ในช่วงเดือนที่ผ่านมาโซเชียลระอุไปด้วยซีรีส์เสียดสีสังคมสุดแซ่บเผ็ดจนต้องซี้ดปากอย่างเรื่อง The White Lotus ที่เล่าถึงเรื่องราวการไปเที่ยวพักผ่อนตามประสาของผู้มีอันจะกินบนเกาะฮาวายในโรงแรมที่มีชื่อว่าไวท์ โลตัส (White Lotus)
ที่โรงแรมแห่งนี้พนักงานเป็นชาวเมืองพื้นถิ่น ซึ่งถูกเทรนด์มาให้เป็นผู้ให้บริการชั้นยอดสำหรับแขกผู้ลากมากดีทั้งหลาย ให้ได้พบกับประสบการณ์สุดแสนเพอร์เฟกต์บนเกาะสวรรค์แห่งนี้
เรื่องราวเปิดขึ้นด้วยฉากการโหลดโลงศพเข้าใต้เครื่องบิน โดยมี เชน (Jake Lacy) หนุ่มผิวขาว ลูกเศรษฐี ขี้แหง่ การศึกษาดี เอาแต่ใจ ยืนมองโลงศพเคลื่อนผ่านเข้าสู่ใต้เครื่องบินอยู่ พร้อมกับเสียงสนทนาจากคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งบนเกตใกล้กับเขา พูดคุยถึงเรื่องมีคนเสียชีวิตที่โรงแรมไวท์ โลตัส
หลังจากนั้นเรื่องราวจะพาคนดูย้อนกลับไปถึงวันแรกของทริปสู่เกาะสวรรค์ เริ่มต้นที่คู่รักข้าวใหม่ปลามัน เชนและเรเชล (Alexandra Daddario) ที่วางแผนจะมาฮันนี่มูนบนเกาะแห่งนี้ แต่ทริปสุดแสนโรแมนติกกลับกลายเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตรักของทั้งคู่
ตามมาด้วยสาวใหญ่ มนุษย์ป้าทอนย่า (Jennifer Coolidge) เศรษฐีนีผู้พึ่งจะสูญเสียแม่ไป เธอวางแผนจะมาโปรยอัฐิบนฝืนมหาสมุทรแปซิฟิก ทอนย่าเชื่อว่าเงินคือสิ่งที่แก้ปัญหาในชีวิตทั้งหมดของเธอได้ แม้กระทั่งการซื้อความสัมพันธ์จากคนอื่นๆ
และสุดท้ายคนดูจะได้เห็นครอบครัวมอสบาเกอร์ ครอบครัวผิวขาวตามแบบฉบับของอเมริกัน ที่มีคุณแม่สุดเพอเฟ็กต์ ซีอีโอสาวที่ประสบความสำเร็จทั้งด้านชื่อเสียงทางสังคมและรายได้ อย่างนิโคล (Connie Britton) กับคุณพ่อ มาร์ค (Steve Zahn) ที่คิดว่าตัวเองเป็นมะเร็งอันฑะและใกล้จะตาย แถมเขาต้องมาค้นพบเรื่องราวสุดดำมืดของครอบครัวตัวเองพร้อมกับลูกสาวสุดเปรี้ยว โอลิเวีย (Sydney Sweeney) ผู้คิดว่าตัวเองนั้นปฏิบัติกับคนเชื้อชาติอื่นๆ ต่างจากคนขาวทั่วๆไป และลูกชาววัยรุ่น ควินน์ (Fred Hechinger) ที่ไม่สนใจอะไรนอกจากไอโฟนและเกม พ่วงมากับพอลล่า (Brittany O'Grady) เพื่อนสาวของโอลิเวีย ที่ติดสอยห้อยตามครอบครัวมอสบาเกอร์มาเที่ยวที่ฮาวายด้วย แถมเธอยังเป็นแขกผิวดำคนเดียวของโรงแรมแห่งนี้
ต่อจากนั้นกล้องจะแพลนไปให้เห็นถึงกลุ่มพนักงานโรงแรมที่ต้องสวมยิ้มบนใบหน้า โบกไม้โบกมือให้กับเหล่าแขกผิวขาวที่จะมาเยื่อนบนพื้นดินซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านของพวกเขา
“You have to treat these people like sensitive children.”
Armond, The White Lotus, Season 1:
การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างเนิบนาบ แต่ไม่ได้น่าเบื่อเลยสักนิด ตัวซีรีย์มีเสน่ห์เฉพาะตัวและส่งพลังงานประหลาดๆ ออกมาตลอดทั้งเรื่อง เหมือนกับเราถูกดึงดูดด้วยเรื่องราวของเหล่าตัวละครเหล่านี้ ผสมผสานไปด้วยความเป็นดาร์กคอมเมดี้ที่เป็นเอกลักษณ์ชัดเจน Mike White ผู้กำกับและอำนวยการสร้างได้ปรุงซีรีส์เรื่องนี้ออกมาเป็นจานที่มีส่วนผสมประหลาดแต่รสชาติถึงพริกถึงขิง บรรยากาศในเรื่องให้มูทแอนด์โทนเน้นไปทางสีส้มและเหลืองเหมือนหมู่เกาะเขตร้อน
ถึงยังไงก็ตามแต่สิ่งที่เป็นใจความหลักของเรื่องของที่ดูจะร้อนแรงยิ่งกว่าแดดบนเกาะฮาวาย คือการเสียดสีความเป็นอภิสิทธิ์ชนของกลุ่มคนขาว ผู้ร่ำรวย (White Privilege) เหล่าแขกในโรงแรมไม่ว่าจะมีพื้นเพมาจากไหน มีนิสัยพื้นฐานยังไง เขาเหล่านั้นล้วนมีสิ่งที่เหมือนกันนั้นคือถูกระบุว่าเป็น "คนขาว" และการเป็นคนขาวนี้เองที่ทำให้พวกเขาคิดว่าสามารถเปิดประตูบานไหน ๆก็ได้บนโลกและฉกฉวยเอาสิ่งต่างๆจากกลุ่มคนชนชาติและสีผิวอื่นๆได้ และที่น่าตลกร้ายกว่าคือพวกเขาไม่คิดแม้แต่จะสำนึกหรือละอาย เพียงแค่หดหู่แทนคนต่างชนชาติและต่างสีผิวก็เท่านั้น
“Look, obviously imperialism was bad. Shouldn’t kill people, steal their land, and then make them dance. Everybody knows that. But it’s humanity.”
Mark Mossbacher, The White Lotus, Season 1
ไม่เพียงแต่ฉกฉวยเอาแต่พื้นดินถิ่นที่อยู่ของชาวพื้นเมืองมาสร้างสถานที่พักผ่อนสำหรับพวกเดียวกันเองแล้ว แต่ยังฉกฉวยเอาคุณค่าความเป็นมนุษย์ของชนชาติอื่นๆ ตัวละครผิวขาวในเรื่องคือภาพสะท้อนของปัญหาเอกสิทธิ์ทางสังคมซึ่งให้ประโยชน์แก่คนขาวมากกว่าคนสีผิวอื่นๆ เหล่าคนขาวที่ร่ำรวยพวกนี้ รับรู้ถึงอำนาจและอภิสิทธิ์ที่ตนเองได้รับ พวกเขาใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องมือเพื่อกดให้คนอื่นให้ปฏิบัติตามสิ่งที่ตัวเองต้องการ เนื้อเรื่องเล่าผ่านภาพที่เห็นกันอยู่ในทุกเอพพิโซด นั้นคือภาพคนผิวดำ ผิวเหลืองและผิวน้ำตาล ถูกจัดอยู่ในกลุ่มพนักงานที่ค่อยบริการ ในขณะเหล่าคนผิวขาวเป็นกลุ่มผู้ใช้บริการ กลุ่มผู้ซึ่งที่มาพร้อมกับปัญหาจุกจิกที่ไม่ว่าจะเล็กใหญ่แค่ไหน เหล่าคนขาวพวกนี้จำเป็นต้องให้พนักงานเป็นผู้แก้ไขปัญหากวนใจให้ทุกครั้งไป
โดยคนรับหน้าหลักอย่างผู้จัดการโรงแรมที่ชื่อ อาร์มอนด์ (Murray Bartlett) ผู้ซึ่งเคยมีประวัติติดยาเสพติดมาก่อนและเขาเลิกยามาได้แล้วถึงห้าปี เขายอมหันหลังกลับไปพึ่งยาและแอลกอฮอล์อีกครั้ง ความปวดประสาทของเหล่าคนขาวที่สั่นรั่วถึงเจ็ดริกเตอร์ส่งผลให้อาร์มอนด์ผู้จัดการที่ทำหน้าที่ได้อย่างดีเสมอมา เข้าสู่ภาวะสติแตก (Nervous Breakdown)
หรืออย่าง เบลินดา (Natasha Rothwell) ผู้จัดการแผนกสปา ผู้ค่อยเป็นที่พึ่งพาและรับฟังปัญหาของเหล่าคนผิวขาวมาทั้งชีวิตการทำงานของเธอ เธอต้องทนแบกรับเรื่องราวและให้คำแนะนำคนเหล่านั้น ที่เห็นเธอเป็นแค่เพื่อนชั่วคราวไว้ค่อยปรับทุกข์ และจ่ายทริปให้เธอเป็นของกำนันตอบแทนความสัมพันธ์ระยะสั้น
และในบทสรุปของเรื่องได้ฝากความว่างเปล่าในจิตใจของคนดู ถึงเรื่องราวระหว่างชนชั้นของคนขาวและคนสีผิวที่ต่างออกไป กงล้อของความไม่เท่าเทียมก็ยังจะคงหมุนของมันต่อไปอย่างไม่จบสิ้น เมื่อคนขาวย่างก้าวขึ้นมาบนเกาะสวรรค์แห่งนี้ พร้อมกับนำเอาพายุความโกลาหลมาปล่อยลงกลางเกาะ และท้ายที่สุดพวกเขาก็จากไป เหลือทิ้งไว้แต่เพียงซากความเสียหายในจิตใจของทุกชีวิตที่ต้องอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้ เหล่าพนักงานที่ต้องปั้นยิ้ม โบกไม้โบกมา พร้อมรอรับกับพายุลูกใหม่ที่เหล่าแขกผู้ลากมากดีทั้งหลายจะนับพามาสู่พวกเขา คงจะมีเพียงแต่ความตายเท่านั้นที่จะปลดเปลื้องพวกเขาจากกงล้อที่ผูกติดไว้กับเหล่าคนขาว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in