แม้นผูกพันเพียงผ่านพบที่หลบภัย
ห้องอาหารของสถานพักฟื้นอยู่ในอาคารสำนักงานชั้นล่างผนังฝั่งหนึ่งเป็นกระจกมองเห็นทะเลได้ชัดเจน อาหารเย็นมีหลากหลายทั้งสำหรับเจ้าหน้าที่และญาติผู้มาเยี่ยมในส่วนของคนไข้ที่ไม่ว่าจะอาการหนักระดับไหนก็จะมีเจ้าหน้าที่จัดการนำอาหารไปให้ถึงที่พัก
ตอนที่นิรันดร์กับเกี๊ยวเดินเข้าไปในห้องอาหารมีคนนั่งกินข้าวอยู่ก่อนแล้วสามโต๊ะ นิรันดร์หันไปเห็นโต๊ะที่อยู่ริมกระจกยังว่างอยู่จึงเลือกนั่งลงตรงนั้นจะได้กินมื้อเย็นไปพร้อมกับดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยเลย
“รับเครื่องดื่มไหมครับ”
“ผมขอคิดระหว่างกินข้าวนะครับ”
หลังจากบริกรเดินออกไปทั้งคู่ก็ลงมือกินมื้อเย็นของตัวเองในทันที เป็นพอร์กช็อปสเต๊กราดซอสเห็ด มันบดและผักลวก ที่ทุกอย่างตักเพิ่มได้ไม่จำกัด ในจานของเกี๊ยวจึงมีพอร์กช็อปอยู่สองชิ้นใหญ่ๆ
นิรันดร์สังเกตว่าคนตรงหน้าลอบมองเขาอยู่เป็นระยะคงมีเรื่องอยากคุยกับเขามากมาย แต่ไม่รู้ว่าสามารถพูดเรื่องไหนได้บ้าง การที่ต้องมารับรู้เรื่องส่วนตัวของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัวแบบนี้อาจจะทำให้อึดอัดไม่มากก็น้อย
“มีอะไรก็พูดมา”
“บอกผมได้ไหมครับเรื่องครอบครัวของรัน”
ช่างเป็นคนที่อ่อนโยนเสียจริงนิรันดร์เลิกชื่นชมผู้สร้างหุ่นยนต์ตัวนี้ไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้เขาปฏิบัติต่อเกี๊ยวเหมือนที่ปฏิบัติกับเพื่อนคนหนึ่งชื่นชมเกี๊ยวเหมือนที่ชื่นชมมนุษย์คนหนึ่ง
“เรื่องเศร้าเคล้าน้ำตา”
คนเล่ายกน้ำขึ้นดื่มเป็นเรื่องที่ผ่านมานานมากแล้ว นานจนเหมือนภาพฝันที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริงเกี๊ยวนั่งฟังเงียบๆ แต่ก็ลอบมองสีหน้าของอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง
“ตั้งแต่จำความได้พ่อก็ไม่เคยเล่าเรื่องแม่ให้ฟังเดาว่าน่าจะจากกันไม่ดีเท่าไหร่ จนตอนนั้นที่พ่อพยายามตามหาแม่เพราะเลี้ยงผมไม่ได้แล้วแต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ สุดท้ายพ่อเลยพาผมไปทิ้งไว้ที่สวนสนุก”
ฟังดูรันทดเหมือนเรื่องของคนอื่นนิรันดร์แค่นยิ้มเพื่อปลอบใจว่ามันคือนิทานเรื่องหนึ่ง กาลครั้งหนึ่งจบลงที่สูญสิ้นตลอดกาล
“ห้าขวบ...”
ม่านน้ำที่อาบดวงตาทั้งสองข้างกำลังทำให้คนมองเจ็บปวดเขาไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน มนุษย์เรียกมันว่าอะไรนะ ความรู้สึกไม่อยากให้ใครสักคนเสียใจนั่นน่ะ
“แม่พาผมไปอยู่บ้านตาที่แม่ฮ่องสอนฐานะไม่ค่อยดี ปากกัดตีนถีบกันมาจนผมมาเรียนต่อมหา’ลัยที่กรุงเทพฯคิดว่าอะไรๆ อาจจะดีขึ้นแต่ตาก็มาด่วนเสียไปแม่ก็เส้นเลือดในสมองแตกนอนเป็นผักมาได้สองปีแล้ว แล้วก็อย่างที่เห็น”
นิรันดร์ไม่อยากให้บรรยากาศอมทุกข์จึงพูดกลั้วหัวเราะ เหลือบมองคนตรงข้ามที่ตอนนี้ยังคงมองหน้ากันอยู่ดูจะตั้งใจฟังไม่น้อยแตกต่างจากเขาที่ค่อนข้างเคอะเขินเพราะไม่เคยเปิดเผยเรื่องนี้ให้ใครรู้มาก่อน
“ผมไม่เคยบอกใครเลยนะเนี่ย”
แต่ไม่มีทางเลยที่เกี๊ยวจะมองตามเขาเห็นเพียงแสงอาทิตย์อาบหน้าของนิรันดร์ และดวงตาฉ่ำน้ำคู่นั้นก็สะท้อนเป็นประกายระยับแดด
“อยากฟังเรื่องของผมไหมครับ”
เสียงของเกี๊ยวเรียกให้นิรันดร์หันไปสบตาคู่นั้นอีกครั้งเขาหรี่ตา “บอกได้เหรอ”
“ความจริงก็ไม่”
“ผมว่ามันควรจะเป็นความลับ”
“แต่ผมไม่อยากมีความลับกับรัน”
นิรันดร์ยกยิ้มพอใจเขาส่ายหน้าให้น้อยๆ “กลัวว่าเรื่องของคุณจะเศร้ากว่าเรื่องของผมน่ะสิเอาไว้ค่อยเล่าวันอื่นเถอะ วันนี้ผมขออุทิศให้ครอบครัวของผมแล้วกัน”
แม้จะพูดทีเล่นทีจริงแต่นิรันดร์คิดว่าคงยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะรู้เรื่องราวของผู้ชายคนนี้
เสี้ยวสุดท้ายของดวงอาทิตย์ลับหายไปกับท้องทะเลพอดีในตอนที่บริกรเดินมาเก็บจานเปล่านิรันดร์เห็นว่าคงจะได้นั่งคุยกันอีกยาวจึงสั่งทอม คอลลินส์ให้ตัวเองกับน้ำส้มคั้นให้คนที่ยืนกรานว่าจะไม่อนุญาตให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกายอย่างเด็ดขาด
“ผมนอนที่กระท่อมด้วยไม่ได้เหรอ”
“ผมต้องดูแม่คุณจะนอนไม่เต็มอิ่มเปล่าๆ”
“แต่ผมเป็น...”
“ดูแลคนไข้ติดเตียงไม่สนุกหรอกนะต้องพลิกตัวทุกสองชั่วโมง ทำความสะอาดร่างกาย เอาโถฉี่ไปทิ้ง ที่สำคัญผมได้อยู่กับแม่แค่เดือนละครั้งเอง ให้เวลาเราสองแม่ลูกหน่อยได้ไหม”
เล่นพูดแบบนั้นใครจะให้ไม่ได้เห็นเกี๊ยวผงกหัวรับนิรันดร์จึงส่งยิ้มให้ เขาหันมองนาฬิกาแขวนของห้องอาหาร
ผนังกระจกเปลี่ยนสีแล้วตอนนี้มันมืดทึบทึมเทาจนมองไม่เห็นทะเล เสียงคลื่นลมดังคลอเสียงเพลงของห้องอาหารนิรันดร์ดื่มจนหมดแก้ว พิจารณาชายหนุ่มตรงหน้าอยู่พักหนึ่งก็พูดขึ้น
“ดวงตาคุณเหมือนทะเลเลย”
ท้องทะเลยามราตรี
“ครั้งแรกที่เจอคุณดวงตาของคุณมีเอกลักษณ์มาก สีมืดแต่ไม่ใช่ดำสนิท ไม่รู้ว่าเทาเฉดไหน ดูเรียบเฉยและลึกลับแต่บางทีก็เห็นประกายสีฟ้าเหมือนทะเลตอนกลางวัน”
“เห็นชัดเลยเหรอ”
“ถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็นหรอก”
“แต่รันเห็น”
“ก็ผมสังเกตคุณอยู่ตลอด”
เกี๊ยวจึงจ้องไม่ละสายตาเลย
“สีอะไร”
“สีน้ำตาล”
“เหมือนอะไร”
“เหมือน...”
คนฟังคาดหวังในคำตอบ
“...เหมือนมาดี”
นิรันดร์หัวเราะจนแทบหายใจไม่ทันเขาบอกตัวเองว่าต่อไปถ้าเจอเรื่องเศร้าให้นึกถึงค่ำคืนนี้ไว้ ถ้าไม่หลุดขำที่ได้รู้ว่าสีตาของตัวเองเหมือนสีตาของเจ้ามาดีก็ให้มันรู้ไป
แต่เกี๊ยวกลับไม่เข้าใจว่านิรันดร์ขำอะไร
..............................................................
คืนนั้นเขาได้รับการติดต่อจากผู้สร้างเป็นการสื่อสารกันครั้งที่สองตั้งแต่ที่เขาหนีออกมา หากไม่นับระบบสื่อสารฉุกเฉินที่อีกฝ่ายติดตั้งไว้เขาก็แทบจะหลงลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นหุ่นยนต์
“ปลอดภัยดีอยู่ใช่ไหม”
คำถามหลังจากที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานนั้นสร้างความหนักใจให้ชายหนุ่มอยู่ไม่น้อยทั้งที่เป็นเขาเองที่สร้างเรื่องให้ทุกคนเดือดร้อนขนาดนี้
“ปลอดภัยดีครับคุณล่ะ”
“เหมือนเดิม”
นั่นหมายถึงยังถูกควบคุมตัวอยู่ในทางที่ดีนะ เพราะถ้าในทางที่แย่ อาจจะถูกขังอยู่ในคุกลับขององค์กร หรือไม่ก็ได้รับโทษบางประการสำหรับความผิดพลาดในตัวทดลองที่ตนสร้างขึ้น
“...ในทางที่ดี”
หลายครั้งที่ความคิดของเราสื่อสารกันผ่านการคาดเดา
“พวกเขาทำอะไรคุณไหม”
“ไม่มีเหตุผลให้ต้องทำหรอกผมยังมีประโยชน์กับเขาอยู่”
“นั่นสินะครับ”
“อีกเรื่อง...”
อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่งพักใหญ่
“...ผมรู้ว่าคุณหลบอยู่ที่ไหนไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้ติดตั้งเครื่องติดตามตัวไปมากกว่าที่คุณดึงทิ้งนั่นหรอกที่ผมหมายถึงก็คือ ผมคิดว่าผมรู้”
เกี๊ยวเข้าใจเขาเข้าใจ เราสองคนเข้าใจ
“คุณอยากให้ผมกลับไปไหม”
“ไม่อย่ากลับมา ตอนนี้ผมยังออกไปไม่ได้ แต่ผมจะส่งคนไปหาคุณ ไม่ต้องกลัวนะ เป็นคนที่คุณไว้ใจได้อย่างแน่นอนตอนนี้ผมต้องไปแล้ว แค่นี้ก่อน ราตรีสวัสดิ์”
ไม่รอให้ตอบกลับสักคำสัญญาณขาดหายไปอย่างไม่ทันตั้งตัว
เขาไม่ได้นอนตลอดคืน
มนุษย์อาจจะเรียกว่าอาการนอนไม่หลับแต่สำหรับหุ่นยนต์อย่างเขาแล้วมันคือการเลือกที่จะไม่นอนมากกว่าค่ำคืนภายในห้องที่ต้องอยู่เพียงลำพังนั้นผ่านไปอย่างเงียบเชียบโดดเดี่ยวอย่างที่นึกสงสัยว่านิรันดร์อยู่คนเดียวมาตลอดได้อย่างไรเกี๊ยวรอให้พระอาทิตย์ขึ้นเพื่อออกไปที่กระท่อมของนิรันดร์ประตูห้องที่เปิดอ้าเผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มที่นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างลมทะเลพัดผมยุ่งเหยิงพันกันจากตำแหน่งที่มองอยู่นั้นเกี๊ยวรับรู้ได้ถึงความโดดเดี่ยวของนิรันดร์ชัดขึ้นกว่าเดิมอีก
“รันได้นอนไหม”
คำถามนั้นดังมาพร้อมกับร่างที่ค่อยๆย่องเข้ามาหาเพราะกลัวจะรบกวนคนป่วยนิรันดร์อยากบอกเหลือเกินว่าต่อให้วิ่งปรี่เข้ามาพร้อมเสียงตะโกนก้องแม่ก็ไม่มีทางตื่นขึ้นมาหรอก
“นอนไม่หลับน่ะ”
นี่ไงมนุษย์ที่นอนไม่หลับปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าแล้ว เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนเหลือเกิน
“ผมก็นอนไม่หลับครับ”
“คุณแค่ไม่ยอมนอน”
“จริงของรัน”
“หนังสือภาพน่ะ”
เกี๊ยวรับฟังสายตาก็พยายามหันหาเรื่องคุยอื่นอีก แต่กลับโดนขัดขึ้นเสียก่อน
“เดี๋ยวแปดโมงพี่พยาบาลเข้ามาเราก็ออกกันเลยนะไปถึงไวๆ จะได้มีเวลาพักก่อนไปทำงาน คุณขับได้ใช่ไหม”
ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่เกี๊ยวพยายามมองตาคู่สนทนาและตอนนี้ก็กำลังมองอยู่ เขาเลยได้เห็นว่าดวงตาของนิรันดร์แดงก่ำที่ไม่น่าจะเกิดจากการนอนไม่หลับอย่างเดียวแน่ๆ
“ผมไม่ได้นอนคงขับไม่ไหวแต่คุณคงไม่เป็นไรหรอกเนอะ”
แต่ก็พยายามทำตัวปกติ
“รันร้องไห้เหรอครับ”
คาดเดาไว้แล้วว่าอาจจะโดนเกี๊ยวจับได้แต่ทั้งที่รู้อย่างนั้น นิรันดร์กลับทำตัวไม่ถูกเมื่อโดนถามออกมาตรงๆเขาหลุบตาในทันที ไม่ตอบเพราะรู้ว่าพูดไปเสียงคงสั่นต่อหน้าแม่เขาอ่อนไหวได้ถึงขนาดนี้แหละ
“ทำยังไงดีครับ”
นิรันดร์หลุดยิ้มทั้งน้ำตา
“รันอยากให้ผมทำอะไรครับ”
ไม่รู้ใครช่วยใครกันแน่นิรันดร์มองหน้าคนที่นั่งย่อเข่าจ้องหน้าเขาอย่างกังวล จึงได้แต่ตอบกลับไป
ชายหนุ่มรับฟังประมวลผล ก่อนจะคว้าร่างของคนตรงหน้ามากอดไว้แน่น นิรันดร์สะอื้นจนตัวโยนซุกหน้ากับไหล่กว้างที่โอบรับทุกร่องรอยการร่วงหล่นของเขาไว้
ความเจ็บปวดความเศร้า ความสูญเสีย ความหวาดกลัว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยอัดแน่นซุกซ่อนไม่เคยเปิดเผยให้ใครได้เห็นมาตอนนี้กลับแสดงออกไปอย่างไม่ปิดบัง
เราต่างยินดีที่จะอ่อนแอ
ภายใต้อ้อมกอดของใครสักคน
..............................................................
ทุกๆสองสัปดาห์จะต้องมีคนขับรถไปซื้อของบางส่วนเติมเข้าชั้นคู่ค้าประจำเป็นร้านที่อยู่แถบชานเมือง ปกติแล้วนิรันดร์หรือไม่ก็ไพลินจะออกไปซื้อเพียงลำพังเพราะต้องมีคนเฝ้าร้านแต่วันนี้เห็นว่าที่ร้านมีเกี๊ยวอยู่เป็นเพื่อนยายแก้วแล้ว ทั้งคู่จึงออกมาด้วยกัน
นิรันดร์ขับรถขนของประจำของร้านซึ่งเป็นรถบรรทุกขนาดเล็กออกจากตัวเมืองช่วงบ่ายของวันรถไม่ได้หนาแน่นเท่าไรนัก ไพลินที่นั่งอยู่ข้างๆฮัมเพลงอย่างผ่อนคลาย ลมโกรกเข้ามาผ่านหน้าต่างรถที่หญิงสาวเปิดค้างไว้วันอาทิตย์สุขสงบอย่างที่ควรจะเป็น
“ไม่ได้ออกมาซื้อของด้วยกันนานเท่าไหร่แล้วนะ”
“สองสามเดือนแล้วมั้งปกติพี่ต้องออกมาคนเดียวตลอด”
“เพลงก็ออกมาบ่อย”
“ว่ามา”
นิรันดร์ถอนหายใจโดนจับได้อีกแล้ว “เรื่องเกี๊ยว”
“อือฮึ”
“พ่อเพลงบอกอะไรบ้าง”
ไพลินส่ายหน้าตามองถนน “ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่ได้คุยกับพ่อเลยดูเหมือนงานจะยุ่ง บ้านก็ไม่กลับมาตั้งหลายวันแล้ว”
“เหรอ...”
“เรื่องที่เกี๊ยวเป็นหุ่นยนต์เหรอ”
กลายเป็นนิรันดร์ที่ตกใจเขาอ้าปากเหวอ “รู้แล้วเหรอ”
ไพลินหัวเราะร่าเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย“ถามพ่อเอาวันนั้นแหละ”
“แล้วทำไมไม่บอกพี่ว่ารู้อยู่แล้ว”
“ที่อ้ำอึ้งมานานเพราะเรื่องนี้เหรอ”
“ก็กลัวบอกไปแล้วเพลงไม่เชื่อ”
“พี่บอกอะไรเพลงก็เชื่อทั้งนั้นแหละ”
คำตอบคือส่ายหน้าแผนของผู้หลบหนีกับผู้ช่วยเหลือซับซ้อนเพียงเท่านี้
รถขับถึงหน้าโกดังขนาดใหญ่ที่มีสินค้าเบ็ดเตล็ดแทบทุกอย่างที่ต้องการนิรันดร์กับไพลินเดินเข้าไปเลือกของตามรายการที่จดมาอย่างที่เคยทำ พอมีเพื่อนมาด้วยการเลือกซื้อสินค้าแล้วขนขึ้นรถก็รวดเร็วกว่าตอนมาคนเดียวกว่าเท่าตัวทั้งคู่จึงมีเวลาเดินสำรวจสินค้าใหม่ๆตามที่เจ้าของแนะนำเผื่อว่าจะเอาไปขายที่ร้านได้
นิรันดร์หยุดอยู่หน้าโซนขายกระเป๋าหลากหลายแบบที่ตั้งเรียงรายอยู่ไพลินที่เดินตามหลังมาหยุดมองตาม เลิกคิ้วถามด้วยความประหลาดใจ
“จะเอาไปขายเหรอ”
ชายหนุ่มส่ายหน้าสิ่งที่เขานึกถึงไม่ใช่ร้านแต่เป็นซองกระดาษของเกี๊ยวต่างหาก
“ในกองนั้นเป็นของตกหล่นที่ไม่ขายแล้วลองเลือกดูแล้วเอาไปได้เลย”
นิรันดร์ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าเขาจะมานั่งรื้อของกองโตเพื่อเลือกกระเป๋าให้ใครคนหนึ่งที่ไม่ใช่ตัวเองน่าอายอยู่เหมือนกันที่ของขวัญชิ้นแรกที่เขาจะมอบให้ดันกลายเป็นของฟรีค้างสต็อกแบบนี้
“ใบนี้เป็นไง”
“เล็กไปอยากได้อันที่ใส่เงินได้เยอะๆ’
“เขารวยเหรอ”
“เลยต้องทำดีด้วยไง”
สุดท้ายทั้งคู่ก็ช่วยเลือกกระเป๋าสตางค์สีดำใบหนึ่งกับกระเป๋าสะพายข้างหนังสีดำอีกใบหนึ่งและยืนกรานที่จะจ่ายค่ากระเป๋าสองใบนี้ให้กับเจ้าของโกดังแม้จะเป็นเงินไม่มากมายนักก็ตาม
เสียงเพลงสากลยุคเก่าที่เจ้าของร้านเป็นคนเปิดทิ้งไว้ดังคลออยู่ภายในร้านบ่ายวันอาทิตย์อากาศร้อนจนเด็กๆ ในละแวกวิ่งเข้ามาซื้อไอศกรีมกันไม่ขาดสายแต่นอกจากนั้นแล้วลูกค้าก็นับว่าน้อยนิดจนน่าใจหาย
“เห็นทีร้านคงจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว”
ไม่รู้ว่ายายแก้วพูดจริงหรือพูดเล่นแต่ชายหนุ่มที่กำลังเช็ดตู้ไอศกรีมอยู่ได้ยินเข้าก็อดเป็นห่วงไม่ได้
หญิงชราที่นั่งตีแมลงวันอยู่ตรงเคาน์เตอร์หันไปหาคนถามชายหนุ่มลุกขึ้นยืนตัวตรง สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ยังไม่ใช่เร็วๆนี้หรอก หรือถ้าปิดขึ้นมายายจะขอเจ้ารันมันก่อนก็แล้วกัน ไม่ต้องห่วงนะ”
ได้ฟังดังนั้นร่างสูงจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกหญิงชราหัวเราะร่วน “ถ้าเป็นห่วงนักก็อยู่ด้วยกันนานๆสิ”
เกี๊ยวนิ่งเงียบไปเขาไม่กล้าแม้แต่จะรับปาก ไม่ว่าที่แก้วกุดั่นหมายถึงจะเป็นอยู่ด้วยกันที่นี่หรือกับนิรันดร์ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่านานๆ นั้นมีระยะเวลาเท่าไรแต่เท่าที่เรียนรู้มาก ความหมายนั้นคงเทียบเท่าตลอดไป
ซึ่งไม่มีจริง...
“มากันแล้ว”
“กินข้าวหรือยัง”
“กินแล้วครับยายแก้วซื้อมาให้ รันล่ะ”
“แวะกินระหว่างทางแล้ว”
ไพลินยกยิ้มให้กับบทสนทนาที่เรียบง่ายนั้นก่อนจะเดินไปเปิดประตูด้านหลังรถแล้วช่วยกันขนของเข้าร้านอย่างคล่องแคล่วยายแก้วที่นั่งเฝ้าเคาน์เตอร์อยู่จ้องมองภาพตรงหน้าไม่วางตา รอยยิ้มอบอุ่นเปิดเผยมีบางช่วงเวลาที่เราอยากบันทึกไว้ให้คงอยู่ตลอดไป สำหรับคนเฒ่าไร้ลูกหลานอย่างหล่อนคงเป็นภาพนี้
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
จวนเจียนขนของจะเสร็จเสียงของผู้มาใหม่ที่ไม่ใช่ลูกค้าก็ดังขึ้น เรียกให้ทุกการเคลื่อนไหวต่างหยุดนิ่งทุกคนหันไปมองหญิงสาวในชุดสูทสีเบจเป็นตาเดียว
“ดอกเตอร์”
“สบายดีไหม”
“มาได้ยังไงครับ”
ฤดีจ้องมองดวงตาคู่คมที่ฉายความรู้สึกชัดเจนขึ้นกว่าครั้งล่าสุดที่ได้เจอกันชัดเสียจนเธอไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดีที่เป็นอย่างนี้มือหนาเอื้อมมาจับมือของเธอไว้ หญิงสาวบีบมือข้างนั้นแน่นถ่ายทอดช่วงเวลาที่ห่างหายกันไปผ่านสัมผัสนี้
“มีคนบอกว่าคุณอยู่ที่นี่”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว“เขาเหรอ”
หากแต่ฤดีกลับยิ้มรับด้วยสีหน้าที่สดใสอย่างเช่นทุกครั้งที่เจอกันเธอหันไปหาคนอื่นๆ ที่แม้จะพยายามทำเป็นไม่สนใจและทำงานของตัวเองต่อ แต่ก็ลอบมองกันด้วยความสงสัย
“ไม่แนะนำทุกคนให้รู้จักหน่อยเหรอ”
“นี่นิรันดร์กับเพลงเป็นเพื่อนของผมครับ ส่วนนี่ดอกเตอร์ฤดี”เกี๊ยวไม่รู้จะแนะนำว่าฤดีเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาอย่างไรจึงเลือกที่จะเว้นไว้ทั้งอย่างนั้น
ฤดีหันไปมองร่างของคนทั้งสองที่ยืนมองเธออยู่ก่อนแล้วส่งเสียงทักทายก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้พูดอะไรด้วยซ้ำ
ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กันตามมารยาทก่อนที่เกี๊ยวจะพาผู้มาใหม่ไปทักทายคุณยายเจ้าของร้านที่อยู่ด้านในไพลินยังคงยืนมองหญิงสาวคนนั้นไม่วางตา ทีแรกเธอก็ไม่แน่ใจหรอกจนกระทั่งอีกฝ่ายแนะนำชื่อของตน ไพลินก็มั่นใจว่าต้องเป็นคนในรูปภาพใบนั้นอย่างแน่นอน
‘แด่คุณ,
หญิงสาวที่ถ่ายภาพร่วมกับพ่อของเธอและผู้ชายที่หน้าตาเหมือนเกี๊ยวคนนั้น
“ธาริกม์และรูดี้”
ไพลินพึมพำถ้าผู้ชายคนนั้นคือธาริกม์จริงๆ แล้วพวกเขาเกี่ยวข้องกันอย่างไรปริศนานี้คงไม่สามารถแก้เองได้และเธอก็ไม่มีทางไปคาดคั้นเอาจากเจ้าตัวแน่ๆสิ่งที่ไพลินทำได้ในตอนนี้จึงเป็นการเฝ้ามองพวกเขาด้วยความเป็นห่วง
“ดูน่าไว้ใจนะ”
“ทำไมจะพนันกันอีกไหม”นิรันดร์ที่ยังคงขนของเข้าร้านอยู่พูดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของหญิงสาวเขาทำเหมือนไม่สนใจ ใช่ แค่เหมือน
“พี่ลงข้างไหน”
ชายหนุ่มหยุดยืนมองคนสองคนที่ท่าทีดูสนิทสนมกันพอสมควรเขาตอบไพลินด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ถ้าเกี๊ยวไว้ใจ พี่ก็ไว้ใจ”
“งั้นเพลงก็ต้องลงตรงข้ามรูดี้ไว้ใจไม่ได้”
“เอาตามใจตัวเองดิ”
“พี่ชักจะรู้จักเพลงมากไปแล้วนะ”
ทั้งคู่ยืนอยู่ข้างกันจ้องมองผ่านประตูร้านเข้าไปด้านใน
ต่างฝ่ายต่างได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนข้างๆ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in