เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
LOST CONTROLminimore
CHAPTER 08
  • CHAPTER 08

    แม้นผูกพันเพียงผ่านพบที่หลบภัย

     

    ห้องอาหารของสถานพักฟื้นอยู่ในอาคารสำนักงานชั้นล่างผนังฝั่งหนึ่งเป็นกระจกมองเห็นทะเลได้ชัดเจน อาหารเย็นมีหลากหลายทั้งสำหรับเจ้าหน้าที่และญาติผู้มาเยี่ยมในส่วนของคนไข้ที่ไม่ว่าจะอาการหนักระดับไหนก็จะมีเจ้าหน้าที่จัดการนำอาหารไปให้ถึงที่พัก

    ตอนที่นิรันดร์กับเกี๊ยวเดินเข้าไปในห้องอาหารมีคนนั่งกินข้าวอยู่ก่อนแล้วสามโต๊ะ นิรันดร์หันไปเห็นโต๊ะที่อยู่ริมกระจกยังว่างอยู่จึงเลือกนั่งลงตรงนั้นจะได้กินมื้อเย็นไปพร้อมกับดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยเลย

    รับเครื่องดื่มไหมครับ บริกรเดินมาถามเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีให้เลือกทุกประเภทถึงโต๊ะแน่นอนว่าบริการสุดแสนพิเศษทั้งหมดนี้รวมอยู่ในค่ารักษาตัวแสนแพงลิบของคนไข้แล้ว

    ผมขอคิดระหว่างกินข้าวนะครับ นิรันดร์ลังเล เขาไม่ชอบดื่มระหว่างมื้ออาหาร แต่ถ้าเป็นหลังจากอาหารย่อยสักระยะหนึ่งก็ไม่แน่

    หลังจากบริกรเดินออกไปทั้งคู่ก็ลงมือกินมื้อเย็นของตัวเองในทันที เป็นพอร์กช็อปสเต๊กราดซอสเห็ด มันบดและผักลวก ที่ทุกอย่างตักเพิ่มได้ไม่จำกัด ในจานของเกี๊ยวจึงมีพอร์กช็อปอยู่สองชิ้นใหญ่ๆ

    นิรันดร์สังเกตว่าคนตรงหน้าลอบมองเขาอยู่เป็นระยะคงมีเรื่องอยากคุยกับเขามากมาย แต่ไม่รู้ว่าสามารถพูดเรื่องไหนได้บ้าง การที่ต้องมารับรู้เรื่องส่วนตัวของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัวแบบนี้อาจจะทำให้อึดอัดไม่มากก็น้อย

    มีอะไรก็พูดมา เขาบอกขณะหั่นเนื้อเป็นชิ้นพอดีคำ เกี๊ยวทำหน้าเจื่อนเหมือนเด็กที่เพิ่งโดนจับได้ว่าแอบเขี่ยผักทิ้ง(ความจริงก็กำลังทำแบบนั้นหุ่นยนต์ปฏิเสธผักแต่ไม่มีปัญหาเรื่องระบบย่อยอาหาร นิรันดร์จึงไม่บ่น) ชายหนุ่มเสียงอ่อนจนคำถามคล้ายกับคำสารภาพ

    บอกผมได้ไหมครับเรื่องครอบครัวของรัน

    ช่างเป็นคนที่อ่อนโยนเสียจริงนิรันดร์เลิกชื่นชมผู้สร้างหุ่นยนต์ตัวนี้ไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้เขาปฏิบัติต่อเกี๊ยวเหมือนที่ปฏิบัติกับเพื่อนคนหนึ่งชื่นชมเกี๊ยวเหมือนที่ชื่นชมมนุษย์คนหนึ่ง

    เรื่องเศร้าเคล้าน้ำตา น้ำเสียงเจือความประชดประชัน แต่รอยยิ้มจางๆเป็นสัญญาณที่ดีว่านิรันดร์พร้อมจะเปิดเผย พ่อกับแม่เลิกกันตั้งแต่ผมยังจำความไม่ได้ผมอยู่กับพ่อมาตลอด พ่อค่อนข้างไปได้ดีในแวดวงธุรกิจจนลาออกจากงานมาเปิดบริษัทของตัวเอง ทุกอย่างกำลังไปได้สวยแต่มาเจอวิกฤตต้มยำกุ้งหลังจากนั้นไม่นานบริษัทพ่อก็เจ๊ง ติดหนี้คนนู้นคนนี้ไปทั่วสุดท้ายพ่อก็กลายเป็นคนล้มละลาย

    คนเล่ายกน้ำขึ้นดื่มเป็นเรื่องที่ผ่านมานานมากแล้ว นานจนเหมือนภาพฝันที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริงเกี๊ยวนั่งฟังเงียบๆ แต่ก็ลอบมองสีหน้าของอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง

    ตั้งแต่จำความได้พ่อก็ไม่เคยเล่าเรื่องแม่ให้ฟังเดาว่าน่าจะจากกันไม่ดีเท่าไหร่ จนตอนนั้นที่พ่อพยายามตามหาแม่เพราะเลี้ยงผมไม่ได้แล้วแต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ สุดท้ายพ่อเลยพาผมไปทิ้งไว้ที่สวนสนุก

    ฟังดูรันทดเหมือนเรื่องของคนอื่นนิรันดร์แค่นยิ้มเพื่อปลอบใจว่ามันคือนิทานเรื่องหนึ่ง กาลครั้งหนึ่งจบลงที่สูญสิ้นตลอดกาล

    ห้าขวบ... คนเล่านิทานเสียงสั่น ตอนนั้นผมแค่ห้าขวบโดนพ่อทิ้ง ทำอะไรไม่ถูกเลยเอาแต่ร้องไห้ มีคนพาผมไปนู่นไปนี่ถามอะไรไม่รู้เยอะแยะ รู้ตัวอีกทีก็มีคนมารับผมไปอยู่ด้วย ใช่...แม่ที่ไม่เคยเจอหน้ากันนั่นแหละมีเจ้าหน้าที่ตามหาผู้ปกครองให้ผม แม่รู้เรื่องเข้าก็รีบมาหา ตอนนั้นผมโกรธพ่อฝังหุ่นโกรธจนเกลียดอย่างไม่มีวันให้อภัย โกรธทั้งที่มารู้เอาตอนโตแล้วว่าหลังจากทิ้งผมวันนั้นพ่อก็เลือกที่จะจากโลกนี้ไป

    ม่านน้ำที่อาบดวงตาทั้งสองข้างกำลังทำให้คนมองเจ็บปวดเขาไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน มนุษย์เรียกมันว่าอะไรนะ ความรู้สึกไม่อยากให้ใครสักคนเสียใจนั่นน่ะ

    แม่พาผมไปอยู่บ้านตาที่แม่ฮ่องสอนฐานะไม่ค่อยดี ปากกัดตีนถีบกันมาจนผมมาเรียนต่อมหาลัยที่กรุงเทพฯคิดว่าอะไรๆ อาจจะดีขึ้นแต่ตาก็มาด่วนเสียไปแม่ก็เส้นเลือดในสมองแตกนอนเป็นผักมาได้สองปีแล้ว แล้วก็อย่างที่เห็น นิรันดร์ยักไหล่ แม่ล้มป่วยหลังจากที่ผมลาออกจากงานบริษัทพอดีโชคดีที่มาเจอยายแก้วที่รับเข้าทำงานเห็นอย่างนี้รายได้ก็เยอะกว่างานประจำที่เคยทำอีก

    นิรันดร์ไม่อยากให้บรรยากาศอมทุกข์จึงพูดกลั้วหัวเราะ เหลือบมองคนตรงข้ามที่ตอนนี้ยังคงมองหน้ากันอยู่ดูจะตั้งใจฟังไม่น้อยแตกต่างจากเขาที่ค่อนข้างเคอะเขินเพราะไม่เคยเปิดเผยเรื่องนี้ให้ใครรู้มาก่อน

    ผมไม่เคยบอกใครเลยนะเนี่ย นิรันดร์เบนสายตาไปทางทะเล ถึงเวลาต้องปิดหน้าหนังสือนิทาน พระอาทิตย์ตกดินที่นี่สวยกว่าที่ร้านอีกนะ”

    แต่ไม่มีทางเลยที่เกี๊ยวจะมองตามเขาเห็นเพียงแสงอาทิตย์อาบหน้าของนิรันดร์ และดวงตาฉ่ำน้ำคู่นั้นก็สะท้อนเป็นประกายระยับแดด

    อยากฟังเรื่องของผมไหมครับ

    เสียงของเกี๊ยวเรียกให้นิรันดร์หันไปสบตาคู่นั้นอีกครั้งเขาหรี่ตา บอกได้เหรอ

    ความจริงก็ไม่

    ผมว่ามันควรจะเป็นความลับ

    แต่ผมไม่อยากมีความลับกับรัน

    นิรันดร์ยกยิ้มพอใจเขาส่ายหน้าให้น้อยๆ กลัวว่าเรื่องของคุณจะเศร้ากว่าเรื่องของผมน่ะสิเอาไว้ค่อยเล่าวันอื่นเถอะ วันนี้ผมขออุทิศให้ครอบครัวของผมแล้วกัน

    แม้จะพูดทีเล่นทีจริงแต่นิรันดร์คิดว่าคงยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะรู้เรื่องราวของผู้ชายคนนี้

    เสี้ยวสุดท้ายของดวงอาทิตย์ลับหายไปกับท้องทะเลพอดีในตอนที่บริกรเดินมาเก็บจานเปล่านิรันดร์เห็นว่าคงจะได้นั่งคุยกันอีกยาวจึงสั่งทอม คอลลินส์ให้ตัวเองกับน้ำส้มคั้นให้คนที่ยืนกรานว่าจะไม่อนุญาตให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกายอย่างเด็ดขาด

    ผมนอนที่กระท่อมด้วยไม่ได้เหรอ เกี๊ยวถามขึ้นหลังจากนิรันดร์บอกว่าคืนนี้เราจะพักกันที่ไหนนิรันดร์ส่ายหน้าปฏิเสธ

    ผมต้องดูแม่คุณจะนอนไม่เต็มอิ่มเปล่าๆ

    แต่ผมเป็น... เกี๊ยวเบาเสียงลงแม้ในห้องอาหารจะไม่ค่อยมีคนเท่าไรก็ตาม ผมเป็นหุ่นยนต์ ผมไม่ต้องนอนยังได้ ให้ผมดูแลแม่แทนแล้วรันพักผ่อนนะ”

    ดูแลคนไข้ติดเตียงไม่สนุกหรอกนะต้องพลิกตัวทุกสองชั่วโมง ทำความสะอาดร่างกาย เอาโถฉี่ไปทิ้ง ที่สำคัญผมได้อยู่กับแม่แค่เดือนละครั้งเอง ให้เวลาเราสองแม่ลูกหน่อยได้ไหม

    เล่นพูดแบบนั้นใครจะให้ไม่ได้เห็นเกี๊ยวผงกหัวรับนิรันดร์จึงส่งยิ้มให้ เขาหันมองนาฬิกาแขวนของห้องอาหาร เดี๋ยวพี่พยาบาลก็มาตามแล้วผมจะให้เขาพาคุณไปห้องรับรองนะ อยู่ชั้นบนนี้เอง

    ผนังกระจกเปลี่ยนสีแล้วตอนนี้มันมืดทึบทึมเทาจนมองไม่เห็นทะเล เสียงคลื่นลมดังคลอเสียงเพลงของห้องอาหารนิรันดร์ดื่มจนหมดแก้ว พิจารณาชายหนุ่มตรงหน้าอยู่พักหนึ่งก็พูดขึ้น

    ดวงตาคุณเหมือนทะเลเลย

    ท้องทะเลยามราตรีมองตอบ ประกายคลื่นวาววับด้วยความสงสัย

    ครั้งแรกที่เจอคุณดวงตาของคุณมีเอกลักษณ์มาก สีมืดแต่ไม่ใช่ดำสนิท ไม่รู้ว่าเทาเฉดไหน ดูเรียบเฉยและลึกลับแต่บางทีก็เห็นประกายสีฟ้าเหมือนทะเลตอนกลางวัน

    เห็นชัดเลยเหรอ ชายหนุ่มตื่นตกใจ ดวงตาสีฟ้าเป็นสีดั้งเดิมของเขาก่อนถูกสวมตัวตนนั่นหมายถึงหุ่นยนต์ทุกตัวมีฐานดวงตาเป็นสีฟ้าเหมือนกันทั้งหมด

    ถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็นหรอก

    แต่รันเห็น

    ก็ผมสังเกตคุณอยู่ตลอด นิรันดร์ตอบตามความจริง เห็นอีกฝ่ายเงียบไป จึงอธิบาย ผมชอบมองตาคนน่ะ”

    เกี๊ยวจึงจ้องไม่ละสายตาเลย

    สีอะไร นิรันดร์ถาม

    สีน้ำตาล

    เหมือนอะไร เกี๊ยวครุ่นคิด อะไรกันที่ทำให้ดวงตาของคนคนหนึ่งน่าจดจำ

    เหมือน...

    คนฟังคาดหวังในคำตอบ

    ...เหมือนมาดี

    นิรันดร์หัวเราะจนแทบหายใจไม่ทันเขาบอกตัวเองว่าต่อไปถ้าเจอเรื่องเศร้าให้นึกถึงค่ำคืนนี้ไว้ ถ้าไม่หลุดขำที่ได้รู้ว่าสีตาของตัวเองเหมือนสีตาของเจ้ามาดีก็ให้มันรู้ไป

    แต่เกี๊ยวกลับไม่เข้าใจว่านิรันดร์ขำอะไร

     

    ..............................................................

     

    คืนนั้นเขาได้รับการติดต่อจากผู้สร้างเป็นการสื่อสารกันครั้งที่สองตั้งแต่ที่เขาหนีออกมา หากไม่นับระบบสื่อสารฉุกเฉินที่อีกฝ่ายติดตั้งไว้เขาก็แทบจะหลงลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นหุ่นยนต์

    ปลอดภัยดีอยู่ใช่ไหม

    คำถามหลังจากที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานนั้นสร้างความหนักใจให้ชายหนุ่มอยู่ไม่น้อยทั้งที่เป็นเขาเองที่สร้างเรื่องให้ทุกคนเดือดร้อนขนาดนี้

    ปลอดภัยดีครับคุณล่ะ

    เหมือนเดิม

    นั่นหมายถึงยังถูกควบคุมตัวอยู่ในทางที่ดีนะ เพราะถ้าในทางที่แย่ อาจจะถูกขังอยู่ในคุกลับขององค์กร หรือไม่ก็ได้รับโทษบางประการสำหรับความผิดพลาดในตัวทดลองที่ตนสร้างขึ้น

    ...ในทางที่ดี

    หลายครั้งที่ความคิดของเราสื่อสารกันผ่านการคาดเดา

    พวกเขาทำอะไรคุณไหม

    ไม่มีเหตุผลให้ต้องทำหรอกผมยังมีประโยชน์กับเขาอยู่

    นั่นสินะครับ

    อีกเรื่อง...

    อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่งพักใหญ่

    ...ผมรู้ว่าคุณหลบอยู่ที่ไหนไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้ติดตั้งเครื่องติดตามตัวไปมากกว่าที่คุณดึงทิ้งนั่นหรอกที่ผมหมายถึงก็คือ ผมคิดว่าผมรู้

    เกี๊ยวเข้าใจเขาเข้าใจ เราสองคนเข้าใจ

    คุณอยากให้ผมกลับไปไหม

    ไม่อย่ากลับมา ตอนนี้ผมยังออกไปไม่ได้ แต่ผมจะส่งคนไปหาคุณ ไม่ต้องกลัวนะ เป็นคนที่คุณไว้ใจได้อย่างแน่นอนตอนนี้ผมต้องไปแล้ว แค่นี้ก่อน ราตรีสวัสดิ์

    ไม่รอให้ตอบกลับสักคำสัญญาณขาดหายไปอย่างไม่ทันตั้งตัว

    เขาไม่ได้นอนตลอดคืน

    มนุษย์อาจจะเรียกว่าอาการนอนไม่หลับแต่สำหรับหุ่นยนต์อย่างเขาแล้วมันคือการเลือกที่จะไม่นอนมากกว่าค่ำคืนภายในห้องที่ต้องอยู่เพียงลำพังนั้นผ่านไปอย่างเงียบเชียบโดดเดี่ยวอย่างที่นึกสงสัยว่านิรันดร์อยู่คนเดียวมาตลอดได้อย่างไรเกี๊ยวรอให้พระอาทิตย์ขึ้นเพื่อออกไปที่กระท่อมของนิรันดร์ประตูห้องที่เปิดอ้าเผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มที่นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างลมทะเลพัดผมยุ่งเหยิงพันกันจากตำแหน่งที่มองอยู่นั้นเกี๊ยวรับรู้ได้ถึงความโดดเดี่ยวของนิรันดร์ชัดขึ้นกว่าเดิมอีก

    รันได้นอนไหม

    คำถามนั้นดังมาพร้อมกับร่างที่ค่อยๆย่องเข้ามาหาเพราะกลัวจะรบกวนคนป่วยนิรันดร์อยากบอกเหลือเกินว่าต่อให้วิ่งปรี่เข้ามาพร้อมเสียงตะโกนก้องแม่ก็ไม่มีทางตื่นขึ้นมาหรอก

    นอนไม่หลับน่ะ

    นี่ไงมนุษย์ที่นอนไม่หลับปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าแล้ว เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนเหลือเกิน

    ผมก็นอนไม่หลับครับ

    คุณแค่ไม่ยอมนอน

    จริงของรัน ร่างสูงเดินไปนั่งริมหน้าต่างจ้องมองหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนตักของนิรันดร์ อ่านอะไรเหรอ

    หนังสือภาพน่ะ ชูหน้าปกหนังสือ ความรักของวงกลมกับสามเหลี่ยม ให้อีกฝ่ายดูชัดๆ เมื่อก่อนแม่ชอบเล่มนี้มาก เลยอ่านให้ฟังบ่อยๆ”

    เกี๊ยวรับฟังสายตาก็พยายามหันหาเรื่องคุยอื่นอีก แต่กลับโดนขัดขึ้นเสียก่อน

    เดี๋ยวแปดโมงพี่พยาบาลเข้ามาเราก็ออกกันเลยนะไปถึงไวๆ จะได้มีเวลาพักก่อนไปทำงาน คุณขับได้ใช่ไหม

    ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่เกี๊ยวพยายามมองตาคู่สนทนาและตอนนี้ก็กำลังมองอยู่ เขาเลยได้เห็นว่าดวงตาของนิรันดร์แดงก่ำที่ไม่น่าจะเกิดจากการนอนไม่หลับอย่างเดียวแน่ๆ

    ผมไม่ได้นอนคงขับไม่ไหวแต่คุณคงไม่เป็นไรหรอกเนอะ

    แต่ก็พยายามทำตัวปกติ

    รันร้องไห้เหรอครับ

    คาดเดาไว้แล้วว่าอาจจะโดนเกี๊ยวจับได้แต่ทั้งที่รู้อย่างนั้น นิรันดร์กลับทำตัวไม่ถูกเมื่อโดนถามออกมาตรงๆเขาหลุบตาในทันที ไม่ตอบเพราะรู้ว่าพูดไปเสียงคงสั่นต่อหน้าแม่เขาอ่อนไหวได้ถึงขนาดนี้แหละ

    ทำยังไงดีครับ แต่ดูเหมือนเกี๊ยวจะทำตัวไม่ถูกหนักกว่า เขาไม่ได้ป้อนข้อมูลวิธีปลอบใจคนมาเลย

    นิรันดร์หลุดยิ้มทั้งน้ำตา

    รันอยากให้ผมทำอะไรครับ

    ไม่รู้ใครช่วยใครกันแน่นิรันดร์มองหน้าคนที่นั่งย่อเข่าจ้องหน้าเขาอย่างกังวล จึงได้แต่ตอบกลับไป กอดและแน่นอน เสียงของเขาสั่นเครือ

    ชายหนุ่มรับฟังประมวลผล ก่อนจะคว้าร่างของคนตรงหน้ามากอดไว้แน่น นิรันดร์สะอื้นจนตัวโยนซุกหน้ากับไหล่กว้างที่โอบรับทุกร่องรอยการร่วงหล่นของเขาไว้

    ความเจ็บปวดความเศร้า ความสูญเสีย ความหวาดกลัว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยอัดแน่นซุกซ่อนไม่เคยเปิดเผยให้ใครได้เห็นมาตอนนี้กลับแสดงออกไปอย่างไม่ปิดบัง

    เราต่างยินดีที่จะอ่อนแอ

    ภายใต้อ้อมกอดของใครสักคน

     

    ..............................................................

     

    ทุกๆสองสัปดาห์จะต้องมีคนขับรถไปซื้อของบางส่วนเติมเข้าชั้นคู่ค้าประจำเป็นร้านที่อยู่แถบชานเมือง ปกติแล้วนิรันดร์หรือไม่ก็ไพลินจะออกไปซื้อเพียงลำพังเพราะต้องมีคนเฝ้าร้านแต่วันนี้เห็นว่าที่ร้านมีเกี๊ยวอยู่เป็นเพื่อนยายแก้วแล้ว ทั้งคู่จึงออกมาด้วยกัน

    นิรันดร์ขับรถขนของประจำของร้านซึ่งเป็นรถบรรทุกขนาดเล็กออกจากตัวเมืองช่วงบ่ายของวันรถไม่ได้หนาแน่นเท่าไรนัก ไพลินที่นั่งอยู่ข้างๆฮัมเพลงอย่างผ่อนคลาย ลมโกรกเข้ามาผ่านหน้าต่างรถที่หญิงสาวเปิดค้างไว้วันอาทิตย์สุขสงบอย่างที่ควรจะเป็น

    ไม่ได้ออกมาซื้อของด้วยกันนานเท่าไหร่แล้วนะ ชายหนุ่มเปรยขึ้น บทสนทนากับคนที่คุ้นเคยควรจะลื่นไหลได้มากกว่านี้หากไม่ใช่ว่าเขามีเรื่องรบกวนใจอยู่

    สองสามเดือนแล้วมั้งปกติพี่ต้องออกมาคนเดียวตลอด

    เพลงก็ออกมาบ่อย หันมองเสี้ยวหน้าของหญิงสาวอีกครั้ง ความจริงก็ตั้งแต่ออกมาจากร้านแล้วแต่ยังหาจังหวะคุยด้วยไม่ได้ และดูเหมือนไพลินจะรอเขาไม่ไหวอีกต่อไป

    ว่ามา

    นิรันดร์ถอนหายใจโดนจับได้อีกแล้ว เรื่องเกี๊ยว

    อือฮึ

    พ่อเพลงบอกอะไรบ้าง

    ไพลินส่ายหน้าตามองถนน ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่ได้คุยกับพ่อเลยดูเหมือนงานจะยุ่ง บ้านก็ไม่กลับมาตั้งหลายวันแล้ว

    เหรอ... นิรันดร์มักจะหงุดหงิดที่รถคันนี้เร่งความเร็วไม่ได้ดั่งใจแต่มาวันนี้กลับอยากขอบคุณที่มันทำให้เขาได้มีเวลาคุยกับไพลินมากขึ้น ถ้าพี่บอกอะไรบางอย่างเพลงอย่าตกใจนะ”

    เรื่องที่เกี๊ยวเป็นหุ่นยนต์เหรอ

    กลายเป็นนิรันดร์ที่ตกใจเขาอ้าปากเหวอ รู้แล้วเหรอ

    ไพลินหัวเราะร่าเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายถามพ่อเอาวันนั้นแหละ

    แล้วทำไมไม่บอกพี่ว่ารู้อยู่แล้ว

    ที่อ้ำอึ้งมานานเพราะเรื่องนี้เหรอ

    ก็กลัวบอกไปแล้วเพลงไม่เชื่อ นิรันดร์บ่นพึมพำทั้งที่ความจริงรู้สึกโล่งใจเขาไม่อยากมีความลับกับไพลิน

    พี่บอกอะไรเพลงก็เชื่อทั้งนั้นแหละ ได้ทีก็กวนอารมณ์ ไพลินชอบตอนที่นิรันดร์แสดงความรู้สึกออกมามากกว่าพยายามปกปิดแล้วพวกพี่จะเอาไงกันต่อ

    คำตอบคือส่ายหน้าแผนของผู้หลบหนีกับผู้ช่วยเหลือซับซ้อนเพียงเท่านี้ ไม่รู้สิก็คือไม่รู้จริง ๆ

    รถขับถึงหน้าโกดังขนาดใหญ่ที่มีสินค้าเบ็ดเตล็ดแทบทุกอย่างที่ต้องการนิรันดร์กับไพลินเดินเข้าไปเลือกของตามรายการที่จดมาอย่างที่เคยทำ พอมีเพื่อนมาด้วยการเลือกซื้อสินค้าแล้วขนขึ้นรถก็รวดเร็วกว่าตอนมาคนเดียวกว่าเท่าตัวทั้งคู่จึงมีเวลาเดินสำรวจสินค้าใหม่ๆตามที่เจ้าของแนะนำเผื่อว่าจะเอาไปขายที่ร้านได้

    นิรันดร์หยุดอยู่หน้าโซนขายกระเป๋าหลากหลายแบบที่ตั้งเรียงรายอยู่ไพลินที่เดินตามหลังมาหยุดมองตาม เลิกคิ้วถามด้วยความประหลาดใจ

    จะเอาไปขายเหรอ

    ชายหนุ่มส่ายหน้าสิ่งที่เขานึกถึงไม่ใช่ร้านแต่เป็นซองกระดาษของเกี๊ยวต่างหาก มีขายแยกไหมครับ เขาส่งเสียงถามเจ้าของโกดังที่เดินอยู่ข้างๆ ชายวัยชราร่างกายยังแข็งแรงผงกหัวรับชี้ไปยังชั้นล่างที่มีของกองรวมกันอยู่

    ในกองนั้นเป็นของตกหล่นที่ไม่ขายแล้วลองเลือกดูแล้วเอาไปได้เลย

    นิรันดร์ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าเขาจะมานั่งรื้อของกองโตเพื่อเลือกกระเป๋าให้ใครคนหนึ่งที่ไม่ใช่ตัวเองน่าอายอยู่เหมือนกันที่ของขวัญชิ้นแรกที่เขาจะมอบให้ดันกลายเป็นของฟรีค้างสต็อกแบบนี้

    ใบนี้เป็นไง ไพลินช่วยเลือกกระเป๋าสตางค์อย่างเอาจริงเอาจัง ไม่เอ่ยปากถามด้วยซ้ำว่าผู้รับของชิ้นนี้จะเป็นใคร

    เล็กไปอยากได้อันที่ใส่เงินได้เยอะๆ

    เขารวยเหรอ

    เลยต้องทำดีด้วยไง พูดกระเซ้า นึกถึงหน้าเกี๊ยวตอนได้ของขวัญแล้วคงตลกดีมีความเป็นไปได้มากถึงสงสัยว่าเขาซื้อให้ทำไม ไปจนถึงร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งใจอะไรทำนองนั้น

    สุดท้ายทั้งคู่ก็ช่วยเลือกกระเป๋าสตางค์สีดำใบหนึ่งกับกระเป๋าสะพายข้างหนังสีดำอีกใบหนึ่งและยืนกรานที่จะจ่ายค่ากระเป๋าสองใบนี้ให้กับเจ้าของโกดังแม้จะเป็นเงินไม่มากมายนักก็ตาม

     

    เสียงเพลงสากลยุคเก่าที่เจ้าของร้านเป็นคนเปิดทิ้งไว้ดังคลออยู่ภายในร้านบ่ายวันอาทิตย์อากาศร้อนจนเด็กๆ ในละแวกวิ่งเข้ามาซื้อไอศกรีมกันไม่ขาดสายแต่นอกจากนั้นแล้วลูกค้าก็นับว่าน้อยนิดจนน่าใจหาย

    เห็นทีร้านคงจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว

    ไม่รู้ว่ายายแก้วพูดจริงหรือพูดเล่นแต่ชายหนุ่มที่กำลังเช็ดตู้ไอศกรีมอยู่ได้ยินเข้าก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ถ้าร้านปิดขึ้นมารันจะทำยังไงครับ

    หญิงชราที่นั่งตีแมลงวันอยู่ตรงเคาน์เตอร์หันไปหาคนถามชายหนุ่มลุกขึ้นยืนตัวตรง สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด

    ยังไม่ใช่เร็วๆนี้หรอก หรือถ้าปิดขึ้นมายายจะขอเจ้ารันมันก่อนก็แล้วกัน ไม่ต้องห่วงนะ

    ได้ฟังดังนั้นร่างสูงจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกหญิงชราหัวเราะร่วน ถ้าเป็นห่วงนักก็อยู่ด้วยกันนานๆสิ

    เกี๊ยวนิ่งเงียบไปเขาไม่กล้าแม้แต่จะรับปาก ไม่ว่าที่แก้วกุดั่นหมายถึงจะเป็นอยู่ด้วยกันที่นี่หรือกับนิรันดร์ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่านานๆ นั้นมีระยะเวลาเท่าไรแต่เท่าที่เรียนรู้มาก ความหมายนั้นคงเทียบเท่าตลอดไป

    ซึ่งไม่มีจริง...

    มากันแล้ว แก้วกุดั่นหันไปเห็นรถของร้านขับเข้ามา เกี๊ยวหันไปมองตามละทิ้งความกังวลทั้งหมดไว้ตรงนี้แล้วรีบวิ่งออกไปหาในทันที

    กินข้าวหรือยัง คำถามจากคนที่เพิ่งลงจากรถฝั่งคนขับเรียกรอยยิ้มจากร่างสูงได้ไม่ยากปกติแล้วพวกเขาอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลาพอแยกกันแบบนี้จึงรู้สึกเหมือนห่างไกลกันแสนนาน ทั้งที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง

    กินแล้วครับยายแก้วซื้อมาให้ รันล่ะ

    แวะกินระหว่างทางแล้ว

    ไพลินยกยิ้มให้กับบทสนทนาที่เรียบง่ายนั้นก่อนจะเดินไปเปิดประตูด้านหลังรถแล้วช่วยกันขนของเข้าร้านอย่างคล่องแคล่วยายแก้วที่นั่งเฝ้าเคาน์เตอร์อยู่จ้องมองภาพตรงหน้าไม่วางตา รอยยิ้มอบอุ่นเปิดเผยมีบางช่วงเวลาที่เราอยากบันทึกไว้ให้คงอยู่ตลอดไป สำหรับคนเฒ่าไร้ลูกหลานอย่างหล่อนคงเป็นภาพนี้

    ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ

    จวนเจียนขนของจะเสร็จเสียงของผู้มาใหม่ที่ไม่ใช่ลูกค้าก็ดังขึ้น เรียกให้ทุกการเคลื่อนไหวต่างหยุดนิ่งทุกคนหันไปมองหญิงสาวในชุดสูทสีเบจเป็นตาเดียว

    ดอกเตอร์ เกี๊ยวร้องทักด้วยน้ำเสียงสั่นไหวอย่างที่นิรันดร์รู้สึกได้ ร่างสูงชะงักงันอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเดินเข้าไปหาคนที่ยิ้มกว้างให้กันอยู่ก่อนแล้ว

    สบายดีไหม

    มาได้ยังไงครับ

    ฤดีจ้องมองดวงตาคู่คมที่ฉายความรู้สึกชัดเจนขึ้นกว่าครั้งล่าสุดที่ได้เจอกันชัดเสียจนเธอไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดีที่เป็นอย่างนี้มือหนาเอื้อมมาจับมือของเธอไว้ หญิงสาวบีบมือข้างนั้นแน่นถ่ายทอดช่วงเวลาที่ห่างหายกันไปผ่านสัมผัสนี้

    มีคนบอกว่าคุณอยู่ที่นี่

    ชายหนุ่มขมวดคิ้ว“เขาเหรอ

    หากแต่ฤดีกลับยิ้มรับด้วยสีหน้าที่สดใสอย่างเช่นทุกครั้งที่เจอกันเธอหันไปหาคนอื่นๆ ที่แม้จะพยายามทำเป็นไม่สนใจและทำงานของตัวเองต่อ แต่ก็ลอบมองกันด้วยความสงสัย

    ไม่แนะนำทุกคนให้รู้จักหน่อยเหรอ หญิงสาวพูดเสียงดัง ท่าทางมาดมั่นกับบุคลิกเป็นกันเองนั้นทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น

    นี่นิรันดร์กับเพลงเป็นเพื่อนของผมครับ ส่วนนี่ดอกเตอร์ฤดีเกี๊ยวไม่รู้จะแนะนำว่าฤดีเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาอย่างไรจึงเลือกที่จะเว้นไว้ทั้งอย่างนั้น

    ฤดีหันไปมองร่างของคนทั้งสองที่ยืนมองเธออยู่ก่อนแล้วส่งเสียงทักทายก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้พูดอะไรด้วยซ้ำ รูดี้ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ

    ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กันตามมารยาทก่อนที่เกี๊ยวจะพาผู้มาใหม่ไปทักทายคุณยายเจ้าของร้านที่อยู่ด้านในไพลินยังคงยืนมองหญิงสาวคนนั้นไม่วางตา ทีแรกเธอก็ไม่แน่ใจหรอกจนกระทั่งอีกฝ่ายแนะนำชื่อของตน ไพลินก็มั่นใจว่าต้องเป็นคนในรูปภาพใบนั้นอย่างแน่นอน

    แด่คุณ, ไตรติ ธาริกม์ และรูดี้

    หญิงสาวที่ถ่ายภาพร่วมกับพ่อของเธอและผู้ชายที่หน้าตาเหมือนเกี๊ยวคนนั้น

    ธาริกม์และรูดี้

    ไพลินพึมพำถ้าผู้ชายคนนั้นคือธาริกม์จริงๆ แล้วพวกเขาเกี่ยวข้องกันอย่างไรปริศนานี้คงไม่สามารถแก้เองได้และเธอก็ไม่มีทางไปคาดคั้นเอาจากเจ้าตัวแน่ๆสิ่งที่ไพลินทำได้ในตอนนี้จึงเป็นการเฝ้ามองพวกเขาด้วยความเป็นห่วง

    ดูน่าไว้ใจนะ

    ทำไมจะพนันกันอีกไหมนิรันดร์ที่ยังคงขนของเข้าร้านอยู่พูดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของหญิงสาวเขาทำเหมือนไม่สนใจ ใช่ แค่เหมือน

    พี่ลงข้างไหน ไพลินเล่นด้วยเสมอ

    ชายหนุ่มหยุดยืนมองคนสองคนที่ท่าทีดูสนิทสนมกันพอสมควรเขาตอบไพลินด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ถ้าเกี๊ยวไว้ใจ พี่ก็ไว้ใจ

    งั้นเพลงก็ต้องลงตรงข้ามรูดี้ไว้ใจไม่ได้

    เอาตามใจตัวเองดิ นิรันดร์ยกยิ้มมุมปากจ้องมองไพลินด้วยสายตารู้ทันเสียจนเจ้าตัวแยกเขี้ยวใส่

    พี่ชักจะรู้จักเพลงมากไปแล้วนะ ไพลินโยนของชิ้นสุดท้ายให้นิรันดร์เป็นกระเป๋าสะพายที่ด้านในมีกระเป๋าสตางค์อยู่อีกใบหนึ่ง อย่าลืมเอาของขวัญไปให้เขาก็แล้วกัน

    ทั้งคู่ยืนอยู่ข้างกันจ้องมองผ่านประตูร้านเข้าไปด้านใน

    ต่างฝ่ายต่างได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนข้างๆ

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in