CHAPTER 09
โอ้ที่รักแล้วเมื่อไรคุณจะตื่น
ฤดีกลัวว่าจะเกะกะจึงขออนุญาตยายเจ้าของร้านพาพนักงานคนใหม่ไปนั่งคุยบนรถของตัวเองที่จอดอยู่ใกล้ๆ แทนเธอเป็นคนระแวดระวังอยู่เสมอ การปรากฏตัวในครั้งนี้จึงสร้างความประหลาดใจให้ชายหนุ่มได้ไม่น้อยเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนที่ผู้สร้างส่งมาจะเป็นดอกเตอร์ฤดีหัวหน้านักพัฒนาประจำองค์กร ขณะเดียวกัน เขาก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงประโยคที่ผู้สร้างบอกไว้ว่าเป็นคนที่ไว้ใจได้อย่างแน่นอน
“เห็นคุณปลอดภัยก็ค่อยสบายใจหน่อย”
“แล้วคุณล่ะครับปลอดภัยดีไหม”
หญิงสาวยัก
คนฟังกลั้นหายใจฤดีมองเสี้ยวหน้าของชายหนุ่มไม่วางตา “เขาขอให้ฉันมาดูคุณ จะว่ายังไงดีพวกเราก็ตกใจเหมือนกันที่อยู่ๆ คุณหนีมาแบบนี้ บอกฉัน คุณคิดของคุณเองหรือมีใครป้อนคำสั่ง”
ชายหนุ่มยิ้มรับอย่างใจเย็น“ดอกเตอร์จำตอนระบบของผมล่มได้ไหมครับ”
“อื้อ”
“ตั้งแต่ตอนนั้น...ที่ผมมีความรู้สึกขึ้นมา”
ความทรงจำของเขามีเพียงห้องทดลองติดตั้ง ประมวลผล ทดสอบวนเวียนอยู่อย่างนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อที่จะเลียนแบบรายละเอียดเบื้องต้นของมนุษย์ เมื่อไรที่ล้มเหลวก็ต้องเริ่มใหม่ทั้งหมดเมื่อไรที่สำเร็จก็จะทำการทดลองอีกขั้นหนึ่ง วนเวียนอยู่อย่างนั้น วันแล้ววันเล่าเดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า
ฤดีจดจำวันเวลาและทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโกดังได้
“ครับ สองปีที่ความรู้สึกต่างๆ ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นจนผมทนไม่ไหว เลยหนีมา”
ความสงสัยแรกของฤดีคลายลงแล้วเธอแค่อยากแน่ใจว่าหุ่นยนต์ตนนี้ไม่ได้ถูกใครบงการอยู่ สามารถคิดและตัดสินใจได้ด้วยตัวเองเป็นผลงานการพัฒนาที่ก้าวกระโดดเกินกว่าที่คาดการณ์ได้
แต่จะเรียกว่าการพัฒนาได้ไหมนะผลข้างเคียงของไวรัสนั่นน่ะ
“ฉันเป็นคนที่บันทึกความเปลี่ยนแปลงของคุณมาตลอดตอบหน่อย ตอนนี้คุณรู้สึกยังไง”
ชายหนุ่มเอาแต่มองไปตรงหน้าที่คนคนนั้น “กลัวครับ” ดวงตาอ่อนล้าเต็มทีฤดีมองตาม ผลลัพธ์จากการเฝ้าสังเกตการณ์วันนี้ช่างน่าพรั่นพรึง
“กลัวถูกจับได้เหรอ”
“ไม่ใช่ครับ ไม่คล้าย ไม่ได้กลัวเหมือนตอนหนีมาหรือกลัวว่าจะถูกจับได้ ผมกลัวหลังจากนั้นมากกว่า เป็นความกลัวว่าอะไรบางอย่างจะหายไป”
น่าแปลกที่คนข้างๆ กลับผงกหัวรับเขาคิดว่าบางทีดอกเตอร์อาจจะเข้าใจในตัวเขามากกว่าเขาเองเสียอีก
“ถูกทำลาย หรือไม่ก็กลายเป็นตัวทดลองในโครงการใหม่”
ไม่มีทางไหนที่ดีสำหรับเขาแล้วนั่นไม่น่ากลัวไปกว่าการโดนกักขังไว้ตลอดกาลหรอก
“แล้วคนที่ช่วยผมล่ะ”
ชายหนุ่มยังถามไม่ทันจบประโยค ฤดีก็ลดกระจกลงเมื่อเห็นนิรันดร์เดินตรงเข้ามาหาพร้อมกาแฟร้อนสองแก้วแวบหนึ่งที่สายตาคู่นั้นมองผ่านเธอไปยังร่างของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ยายเจ้าของร้านชงมาให้ครับ”
“ขอบคุณค่ะ ใจดีจัง พอมีเวลาคุยกันหน่อยไหมคะ”
“ผมต้องซ่อมตู้ขายน้ำน่ะ”
“น่าเสียดายฉันคิดว่าเราคงมีเรื่องต้องคุยกันเยอะเลยค่ะ”ว่าแล้วก็ส่งแก้วกาแฟไปให้คนที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับก่อนจะหยิบนามบัตรของตัวเองส่งให้นิรันดร์ที่ยืนรออยู่ในทันที “
ดอกเตอร์ฤดี สหรรษเวชตำแหน่งวิศวกรพัฒนา บริษัท ก็อดเดิร์ด คอร์เปอเรชั่น จำกัด (GODDARD) นิรันดร์เลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าเป็นบริษัทเดียวกับที่ระบุในนามบัตรของไตรติพวกเขาเกี่ยวข้องกันจริงๆ สินะ
“ไว้ผมจะติดต่อไปครับ”
ฤดีจิบกาแฟขณะมองร่างที่กำลังเดินกลับไปทำงานของตน“เมื่อกี้คุณถามใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาถ้าคุณโดนจับตัวได้”
“ครับ” เกี๊ยวตอบรับเสียงแผ่วปล่อยให้กาแฟเย็นลงทั้งอย่างนั้น
“ไม่มีทางรู้ได้เลยไม่มีใครคาดเดาความคิดของเทวินได้หรอก”
ฤดีไม่ถามถึงที่หลบซ่อน แผนการความเป็นไปได้ของการหลบหนี หรือรายละเอียดสำคัญอะไรอีก ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอไม่ควรรู้อะไรมากกว่านี้เพื่อความปลอดภัยของทุกฝ่ายถึงจะไว้ใจกันแค่ไหนก็ตาม เธอก็ยังเป็นคนขององค์กรนั้นอย่างยากจะปฏิเสธได้
“คุณก็รู้ พวกเขามีวิธีคาดคั้นมากมายเพื่อจะได้ข้อมูลที่ต้องการ”
บทสนทนาหลังจากนั้นจึงเป็นเรื่องทั่วไปเช่น ทำไมพวกเขาเรียกคุณว่าเกี๊ยว ปกติแล้วทำอะไรบ้าง เงินพอใช้ไหม แล้วก็
“อย่างหลังเขาน่าจะสบายใจกว่านะครับ”
“น่าสนใจ คุณมีความเห็นอกเห็นใจอย่างที่มนุษย์บางคนยังไม่มี”
ฤดีเป็น
ถึงจะอยากอยู่นานกว่านี้แต่ฤดีก็ไม่อยากรบกวนเวลางานของคนที่ดูจะยุ่งกว่าเธอเสียอีกเธอเพียงถูกไหว้วานให้มาดูให้เห็นกับตาว่าผู้หลบหนีที่พวกเขาประคบประหงมกันมายังปลอดภัยดี
“อย่างที่บอก ยิ่งมีคนรู้เรื่องของคุณน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี”หญิงสาวกำชับ “เราต้องวางแผนรับมือเรื่องที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดแต่นั่นก็หลังจากที่เขาถูกปล่อยตัวแล้ว ระหว่างนี้ไม่ต้องห่วงใครทั้งนั้นชีวิตนี้เป็นของคุณ ใช้ได้เลยเต็มที่”ฤดีจับมือของชายหนุ่มไว้แน่น
เขารู้ดีทุกครั้งที่ฤดีจริงจังนั่นหมายถึงเป็นเรื่องสำคัญและเขาดีใจที่เรื่องสำคัญของเธอคือชีวิตของเขา
“ขอบคุณครับ”
“รักษาตัวด้วย”นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนเธอจะขับรถออกไป เกี๊ยวยืนส่งจนรถของหญิงสาวหายไปจากสายตาจากนั้นก็เดินคอตกกลับไปที่ร้านด้วยความสับสนอย่างยากจะจัดการได้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมคนเราถึงกลัวการจากลานัก เพราะนั่นนำความเว้าแหว่งในห้วงหายใจหนึ่งมาให้
“คุยอะไรกันเป็นชั่วโมง”
เสียงที่ดังขึ้นเรียกเขาให้กลับสู่ปัจจุบันเป็นปัจจุบันทันด่วนเสียด้วยสิ เมื่อคนพูดยืนรออยู่หน้าร้านหลังจากซ่อมตู้ขายน้ำอัตโนมัติเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ขอโทษครับ”
คนที่ถามแบบไม่ได้คิดอะไรก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาบ้าง“ขอโทษทำไม”
“ก็นี่เป็นเวลางาน”
นิรันดร์กะพริบตาปริบๆมองคนที่หน้าเจื่อนเพราะเข้าใจว่าถูกเขาตำหนิ “ไม่ได้จะว่าอะไรแค่ถามเล่นๆ เอง ไม่เห็นต้องจริงจังขนาดนี้”เว้นจังหวะให้ตอบ แต่ไม่ตอบ จึงถามต่อ “คนสำคัญเหรอ”
“ครับ”ตอบรับโดยไม่เสียเวลาคิดเลยสักนิด
“เธอจะมาอีกไหม”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เห็นอาการเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัดนิรันดร์จึงกลืนคำถามที่ว่าเธอเป็นใคร มาตามกลับไปเหรอ หรือกระทั่งจะกลับไปเมื่อไรทุกถ้อยคำลงคอไปพร้อมกับน้ำหนึ่งขวดที่ถืออยู่ในมือ ไม่ได้กระหาย เขาแค่ทำตัวไม่ถูก
เย็นวันนั้นมีงานเลี้ยงเล็กๆจัดขึ้นบนชั้นดาดฟ้าของร้าน อันที่จริงมันเป็นวงปิ้งบาร์บีคิวที่พนักงานทุกคนมากินด้วยกันและสลับสับเปลี่ยนลงไปเฝ้าร้านกันเป็นระยะเกี๊ยวปรับตัวเข้ากับทุกคนในร้านได้เป็นอย่างดีนิรันดร์รู้สึกสบายใจเมื่อเห็นชายหนุ่มกำลังช่วยไพลินเฝ้าเตาย่างด้วยความตั้งอกตั้งใจดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แม้หลังจากนี้จะไม่มีเขาคอยช่วยเหลืออยู่ก็ตาม
นิรันดร์พอจะจินตนาการอนาคตของพวกเขาสองคนออกทางใดทางหนึ่งก็จบลงที่แยกจาก ไม่ว่าจะจากดีหรือจากร้าย เราไม่มีทางอยู่ด้วยกันแบบนี้ได้ตลอดไปหรอกถึงตอนนั้นเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกวูบโหวงที่เกิดขึ้นในตอนนี้จะทุเลาลงหรือร้ายแรงกว่าเดิม
“อิ่มแล้วเหรอ”
“อือ”
“ผมดื่มได้ไหมครับ”
นิรันดร์กลืนคำว่า
“เพลงบอกว่าคนเราต้องดื่มเพื่อเข้าสังคม”
“แล้วคุณก็เชื่อเหรอ”
เขาหมายความอย่างที่พูดจริงๆด้วยสัตย์แท้ เขาปรารถนาดี
“ผมเคยอยากเป็นอิสระที่จะคิดหรือทำอะไรก็ได้ตามใจตัวเองแต่สุดท้ายการเลือกอะไรสักอย่างนี่ไม่ง่ายเลยนะครับไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่”หันไปเห็นว่านิรันดร์กำลังตั้งใจฟังอยู่ เกี๊ยวจึงพูดต่อ “เหมือนเป็นอิสระจากโลกหนึ่งเพื่อที่จะพบว่าตัวเองถูกครอบไว้ด้วยโลกอีกใบหนึ่ง ไม่มีสิ้นสุดไม่มีอิสระอย่างแท้จริง จะมนุษย์หรือหุ่นยนต์ก็ถูกกักขังไว้ด้วยอะไรบางอย่าง”
นิรันดร์พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เขาเข้าใจ “แล้วตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดไหมที่หนีมา”
เกี๊ยวเอียงคอครุ่นคิดอย่างเอาจริงเอาจัง ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ครับ ถึงจะย้อนกลับไปได้ผมก็ยังเลือกที่จะหนีมา ผมไม่รู้ว่าต้องใช้ชีวิตแบบไหนถึงจะเรียกว่าควรค่าแก่การมีชีวิตอยู่ต่อให้รู้สึกว่าถูกกักขังเหมือนกัน แต่นี่ก็เป็นกรงขังที่ผมเลือกเอง”
ตั้งแต่ประโยคไหนไม่รู้ที่นิรันดร์ไม่อาจละสายตาจากใบหน้าของคนพูดได้เขายิ้มให้เกี๊ยวอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา “คุณได้เรียนรู้อะไรเยอะเหมือนกันนะเนี่ยเหมือนได้เห็นพัฒนาการของคุณเลย”
“มนุษย์เรียกว่าเติบโตใช่ไหมครับ”
“ใช่...เติบโต” นิรันดร์เอื้อมมือไปลูบหัวชายหนุ่มเบาๆ “
ร่างสูงเอียงคอให้อีกฝ่ายทั้งยังส่งยิ้มกว้างรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองอย่างบอกไม่ถูก แต่อยู่ๆนิรันดร์ก็เบิกตาเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะวิ่งหายไปเสียอย่างนั้น
ไม่นานก็กลับขึ้นมาพร้อมกระเป๋าสะพายใบหนึ่งยื่นให้คนที่ยืนงุนงงอยู่ที่เดิม สิ่งที่ต้องมอบให้เพิ่มเติมจึงเป็นคำอธิบาย
แต่เห็นอีกคนรับไปถือไว้ทั้งที่สีหน้ายังเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจก็อดที่จะเก้อเขินไม่ได้ “ของล้างสต็อกที่โกดังน่ะยังไงก็ต้องทิ้งอยู่แล้ว เสียดายของ” ไม่ยอมบอกหรอกว่าใช้เวลาเลือกอยู่กับไพลินตั้งนานสองนานเลยทีเดียว“ข้างในมีกระเป๋าตังค์ด้วย คุณน่าจะต้องใช้ไม่ใช่เหรอ”
เกี๊ยวเปิดกระเป๋าสะพายออกเพื่อหยิบกระเป๋าสตางค์สีเดียวกันออกมาดูไม่สามารถจัดการความรู้สึกปีติที่เอ่อล้นอยู่ในอกได้
“ไม่ได้มีค่าอะไรขนาดนั้นหรอก”
“ขอบคุณนะครับเป็นของขวัญชิ้นแรกในชีวิตเลย” เกี๊ยวยิ้มจนตาหยีแม้แต่กระเป๋าใบนี้ก็ยังบรรจุความใจดีของนิรันดร์และความดีใจของเขาไม่พอเลย
มันมากล้นจริงๆ
..............................................................
หญิงสาวขับรถเข้าไปจอดในอาคารร้างแห่งหนึ่งผ่านเจ้าหน้าที่ที่กระจายกำลังตรวจตรากันแน่นหนากว่าเมื่อก่อนถึงสองเท่า เธอผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดายแน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อที่แห่งนี้คือที่ทำงานประจำของเธอนั่นเอง
ฤดีหอบเอาความคิดวุ่นวายลงลิฟต์ไปด้วยก่อนที่สีหน้าเคร่งเครียดจะเปลี่ยนไปทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก แทนที่ด้วยรอยยิ้มมอบให้ชายหนุ่มที่ยืนรอลิฟต์อยู่พอดี
“รูดี้!”
“ว่าไงเทวิน”ทักทายเจ้านายอย่างคุ้นเคย เทวินในชุดสีขาวสะอาดสะอ้านอยู่เสมอท่าทีนอบน้อมใจดีรับกันกับรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าใครจะรู้ว่าเขานี่เองคือเจ้าขององค์กรลับแห่งนี้
เทวิน ก็อดเดิร์ดเดินตามหญิงสาวไปที่ห้องทำงานของเธอ ท่าทางเหมือนเด็กเจอผู้ปกครอง
ฤดีเปิดประตูห้องก่อนจะตรงไปที่โต๊ะทำงานของตนห้องทำงานของนักพัฒนาเป็นห้องส่วนตัวแยกกันกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เรียกว่าเป็นห้องสำหรับพักผ่อนและเก็บข้าวของจะดีกว่าเพราะสถานที่ที่ใช้ทำงานส่วนใหญ่จะเป็นห้องทดลองต่างหาก
“ฉันไม่ว่างเล่นกับคุณหรอกนะ”เจ้าของห้องเปิดลิ้นชักหยิบเอกสารมาดูการทดลองที่ต้องรับผิดชอบปล่อยให้เจ้านายนั่งเล่นบนเก้าอี้ทำงานของเธอพร้อมส่งเสียงสดใสโต้แย้ง
“คุณยุ่งอะไรนักรูดี้”
“ก็คุณไม่ยอมปล่อยหัวหน้าทีมของฉันสักทีรู้ไหมว่าการรับผิดชอบงานส่วนของเขามันเหนื่อยขนาดไหน”
เทวินยัก
“เขาเปิดปากแล้ว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการต่างหาก”
“งั้นก็ควรพูดสิ่งที่ผมต้องการสิ”คนเอาแต่ใจเย่อหยิ่งเก่งที่หนึ่ง แต่เมื่ออยู่ในร่างของชายหนุ่มวัยยี่สิบกลางๆนั่นกลับดูเหมือนเด็กดื้อรั้นไม่รู้จักโตก็เท่านั้นหญิงสาวที่จ้องมองอยู่ส่ายหน้าระอา ก้มลงสนใจงานของตัวเองต่อ
“ไม่มีเขางานของเราไม่มีทางเดินไปไหนได้หรอก”
“เขายังมีชีวิตอยู่ก็เพราะเรื่องนี้แหละ”
“ฉันต้องไปประชุม อยากไปด้วยไหม”
“ตามสบายดีกว่าครับคุณผู้หญิง ผมเพิ่งอ่านรายงานการประชุมของทีมบีไป”
“ประชุมเสร็จคุณควรหาเวลาไปเยี่ยมเขานะ”
พูดจบก็ผิวปากเลียนเสียงนกค็อกคาทีลสัตว์เลี้ยงของตนก่อนจะเดินออกไปจากห้องทำงานของฤดีทั้งอย่างนั้นปล่อยให้เจ้าของห้องยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าดังเดิม มีเพียงแผ่นกระดาษที่ถือไว้แน่นจนยับย่นเท่านั้นที่บ่งบอกถึงความรู้สึกที่พยายามเก็บซ่อนไว้อยู่
ความหวาดกลัว...
..............................................................
“ดอกเตอร์ฤดีเป็นนักพัฒนาหุ่นยนต์ครับ อยู่ในทีมที่สร้างผมขึ้นมา”
“ถึงได้ดูสนิทกันมากสินะ”
“ทั้งความทรงจำที่ถูกติดตั้งและความทรงจำของผมเองเธอเป็นคนพัฒนามันขึ้นมาครับ ตอนอยู่ในนั้นเราเจอกันแทบทุกวัน”
“เป็นคนสร้างคุณขึ้นมาน่ะเหรอ”
“ไม่ใช่ครับ คนสร้างคืออีกคน”
“ไม่เห็นเคยพูดถึง ไม่สนิทเหรอ” ถามตอนที่ตากเสื้อตัวสุดท้ายเสร็จพอดีนิรันดร์ยืนกอดอกพิงระเบียง หันหน้ามองชายหนุ่มอีกคนที่ต้องแสงแรกของวันพอดี
“เราไม่ค่อยได้คุยกันน่ะครับ”
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายเลี่ยงจะพูดถึงมากกว่านิรันดร์หันมองความคุ้นเคยจากชั้นสองของห้องแถว กำแพงที่ใครบางคนทิ้งร่องรอยไว้ คราบอ้วกและขยะเกลื่อนถนน คืนวันสร้างรอยปรักหักพังของอาคารอีกฝั่งให้ทรุดโทรมลงแต่เพราะเป็นภาพที่เขาเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจึงไม่อาจรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลง
ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เข้ามาแล้วสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเขาได้อย่างชัดเจนนั่นคือคนที่นั่งยัดเงินใส่กระเป๋าสตางค์อยู่ตรงพื้นห้องของเขาในตอนนี้
“เดี๋ยวพาไปเปิดบัญชีธนาคารให้เอาไหมพกเงินเยอะขนาดนั้นไปไหนมาไหนมันอันตรายนะ”
“ต้องใช้ข้อมูลส่วนตัวด้วยไม่ใช่เหรอครับถ้าเกิดมีคนจับได้คงแย่เลย”พูดจบก็เงยหน้ามองนิรันดร์ด้วยตาเป็นประกาย “แต่ถ้าฝากในบัญชีรันคงไม่เป็นไร”
นิรันดร์ทำเหมือนกันนั่นคือส่ายหน้าปฏิเสธ “ผมขอรับค่าจ้างตอนเสร็จงานก็พอ”
แล้วก็ปล่อยให้เกี๊ยวจัดการข้าวของของตัวเองต่อแม้จะเห็นเอกสารบางอย่างที่น่าจะเป็นข้อมูลสำคัญ นิรันดร์ก็เลี่ยงที่จะพูดถึงมันกลายเป็นเขาเองที่กลัวว่าจะรู้จักเกี๊ยวมากกว่านี้
คนบางคนยิ่งรู้จักกันมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกห่างไกลกันมากเท่านั้น
“คุณจะขอความช่วยเหลือจากคนคนแรกที่คุณเจอหลังจากหนีมาไหมถ้าคนนั้นไม่ใช่ผม”
เป็นคำถามที่ไม่มีที่มา แต่มีที่ไป นิรันดร์อยากรู้จักเกี๊ยวผ่านตัวตนที่อีกฝ่ายแสดงออกมาตอนอยู่ด้วยกันเพียงเท่านั้นและดูเหมือนอีกฝ่ายก็ไม่ได้พยายามปกปิดแต่อย่างใด
“ผมก็จะขอความช่วยเหลือจากเขาครับ แต่เขาคงไม่ยอมช่วยผม”
“ต้องมีแหละ คนที่เห็นเงินแล้วยอมช่วยเหมือนผม”
“หลังจากนั้นเขาก็คงไล่ตะเพิด หรือไม่ก็พาผมไปส่งตำรวจทันทีที่รู้ว่าผมเป็นอะไร แต่คุณไม่ทำ”
“นั่นก็เพราะเงินอยู่ดี”
เกี๊ยวรับรู้เอาตอนนี้ ว่าบทสนทนาที่ดำเนินอยู่ซับซ้อนกว่าเพียงการพูดคุยกันทั่วไปกลายเป็นเขาบ้างที่มองหน้าอีกฝ่ายเหมือนกำลังตามหาความจริงบางอย่าง
ดีเท่าไรที่นิรันดร์หันหลังให้ดวงอาทิตย์อย่างน้อยๆ เงาที่ตกกระทบบนใบหน้าก็ช่วยทำให้อีกคนมองไม่เห็นความอ่อนไหวเพียงเสี้ยวหนึ่งเสี้ยวใดในแววตานี้ได้หรอก
“แค่นั้นแหละ”
จบลงตรงนั้น บทสนทนายืดยาวจบลงที่เจ้าของห้องเดินกลับเข้ามาให้เหตุผลว่า “ต้องนอนแล้ว”แต่กลับลืมตาโพลงอยู่บนที่นอนเพราะนอนไม่หลับได้ยินเสียงเกี๊ยวเก็บกระเป๋าของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เปิดใหม่ อาการเห่อของขวัญดำเนินอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง
ในที่สุดร่างสูงก็ลุกขึ้นไปปิดประตูระเบียงปิดม่าน ดูความเรียบร้อยของห้องเสร็จก็ไปนอนคุดคู้อยู่บนที่นอนข้างๆ กัน ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่นิรันดร์มักจะเว้นที่ไว้เผื่ออีกคนเสมอระยะห่างระหว่างเราหายไปทดแทนด้วยความอุ่นใจ ตอนที่รับรู้ว่าเกี๊ยวนอนลงเรียบร้อยแล้วเขาก็หลับสนิทได้อย่างสบายใจ
นิรันดร์ตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนที่รู้สึกถึงความหนักอึ้งบางอย่างปรือเปลือกตามองก็เห็นคนข้างๆ กำลังกึ่งกอดกึ่งพาดแขนกับร่างของเขาอยู่ ความจริงแล้วไปทางพาดมากกว่าเขาจึงผลักแขนข้างนั้นออกให้พ้นตัวแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อคนที่ความรู้สึกไวอยู่เสมอกลับไม่ตื่นจากการเคลื่อนไหวนั้น
“คุณ...” เขาส่งเสียงเรียก เห็นว่ายังนิ่งอยู่จึงลุกขึ้นนั่งเขย่าแขนเรียกแรงๆ อีกรอบก็ยังไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมาเสียที
นิรันดร์เริ่มหวาดหวั่นคิดในทางที่ดีว่าคงแค่หลับลึกไปหน่อยแต่แล้วความตื่นตกใจก็เข้ามาแทนที่เมื่อพยายามปลุกเท่าไรก็ไม่สำเร็จนิรันดร์ประคองใบหน้าของคนที่ยังคงหลับสนิทไว้ ตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองมือสั่น
“ตื่นได้แล้ว”เสียงที่สั่นพอกันพร่ำเรียกอยู่หลายต่อหลายรอบแต่ก็ไม่มีการตอบรับร่างของเกี๊ยวราวกับไร้ซึ่งชีวิตมากกว่าคนหลับใหลใบหน้าคุ้นเคยยามสงบนิ่งชวนให้ตื่นตระหนกเหลือเกิน
นี่เป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตที่นิรันดร์หวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูกเขาลุกขึ้นยืนหันซ้ายหันขวา ครั้นจะพาไปโรงพยาบาลก็กระไรอยู่ไม่มีใครรู้ว่าหุ่นยนต์เป็นอะไรไปมากกว่าคนที่รู้จักหุ่นยนต์ดีที่สุด
เขาหยิบนามบัตรทั้งสองใบออกมายอมรับว่าทีแรกไม่คิดจะติดต่อใครไปจนเกือบจะโยนทิ้งแล้วมาตอนนี้อยากขอบคุณตัวเองเหลือเกินที่ยังเก็บรักษามันไว้อยู่สิ่งที่น่ากังวลใจลำดับต่อมาคือเขาจะเลือกใครดี
ไตรติพ่อของไพลิน
หรือฤดีที่เกี๊ยวไว้ใจ
นิรันดร์ชั่งใจอยู่ไม่นานเขาเลือกตามสัญชาตญาณล้วนๆ โดยไม่มีเหตุผลใดมาประกอบเลยว่าทำไมถึงขอความช่วยเหลือจากคนคนนี้
ต่อสายหาเบอร์ที่ระบุในนามบัตร เสียงรอสายยาวนานชั่วนิจนิรันดร์เมื่อสายตาจ้องมองไปยังร่างที่สลบไสลอยู่บนเตียงเขาอยากให้เกี๊ยวตื่นขึ้นมาแล้วบอกว่าแค่หลับลึกเกินไป ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น
แต่ไม่เลยไม่มีการเคลื่อนไหวจากร่างนั้นเลย แสงสว่างเดียวในอุโมงค์มืดนี้มีเพียงเสียงตอบรับจากปลายสายเสียงที่เขาอยากได้ยินมากเหลือเกินในตอนนี้
“สวัสดีค่ะ”
นิรันดร์แทบกลั้นหายใจ อย่างไรก็ตามเสียงของเขาที่ตอบกลับไปนั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัดแต่ตอนนี้เขาไม่สนอะไรอีกต่อไปแล้ว
“คุณฤดีใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ คุณ?”
“ช่วยด้วย...”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งแค่ครู่เดียวเท่านั้น เหมือนรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง
“นิรันดร์?”
“ใช่ครับ ใช่... เขาปลุกไม่ตื่น ผมต้องทำยังไง”
“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ”
“เขาเป็นอะไรไปก็ไม่รู้”
“ฟังนะคุณรัน ปกติแล้วหุ่นจะต้องชาร์จแบตฯ เพื่อเติมพลังงานถ้าแบตฯ หมดเมื่อไหร่หุ่นตัวนั้นก็จะไม่เหลือพลังงาน กลายเป็นร่างเปล่าๆไม่สามารถทำอะไรได้ เหมือนมนุษย์เราตอนหลับนั่นแหละค่ะ ตอนนี้ที่ต้องทำคือชาร์จแบตฯให้เขา ปัญหาก็คือเขาไม่ได้อยู่โกดังจึงชาร์จแบตฯ ไม่ได้”
ฟังถึงตอนนี้นิรันดร์ก็ไม่เห็นหนทางว่าจะช่วยให้เกี๊ยวตื่นขึ้นมาได้อย่างไร
“ผมต้องพาเขากลับไปเหรอ”
“ยังมีอีกวิธีค่ะ”
เสียงสวรรค์
“วิธีอะไรครับ”
“ถ้าเขาไปที่โกดังไม่ได้เราก็ต้องขโมยที่ชาร์จมาให้เขาค่ะ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in