ถึง โอเซฮุน
ขอบคุณสำหรับการมีอยู่ของคุณบนโลกใบนี้
ขอบคุณสำหรับรอยยิ้มที่ทำให้ผมพบเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ แม้ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจจะหยิบยื่นมันให้ผม
ขอบคุณทุกการกระทำที่แสนอ่อนโยน ทุกสิ่งทุกอย่างแม้เพียงเล็กน้อย
จบสิ้นจดหมายฉบับนี้เราคงไม่ได้พบเจอกันอีก
อย่างไรก็ตามผมหวังว่าคุณจะมีความสุข มากขึ้นในทุกวัน
ขอให้สุขภาพแข็งแรงและเป็นที่รักอยู่แบบนี้เสมอ
เช่นเดียวกับที่ผมรักคุณ
สุขสันต์วันเกิดครับ
คิมจงอิน
สิ่งที่แนบมาในกระดาษจดหมายคือรูปถ่ายจากกล้องฟิล์มที่เต็มไปด้วยรูปของท้องฟ้าสีประหลาด มุมเงียบสงบจากสถานที่ต่างๆ ที่เขาแสนชอบ และจบท้ายด้วยรูปเขาที่นั่งเหม่อลอยคิดถึงอะไรบางอย่างในห้องสมุด โอเซฮุนไม่ยักรู้ว่าภาพพวกนี้ถูกบันทึกไว้ตอนนี้ไหน แต่เมื่ออ่านจดหมายจบ เขาออกตัววิ่ง
เขาไม่ใช่นักวิ่งมาราธอน ไม่ใช่นักเดาใจที่เก่งฉกาจ แต่ในเวลาแบบนี้สองขากลับวิ่งได้ไวยิ่งกว่านักวิ่งเหรียญทองและเดาสถานีปลายทางได้ถูกเผง
ผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งคล้ายคลึงเขาหากทว่าผิวเป็นสีแทน เรือนผมสีน้ำตาลเข้มหยอกล้อกับแสงดวงอาทิตย์ตอนใกล้จะจากลา ดวงตาสีเข้มเหม่อมองไปยังผืนน้ำข้างใต้ เขาเจอแล้ว เจอเจ้าของรูปฟิล์มและจดหมายนั่นแล้ว
“คิมจงอิน
ผู้ชายคนนั้นไม่สะทกสะท้านต่อเสียงของเขาเลยแม้แต่น้อย
“อย่าโดดลงไปนะ
แต่ประโยคถัดมานั่นแหละถึงเรียกให้ดวงตาเหม่อลอยคู่นั้นกลับมาจ้องที่เขาได้ คิมจงอินดูตกใจ ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้างขึ้นนิดหน่อยพร้อมกับขยับตัวหนี แต่โอเซฮุนเป็นนักขยับร่างกายที่ว่องไวเสมอ เขาคว้าข้อมือสีแทนนั่นไว้ทันและบีบมันแน่น
“อะไรน่ะคุณ..”เสียงทุ้มต่ำนั่นถามคล้ายกับยังไม่ค่อยเข้าใจ
“อย่าโดดลงไป...อย่าโดดลงไปเลยนะ”
“เฮ้”
“ผม...ผมยังอยากให้คุณมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ถึงเราจะไม่ได้เป็นอะไรกันก็เถอะ”
“...”
“ต่อให้คุณจะเป็นสตอกเกอร์แอบตามหรืออะไรที่มันน่ากลัวก็เถอะ แต่คุณก็เป็นนักถ่ายรูปกล้องฟิล์มที่เก่งมากๆ คุณถ่ายรูปท้องฟ้าที่ผมชอบไว้เยอะด้วย”
“..”
“เพราะงั้น...ต่อให้ผมไม่รักก็อย่าเสียใจจนคิดฆ่าตัวตายเลยนะ”
“ผมจะโดดก็เพราะประโยคสุดท้ายของคุณเนี่ยแหละ เจ็บเป็นบ้า” คนตรงหน้าค่อยๆ บิดมือออกจากการกอบกุมที่แน่นเกินไปจนเกิดรอยแดง สะบัดมันเบาๆ พร้อมกับมองเจ้าของวันสำคัญตรงหน้า “อะไรทำให้คุณคิดว่าผมจะฆ่าตัวตายกัน”
“ก็ในจดหมายของคุณ...”
“...”
“คุณบอกว่าเราจะไม่ได้พบเจอกันอีก”
“แล้วคุณไม่ได้อ่านตรงที่ผมเขียนว่า ผมรักคุณ เหรอ”
แก้มที่เคยเป็นสีขาวถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงจาง โอเซฮุนรู้สึกว่าหัวใจเขาทำงานหนักโดยไม่จำเป็นอย่างไร้สาเหตุเพียงเพราะได้ยินคำพูดนั้นจากปากจากสีหน้าที่จริงจังของคิมจงอิน
“ว่ายังไงคุณได้อ่านมันหรือเปล่า”
“ผม...อ่าน...”
“อ่าฮะ แล้วทำไมคุณถึงยังคิดว่าผมจะฆ่าตัวตายอยู่อีกล่ะครับ? ผมไม่สนใจหรอกนะว่าคุณจะรับรักผมหรือเปล่า ถ้าคุณไม่รับมันก็แค่เจ็บ...แบบนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะขี้แพ้ถึงขนาดโดดน้ำฆ่าตัวตายเป็นผีหลอกให้คนเขากลัวไปหมดหรอก”
“ละ...แล้วทำไมคุณ...”โอเซฮุนหมายถึงการที่อีกคนยืนทอดสายตาอยู่บนสะพานสูง ด้วยดวงตาที่หม่นหมอง
“ผมมาถ่ายรูป” คิมจงอินชี้กล้องฟิลม์ที่อยู่ในมือ “ท้องฟ้าตอนเย็นมันสวยดี คุณก็ชอบไม่ใช่เหรอ?”
“...”
“คุณนั่นแหละ”
“...”
“มาทำอะไรที่นี่ในวันที่สมควรมีความสุขที่สุดกัน”
โอเซฮุนนึกอยากหายไปจากตรงนี้ เขาเริ่มนึกอยากจะเป็นคนโดดลงไปแทนแล้ว ไม่ใช่เพราะรู้สึกเศร้า แต่เป็นเพราะความรู้สึกอายที่ฉาบทั่วใบหน้าที่ทำให้พวงแก้มของเขาเป็นสีมะเขือเทศสุก ลามไล่ไปถึงใบหูจนมันเป็นสีเดียวกัน
นักแอบมองผ่านเลนส์กล้องลอบยิ้ม ก่อนฉวยโอกาสกดบันทึกภาพนั้นไว้โดยที่เจ้าตัวยังไม่ทันอนุญาต และได้รับใบหน้าเหลอหลากลับมา
“เฮ้...”
“ผมหวังว่ารูปนี้จะไม่เสีย”
“...”
“น่าเสียดาย รูปที่ผมถ่ายคุณมีแต่รูปเสียทั้งนั้นเลย”
“แล้วรูปผมในห้องสมุดนั่นล่ะ”
“มันเป็นรูปเดียวที่ผมพอจะมอบเป็นของขวัญให้คุณได้”
“นี่คุณถ่ายรูปผมไว้มากมายขนาดไหนกัน”
คิมจงอินยักไหล่มุมปากนั่นยกขึ้นเล็กน้อย เลี่ยงการตอบคำถามด้วยการเหล่มองท้องฟ้าที่เปลี่ยนเฉดสีไปอีกนิด ทิ้งให้คนขี้สงสัยยืนขมวดคิ้ว
“ผมไม่เข้าใจ...”
“...”
“ตั้งแต่คุณสอดจดหมายที่ไม่ได้ประทับตราไปรษณีย์ที่หน้าบ้าน เนื้อความในจดหมายนั่นทำให้ผมคิดไปเองว่าคุณจะฆ่าตัวตายเพราะไม่สมหวังในความรัก ผมอุตส่าห์วิ่งสุดแรงมาที่นี่เพราะคุณเคยบอกว่าบนสะพานเป็นสถานที่ที่มองท้องฟ้าได้สวยงามที่สุด แต่สุดท้ายคุณกลับถามว่าผมมาทำอะไรที่นี่”
“...”
“คุณต้องการอะไรกันแน่คิมจงอิน”
เขาได้ยินเสียงลมหายใจที่ถูกพ่นกับเสียงกรอฟิลม์เล็กน้อย คิมจงอินไม่ตอบคำถามเขาอีกแล้ว และอะไรแบบนั้นมันทำให้เขาค่อนข้างจะหงุดหงิด
“นี่...”
“ผมคงเป็นนักเขียนจดหมายที่ไม่เก่งพอ”
“...”
“จากจดหมายสารภาพรักเลยกลายเป็นจดหมายลาตายไปซะอย่างนั้น”
“...”
“และเป็นนักหลงตัวเองเกินไปจนลืมว่าคุณไม่ได้สนใจชีวิตผมเหมือนที่ผมสนใจคุณ คุณเลยนึกไม่ออกว่าการที่เราจะไม่ได้พบเจอกันอีกหมายถึงการที่ผมจะไปเรียนต่อต่างประเทศ”
“ผมขอโทษ”
“...”
“แต่ว่าผมไม่ได้สตอกเกอร์นะ ก็แค่บังเอิญไปที่เดียวกับที่คุณอยู่เท่านั้นเอง คุณก็ไม่ได้ไปที่ไหนบ่อยนอกจากห้องสมุดเสียหน่อย”
โอเซฮุนเห็นคนตรงหน้าทำหน้าเศร้านิดหน่อย เกิดความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นภายในใจ ทว่าก็เป็นคนตรงหน้าเองนั่นแหละที่ทำให้ความรู้สึกแบบนั้นหายไป
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ วันนี้วันเกิดคุณนะ ทำหน้างอเหมือนสุนัขที่บ้านไม่รักทำไม”
“...”
“ยิ้มหน่อย กว้างๆ เลย”
มุมปากยกวาดขึ้นเล็กน้อยตามคำขอ โอเซฮุนรู้สึกดีขึ้นหลังจากได้เห็นรอยยิ้มของนักถ่ายรูป เขาอยากจะขอดูรูปที่ถ่ายไปว่ามันใช้ได้หรือไม่แต่ก็ลืมไปว่าอีกฝ่ายนั้นใช้กล้องฟิล์ม คงอีกนานกว่าภาพนั้นจะถูกล้าง และกว่าจะถึงตอนนั้นเขาก็คงลืมไปแล้วว่าถูกถ่ายไว้
เขาไม่ได้สนิทกับคิมจงอินนัก เคยร่วมบทสนทนากันอยู่แค่ไม่กี่ครั้ง เขาค่อนข้างจะเจียมตัว...เพราะอีกฝ่ายเป็นที่รู้จักมากมายและด้วยเหตุผลนั้นแหละ มันจึงไม่สมเหตุสมผลเลยที่คนแบบนั้นจะส่งจดหมายมาสารภาพรักกับเขา
ทำไมกันนะ
“คุณ...รีบกลับบ้านหรือเปล่า”
“ผมว่าจะถ่ายอีกสักสองสามรูปแล้วค่อยกลับ”
“งั้น...อยู่เป็นเพื่อนผมก่อนได้ไหม”
เขาเห็นคิ้วเข้มนั้นเลิกขึ้นคล้ายประหลาดใจ แต่คิมจงอินก็ตกลง เขาจึงพิงตัวกับราวสะพานในท่าที่ถนัดขึ้นมองใบหน้ามุมข้างของอีกฝ่าย ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นใบหน้าที่ดึงดูดใจเขาได้ดีกว่าภาพไหนๆ
“คุณจะไม่รีบกลับบ้านไปฉลองวันเกิดรึไง...”
“ผมไม่ได้ฉลองวันเกิดมาหลายปีแล้ว”
“อ้อ” คิมจงอินพยักหน้ารับ “แย่จัง”
“มันไม่แย่หรอก ก็สงบดี” โอเซฮุนหัวเราะเสียงเบาแล้วยักไหล่ “ผมไม่ชอบความวุ่นวายอยู่แล้ว แค่มีคำอวยพรจากคนรู้จัก กับของขวัญเล็กๆ สักชิ้นสองชิ้น เท่านั้นผมก็มีความสุขจะบ้า”
“มีความสุขง่ายจัง”
“ตามที่คุณอวยพรไว้ไง”
รอยยิ้มจางๆถูกส่งมอบให้กันและกัน เกิดบทสนทนาเรียบง่ายขึ้นหลังจากนั้น 2-3 ประโยคแล้วเงียบหายไป ไม่รู้สิ...โอเซฮุนไม่ใช่คนพูดเก่ง ส่วนคิมจงอินก็อาจจะขลาดเขินเกินกว่าจะชวนคนที่เพิ่งสารภาพรักไปคุย
จึงเกิดบรรยากาศกระอั่กกระอ่วน ไม่อึดอัดทว่าก็ไม่ได้หายใจจนโล่งปอด สองสายตาสบกันหลายครั้งง้าง ริมฝีปากขึ้นทำท่าจะพูดอะไรแต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยออกมา จนกระทั่งท้องฟ้าไม่เหลือแสงจากดวงอาทิตย์อีกแล้ว ตอนนั้นแหละที่ทั้งคู่รู้ว่าถึงเวลาต้องจาก
“สุขสันต์วันเกิดอีกครั้ง”
“ขอบคุณครับ นักถ่ายกล้องฟิล์ม”
คิมจงอินหัวเราะเมื่อได้ยินเขาเรียกตัวเองแบบนั้น มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงหัวเราะของผู้ชายคนนี้ และมัน...ไม่รู้สิ
“คุณอยากลองถ่ายมันไหม”
“แต่มันมืดแล้วนะคุณ”
“เถอะน่า ลองดู มา ผมสอน”
ว่าแบบนั้นพลางยื่นกล้องในมือมาให้ โอเซฮุนเงอะงะทำอะไรไม่ถูกนัก เขากลัวจะเซ่อซ่าทำของสำคัญตก เขาไม่เคยใช้กล้องฟิล์มเลยสักครั้ง เพราะอย่างนั้นคิมจงอินจึงยืนซ้อนหลัง คอยบอกให้เขาต้องทำอะไรตรงไหน สุดท้ายเขาก็เผลอกดชัตเตอร์ไปแบบมั่วๆ จนรู้สึกเสียดายม้วนฟิล์ม
“ผมจะล้างฟิล์มก่อนไปต่างประเทศ ถึงตอนนั้นผมจะส่งมันไปให้คุณนะ”
“...”
“ทั้งหมดที่ถ่ายไว้เลย”
“อือขอบคุณครับ คุณนักถ่ายท้องฟ้า”
“ยินดีอย่างยิ่งครับ”
โอเซฮุนยกยิ้มอีกครั้งยื่นกล้องที่อีกฝ่ายให้หยิบยืมคืนเจ้าของ มันเป็นตอนที่มือของเราแตะกันและเขาเห็นรอยยิ้มวับวาวของคิมจงอินใต้ความมืดได้ชัดเจนกว่าอะไรไหนๆ
ร่างของเขาถูกรั้งเข้ามาใกล้ สัมผัสอุ่นร้อนแตะลงบนริมฝีปาก ละลายความรู้สึกตื่นกลัวของเขาไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความรู้สึกวาบหวาม คล้ายผีเสื้อบินวนในช่องท้อง หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นอีกเป็นเท่าตัวในช่วงไม่กี่วินาที
โอเซฮุนจะไม่มีวันลืม...วันเกิดปีนี้เขาได้พบกับมนุษย์คนหนึ่งที่แสนวิเศษ เป็นนักถ่ายรูปจากกล้องฟิล์ม นักมองท้องฟ้าสีประหลาด นักเขียนจดหมายที่ยังไม่เก่ง นักแอบรัก และ...
“ผมเป็นนักขโมยจูบด้วยนะ”
นักจูบแสนเก่งที่ทำให้ใจเขาเต้นแรงที่สุดเลย...
#HAPPYSEHUNDAY
2019
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in