ประสบการณ์เป็นคนตาบอดครั้งแรกในชีวิตเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งของเรา เป็นนิทรรศการดีๆ อยากมาแนะนำค่ะ นิทรรศการชื่อว่า 'บทเรียนในความมืด' เป็นสถานที่ที่จะให้เราเข้าไปในห้องที่มืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไรเลย ทดลองใช้ชีวิตเป็นคนตาบอดเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เราได้ลองทำอะไรแบบนี้ ตอนแรกเรารู้สึกกลัวสิ่งลี้ลับในนั้นมาก แต่น้องพนักงานคนที่แนะนำก่อนเข้าก็บอกว่าข้างในปลอดภัย จะมีพี่ไกด์คอยดูแลช่วยเหลือเรา และก่อนเข้าไปข้างในเราก็จะได้รับ 'ไม้เท้าขาว' เพื่อใช้ในการคลำทาง ต้องถอดอุปกรณ์ต่างๆที่สามารถเรืองแสงได้ออกเก็บไว้ให้หมด ในนั้นเราจะพกอะไรเข้าไปไม่ได้ นอกจากกุญแจล็อคเกอร์เก็บของ และเงินจำนวนไม่เกิน 100 บาท เพื่อซื้อของข้างใน น้องพนักงานทำการกดเจลล้างมือให้เราเตรียมพร้อม
ในนั้นเราต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นนอกจากตา เพื่อใช้ในการสำรวจ เช่น มือในการสัมผัส หูในการฟัง จมูกในการดมกลิ่น ทำนองนี้ น้องพนักงานพาเรากับเพื่อนไปส่งที่ทางเข้า แล้วพี่ไกด์ที่คอยนำทางในนั้นมารอรับอยู่ มันมืดมาก ทั้งๆ ที่เราลืมตาอยู่แต่กลับไม่เห็นอะไรจริงๆ
เหตุการณ์หลังจากนี้เป็นการเล่าถึงเหตุการณ์ข้างในบางส่วนกับความรู้สึกเรา อาจมีการสปอยด์บ้างนะคะ ถ้ายังไม่อยากรู้ปิดไปเท่านี้ก็ได้ค่ะ
เราเดินตามการบอกทางของพี่ไกด์ที่เป็นคนชินพื้นที่ที่สุดด้วยการถือไม้เท้าด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด ส่วนมือข้างที่ถนัดเราจะใช้ในการสัมผัสกับผนัง พี่ไกด์จะถามชื่อเรากับเพื่อน แล้วคอยเช็คตลอดว่าใครอยู่ตรงไหน ตอนนั้นคือมึนงงกับซ้ายขวามาก ต้องเปิดประสาทหูให้ทำงาน เพราะต้องเดินตามเสียงของพี่ไกด์ มันยากมากกับคนที่มองเห็นมาตลอด พี่ไกด์คอยถามตลอดว่าเราจับโดนอะไรบ้าง พื้นผิวเป็นยังไง เหมือนได้อยู่ในห้องเรียนวิชาใหม่ๆ ก็แข่งกันตอบกับเพื่อน จากกลัวที่มองไม่เห็น ดันกลายเป็นความสนุกตื่นเต้นที่รอเราอยู่ ในนั้นจะมีเสียงต่างๆ ให้เราได้ยินว่าเรากำลังเดินอยู่ที่ไหน มีวัตถุให้เราจับแล้วลองทายดู ได้ลองใช้ประสาททางการสัมผัสดูว่าสิ่งที่อยู่ในมือคืออะไร รวมไปถึงการจับวัตถุตรงหน้าขึ้นมาดมกลิ่นดู ที่เราสนุกและตื่นเต้นที่สุดจะเป็นการพานั่งรถ แล้วฟังคำบรรยายจากพี่ไกด์ว่าตรงนั้นตรงนี้คืออะไร ได้จินตนาการภาพตาม ซึ่งในมุมมองของคนที่มองเห็นปกติแบบเรา คือเราจินตนาการออกว่าอะไรเป็นแบบไหนแน่ชัด แต่สำหรับคนตาบอดมาตลอดชีวิต เราไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าภาพในหัวเขามันเป็นยังไง
จนมาถึงตอนที่ต้องซื้อของ พี่ไกด์จะพาเราเข้าไปในร้านร้านหนึ่ง เพื่อเลือกซื้อสินค้า โดยสินค้าจะมีราคา 5 บาท 10 บาท และ 15 บาท เพื่อมานั่งรับประทาน ตอนนั้นพี่ไกด์มานั่งกับพวกเรา และถามเราว่ามีอะไรอยากถามเป็นพิเศษไหม แต่ก็ยังนึกไม่ออก จนตอนพี่เขาถามว่า รู้ไหม ว่าพี่ไกด์อ่ะ ตาบอดนะ พี่คนที่ขายของให้เราเมื่อกี้ ก็ตาบอดด้วย ตอนนั้นเราอึ้งมาก ไม่ได้นึกถึงเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย เพราะตั้งแต่วินาทีแรกที่เข้ามา เขาคือคนที่เราเชื่อใจที่สุด เป็นเหมือนคนที่มองเห็นที่สุดในนั้น (จริงๆ ตรงนี้เป็นข้อมูลที่หลายคนรู้ก่อนเข้าไปนะคะ ว่าคนนำทางคือผู้พิการทางสายตา จากเว็บไซต์ต่างๆที่แนะนำ แต่ว่าเราไปแบบไม่รู้อะไรเลย) เราตอบไม่รู้และนิ่ง จนพี่เขาเปิดโอกาสให้ถามเรื่องต่างๆ ที่สงสัย หรือแม้กระทั่งเรื่องส่วนตัวก็ถามได้
เรากับเพื่อนก็ได้ตั้งคำถามในทุกสิ่งที่ตัวเองสงสัยมาตลอดชีวิต ซึ่งพี่ไกด์เป็นคนที่ตามองไม่เห็นมาตั้งแต่เกิด เข้าเรียนโรงเรียนสอนคนตาบอด และเข้าโรงเรียนมัธยมฯ เรียนจบมหาลัยฯ จนจบแบบคนอื่นทั่วไป มีความมองโลกในแง่ดีกว่าเราๆ เสียอีก
แล้วก็มีคำถามหนึ่งที่อยู่ในหัวเรามานานมากทั้งชีวิต คือคนตาบอดเขารู้จักสีไหม เราถามพี่เขาออกไป ซึ่งคำตอบคือรู้นะ แต่ว่ารู้แค่ว่าสีเขียวคือสีของต้นไม้ ใบหญ้า แต่ทั้งชีวิตก็ไม่เคยเห็นว่าเป็นยังไง เราถามต่อว่า
'แล้วถ้าหนูพูดถึงสีเหลือง พี่จะนึกถึงอะไรคะ?'
สีเหลืองสำหรับเราตอนที่ถามเราคิดถึงความเจิดจ้า สีนวลๆ สบายตา แต่พี่เขาตอบกลับมาว่า
'ก็คงเป็นสีของพระจันทร์ แล้วก็สีของผลไม้ที่สุกละมั้งครับ แต่พี่ก็ไม่เคยเห็นหรอกนะ เขาว่ามาแบบนี้'
ตอนนั้นเรารู้สึกสะเทือนใจมาก พูดอะไรต่อไม่ถูก คำถามที่เคยสงสัยมาตลอดชีวิตได้รับการปลดล็อค จากที่คิดว่าต้องเป็นสีนวลๆ แน่ๆ เราลืมคิดไปเลยว่านี่คือมุมมองของเรา คนที่เคยเห็นสีเหลืองมาตลอดชีวิต แต่คำตอบพี่เขากลับทำให้เราซึม จนเพื่อนถามพี่เขาอีกคำถามว่า
'พี่คิดว่าชีวิตเมื่อสิบปีก่อน กับชีวิตในปัจจุบันสำหรับผู้พิการทางสายตา มันมีความสะดวกสบายอะไรมากกว่าเดิมไหมคะ?'
คำตอบขอบพี่เขาคือ 'เหมือนเดิมครับ'
เราเริ่มคิดตามว่านั่นสิ ประเทศนี้ไม่ได้มีอะไรที่เอื้ออำนวยต่อคนที่ไม่ปกติเลย การเดินบนทางเท้าของคนตาบอดถึงมีไม้เท้าก็ไม่ได้สบาย ไหนจะฝาท่อที่เปิดทิ้งไว้ ทางเท้าที่แตกพัง ไม่มีใครมาจัดการซ่อม หรือแม้แต่รถที่ขึ้นมาวิ่งบนทางเท้า การข้ามถนนที่ไม่เอื้ออำนวยต่อใครเลยแม้แต่คนปกติ เราได้แต่นั่งเงียบ แอบน้ำตาคลอนิดๆ บางช่วงที่คำตอบของพี่เขากระแทกใจ
สุดท้ายเราคิดว่าการได้เปิดประสบการณ์ทางด้านนี้มันเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่คุ้มค่ามากในชีวิต จะมีโอกาสสักกี่ครั้งที่เราจะได้นั่งถามคำถามกับคนตาบอด นั่งคุยถึงเรื่องราวต่างๆ แลกเปลี่ยนมุมมองใหม่ๆ มันคุ้มมากกับการใช้เวลาในความมืด คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ในอีกมุมมอง
อยากฝากประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนได้ไปลองดู มันดีมากจริงๆ ค่ะ นิทรรศการนี้เข้าสู่ปีที่ 8 แล้ว พี่ๆ ไกด์คืออาสาสมัครผู้พิการทางสายตาที่จะเป็นคนเข้ามาให้ความช่วยเหลือและให้ข้อมูลแก่พวกเรา สิ่งที่เราเล่าไปเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ของเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง และเป็นหนึ่งชั่วโมงครึ่งที่จะทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปเลย
นิทรรศการนี้จัดอยู่ตลอด อยู่ที่ จามจุรีสแควร์ ชั้น 4 ค่าเข้าสำหรับผู้ใหญ่ 100 บาท สำหรับ นักเรียนนักศึกษา ราคา 50 บาท ถ้าจำไม่ผิดนะ สักครั้งในชีวิตแนะนำให้ลองดูสักครั้งนะคะ
ขอบคุณที่อ่านจบนะคะ เป็นการเขียนเล่าเรื่องราวของที่ต่างๆ ที่ได้ไปของเราครั้งแรก ตื่นเต้นมาก แต่อยากแชร์ความรู้สึกแล้วก็ประสบการณ์ให้ทุกคนได้รับรู้ แล้วได้ไปชมกัน มันเงียบเหงามาก รอบที่เราเข้าไปมีแค่เรากับเพื่อนสองคนเอง ฝากนิทรรศการดีๆแบบนี้ไว้ด้วยค่ะ
ใครที่ไม่เคยไป อยากให้ได้ลองไปสัมผัสดูนะคะ ツ
เรามีโอกาสได้ไปดูคลิปที่พี่ตาบอดสองคนไปดำน้ำแล้วรู้สึกว้าวมากๆเขาดูมีความสุขมากเลย ทั้งไปเดินเขาเป็นสิบๆโล ทำกิจกรรมอเวนเจอร์หลายอย่าง ซึ่งแม้แต่เราที่เป็นคนปกติยังไม่เคยทำด้วยซ้ำ มันเลยทำให้เราได้กลับมาถามตัวเองว่าเราจะมัวกลัวและกังวลอยู่ทำไมนะ ทั้งที่เราสามารถมองเห็น ขนาดพวกเขายังไม่เอาข้อบกพร่องตรงนี้มาเป็นข้อจำกัดชีวิตเลย
สุดท้ายนี้ขอบคุณคุณหมีมากที่นำเรื่องราวดีๆมาแชร์ให้อ่านนะคะ เราจะติดตามไปเรื่อยๆอาจจะบ่นเยอะนิดนึง5555555555555555 ถ้ามีโอกาสเราจะลองไปดูแล้วจะมาเล่าให้ฟังนะว่ารู้สึกยังไง ขอบคุณอีกครั้งสำหรับบทความดีๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ในทุกๆวันเลย <3
เป็นอีกนิทรรศการหนึ่งเลยค่ะที่อยากไป เพราะช่วงนี้กำลังสนใจเรื่อง guide dog กับการอ่านหนังสือเสียงสำหรับคนตาบอด แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะได้ประสบการณ์อะไรกลับมา จนมาเจอบล็อกที่น้องหมีเขียนพอดี
ขอบคุณนะคะที่เขียนออกมา เดี๋ยวจะไปตามรอย :]
เขียนมาอีกเยอะๆ น้า เป็นกะลังจัยหั้ย <3