เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
HOW I LOVE MY MOTHERBUNBOOKISH
01: เจ็บคือสัญญาณของการเริ่มต้นใหม่
  • วันนี้เพื่อนโทร.มาคุยเรื่องธีมประจำเดือนของนิตยสารที่ตัวเองทำงานอยู่ ว่าด้วยเรื่อง ‘A day that changed my life’

    เราเลยย้อนนึกถึงชีวิตตัวเอง ว่าวันที่เปลี่ยนชีวิตเราไปแบบไม่มีวันเหมือนเดิมก็น่าจะเป็นเมื่อเกือบเก้าปีที่แล้ว วันที่แม่ล้มตึงไปต่อหน้า แต่ถ้าจะพูดให้ลึกและละเอียดลงไปกว่านั้น เราว่าที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่วันนั้นซะทีเดียว...

    วันนั้นเป็นอีกวันที่แสนจะเรียบง่าย เราสองคนแม่ลูกใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านกันตามปกติ เรานอนเล่นอยู่บนห้อง ส่วนแม่ก็ทำงานอยู่ที่ชั้นล่างซึ่งใช้เป็นโฮมออฟฟิศ

    ตกเย็น เราได้ยินเสียงแม่ตะโกนเรียกเราให้ลงไปหา เราเลยเปิดประตูห้องนอนแล้วตะโกนตอบกลับไปว่า

    “มีอะไรก็พูดมาเลย!”

    ไม่มีเสียงตอบกลับ…

    แต่สิ่งที่ตามมาหลังความเงียบคือเสียงคล้ายเก้าอี้ล้ม และเสียงคนในออฟฟิศตะโกนเรียกเราแทนคำตอบจากแม่

    ชั่วพริบตา เราซอยเท้าวิ่งลงบันไดมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

    ภาพที่เห็นคือแม่นอนอยู่กับพื้น ตัวแข็งเกร็ง ปากเบี้ยว ได้แต่ส่งเสียงพูดอ้อแอ้ที่จับใจความได้ไม่เป็นประโยค
  • วินาทีนั้นทุกอย่างดูสับสนและอื้ออึงไปหมด ได้ยินแต่เสียงคนในออฟฟิศบอกกันว่าให้รีบพาแม่ไปโรงพยาบาล

    หลังจากพาแม่มาถึงโรงพยาบาล เราก็รออยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินอีกพักใหญ่ แต่ผ่านไปหลายชั่วโมงก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า หมอยังไม่ออกมาบอกว่าแม่เป็นอะไรสักที พี่ๆ จึงบอกให้เรานั่งแท็กซี่กลับไปรอฟังข่าวที่บ้านแทน

    แต่นอกจากแม่ ใครจะรู้ว่ามันเป็นการนั่งแท็กซี่คนเดียวครั้งแรกในชีวิตของเรา

    เรากลับมาถึงบ้านแล้วรู้สึกว่าบ้านทั้งหลังมันเงียบไปหมด เราไม่เคยอยู่บ้านคนเดียวโดยไม่มีแม่อยู่ด้วยในเวลาดึกขนาดนี้มาก่อน เราหอบร่างตัวเองเดินขึ้นห้องนอน สมองสั่งการให้พยายามทำทุกอย่างเหมือนเช่นที่เคยทำทุกวัน แต่เมื่อเข้านอนแล้วก็ยิ่งรู้สึกหดหู่

    วันนั้นที่นอนข้างๆ ว่างเปล่า...

    เราจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่ค่อยได้ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเวลาผ่านไปนานมากแล้วจริงๆ หรือเป็นเพราะหัวใจไม่กล้าจำกันแน่

    ตั้งแต่เกิดเรื่อง จำได้แค่ว่าเราร้องไห้ไม่ออกอยู่เกือบสามวัน คิดว่ามันคงเป็นอาการช็อกและชาต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คล้ายเวลาเกิดอุบัติเหตุแรงๆ แล้วเราไม่ทันได้รู้สึกเจ็บแต่มันชา ไม่อยากรับรู้เรื่องราว คล้ายยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หรือไม่ก็กำลังหลอกตัวเองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่จริง

    แต่คนเราหลอกตัวเองได้ไม่นาน พอย่างเข้าวันที่สี่ ในที่สุดเราก็เริ่มยอมรับว่ามันเกิดขึ้นจริง และแม่คงไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว
  • หลังจากนั้นเราก็เหมือนเด็กเสียสติ เดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็ซึมเศร้า เดี๋ยวก็พยายามทำตัวเป็นปกติ เรารู้สึกเหมือนมีใครมาเขย่าโลกทั้งใบอย่างรุนแรง แล้วสุดท้ายทุกอย่างก็ดับมืดไป ไม่รู้เลยว่าจากนี้ควรจะทำอย่างไรต่อ

    เราได้แต่โทร.ไปเช็กอาการของแม่ที่ห้องไอซียู โทร.ไปบ่อยจนแค่พยาบาลได้ยินเราพูดว่า ‘ฮัลโหล’ ก็จำเสียงได้ และรู้เลยว่าจะถามอาการห้องไหน

    เราไปเยี่ยมแม่ทุกวัน แม้จะต้องทนกับบรรยากาศที่ชวนหดหู่ของโรงพยาบาลที่มีแต่กลิ่นยาฆ่าเชื้อ และสายระโยงระยางของอุปกรณ์การแพทย์เต็มไปหมด

    จำได้ว่าช่วงที่แม่เข้าโรงพยาบาลเป็นช่วงหลังจากเกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตกที่จังหวัดภูเก็ต ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บที่เป็นชาวต่างชาติถูกส่งตัวเข้ามารักษาที่ห้องไอซียูเป็นจำนวนมาก หันไปทางไหนก็เจอแต่ความเศร้าโศกและผู้คนที่สวดไบเบิล เราไม่ชอบบรรยากาศแบบนั้น และตอนนั้นเราก็ไม่อยากทำอะไรเลย นอกจากอยากพาแม่ออกมาจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด

    ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น ไม่มีใครบอกเราว่าแม่เป็นอะไร หมอทำการรักษาแม่ไปถึงไหน และทำไมแม่ถึงไม่ได้กลับบ้านสักที

    ช่วงเดียวกันนั้นเองที่ญาติๆ ตัดสินใจส่งเราไปเข้าค่ายผู้มีความสามารถพิเศษทางด้านภาษาไทยที่โรงเรียนจัดให้ไปทำกิจกรรมที่ต่างจังหวัดในช่วงปิดเทอมพอดี

    เราเองก็ไม่รู้หรอกว่าวิธีนั้นจะช่วยทำให้เราหายเศร้าได้หรือเปล่า รู้แต่ทุกคนคงอยากให้เราไปใช้เวลากับเพื่อนสักพักจะได้ไม่ต้องคิดมาก
  • แต่พอไปจริงๆ แล้ว เรารู้เลยว่าตัวเองไม่ใช่คนที่จะหายเศร้าได้จากการพยายามทำตัวให้มีความสุข

    เรานั่งร้องไห้ตลอดการเดินทาง ระหว่างทางพวกเราต้องแวะไหว้พระที่วัดแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเราถึงเพิ่งจะเข้าใจคำพูดของผู้ใหญ่ที่บอกว่า วัดคือที่พึ่งทางใจสุดท้ายของคนสิ้นหวัง เพราะวันนั้นเราเองก็ไหว้พระและตั้งใจมากในการอธิษฐานให้แม่หายดี

    แม้แต่ในช่วงเวลาทำกิจกรรมที่ทุกคนเขาสนุกสนานกัน เราก็ยังมีแต่ความพะว้าพะวัง ไม่มีแก่ใจจะออกไปเล่นสนุกกับเพื่อนๆ คอยแต่จะหามุมสงบสักมุมภายในที่พักเพื่อนั่งคลุมโปงสวดมนต์ให้แม่

    แล้วที่ค่ายนั่นเองที่โทรศัพท์มือถือของเราดังขึ้น เป็นสายจากอี๊ (น้องสาวแม่) ที่โทร.มาบอกเราว่าการผ่าตัดของแม่ผ่านไปด้วยดี

    ผ่าตัด?

    ผ่าตัดอะไร?

    วันนั้นเราถึงได้รู้ว่าแม่ป่วยเพราะเส้นเลือดในสมองแตกเนื่องจากความดันสูง หมอจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อใส่ท่อเข้าไปเชื่อมเส้นเลือดที่แตก ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้มีการเจาะหัวเพื่อระบายเลือดคั่งไปแล้วหนึ่งรอบ แต่ทุกคนกลัวว่าเราจะรับไม่ไหวก็เลยไม่ได้บอก

    อี๊ย้ำอีกครั้งว่าไม่ต้องเป็นห่วง เพราะตอนนี้ทุกอย่างโอเคหมดแล้ว
  • อะไรคือทุกอย่างโอเคหมดแล้ว!?

    แม่ถูก ผ่า-ตัด-ใส่-ท่อ-เข้า-ไป-ใน-หัว ตอนที่เราไม่อยู่ โดยที่ไม่มีใครมาบอกหรือมาถามอะไรเราเลย

    นี่เหรอที่บอกว่าโอเค...

    อี๊อธิบายให้เราฟังอย่างใจเย็น ว่าญาติทุกคนลงความเห็นให้หมอผ่าตัด เพราะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยแม่เอาไว้ได้ และไม่แน่ใจด้วยว่าถ้ารอมาถามเราก่อน เราจะกล้าตัดสินใจจริงๆ หรือเปล่า
    ...

    อืม… ก็คงจริงอย่างที่อี๊พูด แค่คิดภาพว่าจะมีคนเข็นแม่เข้าไปในห้องผ่าตัด ไม่ต้องถึงขั้นกรีดมีดลงบนหัวแม่ แค่นั้นหัวใจเราก็เหมือนจะรับไม่ไหวแล้ว

    พอกลับถึงกรุงเทพฯ เรารีบเดินทางไปหาแม่ที่โรงพยาบาลทันที วันนั้นห้องที่แม่นอนอยู่เงียบมาก แม้แต่เสียงหายใจของแม่ก็เบาบางจนแทบไม่ได้ยิน มีเพียงเสียงติ๊ดเบาๆ ของมอนิเตอร์บอกชีพจรที่ดังอยู่เป็นระยะ

    ราวกับกำลังบอกเราให้นับถอยหลังสู่การเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง...

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in