่มาเที่ยวทะเลจึงเป็นภาพที่หาดูได้ไม่ยาก มีนกหวีดเป่า มีธงโบกสะบัด ไกด์เดินฉับๆ ลูกทัวร์เดินสะเปะสะปะ ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว แต่วันนี้ ผม ในฐานะผู้สังเกตการณ์ดันกลายมาเป็นลูกทัวร์ซะเอง เเค่คิดก็สนุกแล้ว วะ ฮะ ฮ่า
แต่แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เมื่อรถบัสของทัวร์ดันออกไปซะเเล้ว! ชิบหัยล่ะทีนี้ ผมเเละน้องๆที่มาด้วยกันต่างยืนงงเป็นไก่ตาเเตก หลังจากนั้นก็งงเข้าไปอีก เพราะรถบัสทัวร์ดันลืมไกด์ไว้เหมือนกัน! อ้าว สรุปว่าไกด์สาวชาวจีนกับคณะของพวกเราพร้อมกระเป๋าใบยักษ์ต้องยืนตากฝนรอรถบัสที่จะวนมารับในอีกครึ่งชั่วโมง (เสียเวลาไปกับการกลับรถ ฮ่วย)
น้ำตาเกือบไหลอาบแก้ม ที่ที่เเรกที่ทัวร์พามาก็คือ Statue of Liberty หรือ เทพีเสรีภาพ! แม้เธอจะโดนทำลายไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งในหนังนับร้อยเรื่อง เธอก็ยังคงยืนตระหง่านท้าทายสายตาชาวโลก นี่แหละตัวอย่างของเทพีสู้ชีวิต ในที่สุดก็มีบุญได้มาเจอตัวจริง เสียดายน่าจะขอลายเซ็นต์ไว้ เห้อ
และอีกเรื่องที่ทำให้น้ำตาไหลอาบแก้มก็คือ การที่ได้มาล่องเรือบนแม่น้ำ Hudson แห่งนี้ เพราะนี่เป็นแม่น้ำเดียวกันกับแม่น้ำในหนังเรื่อง Sully ที่แสดงนำโดย ทอม แฮงค์ กำกับโดย คลินท์ อีสต์วูด! (กำลังอินเลยเพราะตอนนั้นดูหนัง Sully ตอนอยู่บนเครื่องก่อนมานิวยอร์ก)
พิพิธภัณฑ์จะเเบ่งเป็นหลายส่วนมาก ทั้งด้านยานพาหนะเเละอวกาศ ศิลปะ รวมไปถึงพิพิธภัณฑ์ปราสาท (ชอบปราสาทมาก สวยงามตามท้องเรื่อง)
พอเดินออกมาจาก Smithsonian มองไปทางขวา แทบกรี๊ด เพราะ มันคือตึกรัฐสภา (มั้ง) ที่เห็นในหนังหลายเรื่องมากๆ แถมทางด้านซ้ายยังมี Lincoln Memorial Hall และ George Washington Memorial Hall อีก คอหนังอย่างผมตายตาหลับเเล้วล่ะชาตินี้ ไม่รู้จะไปเดินสำรวจที่ไหนก่อนดี ตื่นเต้นที่สุด
พวกเราร่ำลาวอชิงตันด้วยความอิ่มเอม ต่างคนต่างนอนหลับพักผ่อนเอาเเรงเพื่อไปลุยน้ำตกไนแองการาในวันถัดมา ได้ยินมาว่าเราต้องนั่งรถไปไกลหลายชั่วโมง
ยังไม่ทันได้หลับ รถบัสของเราก็มาเเวะที่เมือง Boston รัฐ Massachusetts เพื่อให้ลูกทัวร์ไปเดินเล่นที่ Harvard University! โคตรเท่ ผมนี่รีบวิ่งไปลูบรองเท้าของรูปปั้นผู้ก่อตั้ง Harvard ทันที เพราะว่ากันว่า ถ้าใครได้มาลูบรองเท้าทองของรูปปั้น อนาคตจะได้เป็นนักศึกษาของที่นั่นจริงๆ
ในที่สุดก็มาถึง Highlight ของทริปในครั้งนี้ มันก็คือ Niagara Fall น้ำตกขนาดมหึมาที่ครอบคลุมไปยังพรหมเเดนของประเทศแคนาดา หลังจากนั่งรถบัสมาทั้งวันจนระบมไปทั้งตัว พวกเราก็กระโดดขึ้นเรือโดยสาร Maid of the Mist ที่ให้บริการพาเที่ยวชมน้ำตกอย่างใกล้ชิด
ก่อนขึ้นเรือ ผู้โดยสารทุกคนจะได้รับเสื้อกันฝนกันเปียก เเละเสื้อกันฝนตัวนี้ Made in Thailand ซะด้วย! แหม่ โกอินเตอร์ไปอีก
เสียงน้ำปริมาณมหาศาลตกกระทบกับผืนน้ำเบื้องล่าง ก่อให้เกิดเสียงดังคล้ายพสุธากัมปนาท ละอองน้ำสาดกระเซ็นจนทุกคนบนเรือเปียกไปตามๆกัน ถึงกระนั้น บนใบหน้าของทุกคนปรากฏรอยยิ้มเเห่งความสุข ความสุขที่ได้มาสัมผัสพลังแห่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีมนุษย์ผู้ใดเทียบเทียม (แหม่ ทำเป็นใช้พรรณาโวหาร)
ใกล้ๆกับน้ำตกไนแองการายังมีป้อมปราการโบราณ Niagara Fort ที่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์อีกด้วย ไกด์อนุญาตให้ลูกทัวร์ไปเยี่ยมชมกันได้ตามอัธยาศัย
"และเเล้วเราก็โบกมือลาน้ำตกสองประเทศเเห่งนี้ ก่อนจะกลับไปยังนิวยอร์ก"
.
.
หลังจากแยกกับคณะทัวร์ นั่นหมายความว่า เวลาของผมที่นิวยอร์กกำลังจะหมดลง ผมเลือกพักที่ย่าน Brooklyn เพราะอยากดูวิถีชีวิตของชาวเมือง อยากจะรู้ว่าพวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างไรในเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมากมายหลายตาจากทุกมุมโลกมาเยี่ยมชมกันตลอดทั้งปี ผมเดินไปยังสวนสาธารณะ ดูหลายครอบครัวทำกิจกรรมด้วยกัน บ้างก็นั่งปูเสื่อทานข้าว บ้างก็เตะฟุตบอล บ้างก็นำเต้นแอโรบิก
ผมเองก็มีครอบครัวที่รอให้ผมกลับไปหาเหมือนกัน คิดถึงบ้านเหลือเกิน ไม่ได้กลับร่วมสามเดือนเลยเหรอเนี่ย
ผมหันไปมองพระอาทิตย์ที่ค่อยๆเคลื่อนลงจากเส้นขอบฟ้า หวังว่าครอบครัวและคนรักของผมจะกำลังมองดูพระอาทิตย์ตกอยู่ตรงที่ใดที่หนึ่งในอีกซีกโลกเหมือนกัน
แล้วพบกันอีกในบทความต่อไปนะครับ
ความเดินตอนที่เเล้ว
- เมื่อความฝันอยู่ใกล้ตัว เลยขอนั่งรถทัวร์ไปนครวัด! https://minimore.com/b/nK9QT/1
- มาเล ... มาทำไม (วะ) !? https://minimore.com/b/nK9QT/3
- ศิลปะบนผืนผ้า https://minimore.com/b/nK9QT/2
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in