Can history be changed? Should it?
ยานฟรานซิส เดรก เร่งเครื่องยนต์ออกจากวงโคจรออกจากดาวเคราะห์ช้า ๆ
นักบินพยายามประคองแนวการเคลื่อนตัวของตนเองให้สามารถใช้ประโยชน์จากแรงโน้มถ่วงระหว่างดวงดาวต่าง ๆ ในระบบดาวให้เกิดประโยชน์มากที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่เผาผลาญเชื้อเพลิงของยานจนมากเกินไป
“เชคอฟ ระดับออกซิเจนในยานเป็นไงบ้าง” กัปตันคอนเนอร์ถามพลางจิบกาแฟในถ้วยช้าๆ
“ผมต้องปล่อยออกซิเจนออกจากห้องเครื่องไปเล็กน้อยเมื่อสามนาทีที่แล้วเพราะถ้ามีมากเกินไปอาจทำให้เกิดประกายไฟได้ คงได้เพิ่มมาตอนเราเดินทางออกจากดาวเมื่อกี้นี้แหละครับ แต่ตอนนี้ทุกอย่างปกติดีแล้ว” นักบินเชคอฟอธิบายพร้อมๆ กับกวาดสายตาตรวจสอบหน้าจอแสดงผลต่าง ๆ ดูอีกครั้งหนึ่ง หลังจากมั่นใจว่าทุกอย่างปกติจริง ๆ เขาก็เหลือบตาไปมองดาวเคราะห์เบื้องล่างที่พวกตนเพิ่งเดินทางจากมาอีกครั้ง “น่าเสียดาย ผมชอบดาวดวงนี้มากเลยนะ”
“เราอาศัยอยู่ที่นี่ไม่ได้” เสียงของเอเลน่า ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาและชีววิทยา ดังมาจากลำโพงของยาน “ตัวอย่างดินที่ฉันเก็บมามีความเป็นกรดสูงเกินไป แถมไนโตรเจนในดินก็น้อยเกินไปด้วย เราปลูกอะไรไม่ขึ้นหรอก”
“แต่เราก็ใช้ดินจากโลกที่เราเอามาด้วยมาผ่านกระบวนวิธีเปลี่ยนดินต่างดาวให้กลายมามีคุณสมบัติเหมือนกันได้ไม่ใช่เหรอ” เชคอฟถามต่อ
“ถ้าเลี้ยงแค่พวกเราสี่คนล่ะก็พอได้อยู่นั่นแหละ” ซายะ โปรแกรมเมอร์ของยานกล่าว “แต่อย่าลืมว่าเรายังมีลูกยานอีกเป็นร้อยคนอยู่ในห้องจำศีลนะ ภารกิจเราคือหาบ้านใหม่ที่เราจะอยู่ไปถาวร ไม่ใช่แค่หาที่ตั้งแคมป์สองสามคืนนะ”
เชคอฟหัวเราะเล็กน้อย ก่อนหันไปทางกัปตันคอนเนอร์อีกครั้ง “เอาไงดีล่ะครับ กัปตัน จริงอยู่ที่ยานเราผลิตเชื้อเพลิงได้เองจากแสงก็เถอะ แต่ขืนเรายังหาที่ปักหลักไม่ได้ ตัวยานจะเสื่อมสภาพไปเรื่อยๆ นะครับ”
“ก็จริงนะ” คอนเนอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงกังวลพลางเรียกหน้าจอแสดงแผนที่ดาวขึ้นมาดูอีกครั้ง “ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเราคงไม่มีทางเลือกนอกจากกลับโลกเท่านั้นแหละ”
ยานฟรานซิส เดรก ออกเดินทางจากโลกเมื่อห้าปีที่ผ่านมา โดยมีภารกิจหลักคือการออกสำรวจอวกาศและค้นหาดาวเคราะห์ลักษณะคล้ายโลกที่สามารถอยู่อาศัยเป็นบ้านแห่งใหม่ของมนุษยชาติได้ ภารกิจนี้มีความสำคัญอย่างใหญ่หลวงเพราะในช่วงเวลาหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา นั้นทรัพยากรธรรมชาติบนโลกเริ่มร่อยหรอลงไปมากเข้าขั้นวิกฤต ในขณะที่ประชากรมนุษย์นั้นยิ่งเพิ่มขึ้น ปัญหาน้ำแข็งขั้วโลกละลายส่งผลต่ออุณหภูมิและกระแสน้ำทะเล ส่งผลให้สภาพภูมิอากาศแปรปรวน เกิดภัยธรรมชาติในอัตราที่บ่อยครั้งขึ้นและยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ยิ่งนานเข้าก็ยิ่งชัดเจนว่าดาวโลกนั้นไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัยอีกต่อไป
--------------------------
“นายรู้มั้ยมิชิโอะ คะกุเคยพูดเอาไว้ว่าการพยายามแก้ปัญหาบนโลกให้ดีขึ้นเนี่ยมันดีกว่าการออกตามหาบ้านแห่งใหม่ต่างดาวกว่าเยอะนะ” ซายะกล่าว
“ไม่ใช่มิชิโอะซักหน่อย คนพูดน่ะนีล ดีแกรส ไทสันต่างหากล่ะ” เอเลน่าเถียง “แล้วอย่าลืมว่าตอนที่เขาพูดนี่มันผ่านมาร้อยกว่าปีแล้ว ตอนนี้อะไรๆ บนโลกมันเลวร้ายลงกว่าตอนนั้นมาก เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหาบ้านใหม่นะ”
“ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าคนบนโลกจะดูแลตัวเองให้อยู่ถึงตอนอพยพนั่นแหละนะ” เชคอฟเสริม
“เอาล่ะทุกคน เงียบก่อน” คอนเนอร์กล่าวตัดบท “ตอนนี้ผมพล็อตเส้นทางไปยังดาวเคราะห์ที่ใกล้ที่สุดดวงถัดไปแล้ว ทุกคนกลับไปประจำที่แล้วเตรียนพร้อมเข้าสู่ความเร็วแสงได้แล้ว”
“ผมชอบใช้คำว่าวาร์ปมากกว่านะกัปตัน” เชคอฟพูดปนขำ “จับให้แน่นนะทุกคน”
ห้านาทีต่อมา ยานฟรานซิส เดรก ก็เดินทางเข้าสู่ความเร็วแสงมุ่งหน้าสู่ดาวเคราะห์เป้าหมาย กัปตันคอนเนอร์นั่งครุ่นคิดถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน แม้ว่ายานจะออกเดินทางจากโลกมาเพียงสองปีจากมุมมองของตนเอง แต่ความหน่วงของเวลาที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางในอวกาศในระยะทางที่ไกลหลายล้านปีแสงนั้นหมายความว่าตอนนี้เวลาบนโลกน่าจะผ่านไปหลายสิบปีแล้ว
คอนเนอร์อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าหากใช้เวลามากเกินไป คงสายเกินไปที่จะช่วยคนบนโลกก็เป็นได้
--------------------------
ยานออกจากความเร็วแสงได้โดยไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น ลูกยานทั้งสี่ตรวจเช็กระบบต่าง ๆ ในยานของตนอีกครั้งตามหน้าที่ของตน กัปตันคอนเนอร์เรียกแผนที่ดวงดาวขึ้นมาเพื่อเตรียมวางแผนเส้นทางการเดินยานต่อไป แต่หลังจากตรวจสอบได้พักหนึ่งก็เจอเรื่องแปลกประหลาดเข้า
“อาร์ทิมิส ช่วยยืนยันตำแหน่งยานของเราหน่อยได้มั้ย” คอนเนอร์ออกคำสั่งกับระบบเอไอของยาน “ผมอยากรู้พิกัดตำแหน่งยานอย่างแน่ชัดอีกทีน่ะ”
หน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าคอนเนอร์ทำการประมวลผลอยู่พักหนึ่ง ก่อนแสดงผลลัพธ์ที่คอนเนอร์ไม่อยากเชื่อ
“ขณะนี้ตำแหน่งปัจจุบันของยานคือสามแสนเจ็ดหมื่นเก้าพันสี่ร้อยห้าสิบสี่กิโลเมตรจากดาวเสาร์ในระบบสุริยะค่ะกัปตัน”
“อะไรนะ!?!” ทั้งเชคอฟ เอเลน่าและซายะต่างอุทานขึ้นมาพร้อมๆ กัน
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะกลับถึงบ้านกันเร็วกว่ากำหนดนะท่านทั้งหลาย” คอนเนอร์กล่าวอย่างใจเย็น แม้ว่าก็รู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ไม่แพ้คนอื่นๆ
“แต่มันเป็นไปไม่ได้!” ซายะกล่าวต่อ “เมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่แล้วเรายังอยู่ในกาแล็กซีแอนโดรมีดาอยู่เลย เราเดินทางข้ามสองล้านปีแสงด้วยการใช้ความเร็วแสงครั้งเดียวไม่ได้หรอกนะ”
“อาจเพราะเราไปโดนรูหนอนโดยบังเอิญก็ได้” คอนเนอร์อธิบาย “โอกาสเกิดยากมาก แต่ก็ใช่จะเป็นไปไม่ได้นะ”
“ถึงจะเป็นไปได้ มันก็ออกจะแปลกเกินไปะครับ” เชคอฟสงสัย “จักรวาลออกตั้งกว้าง แต่รูหนอนที่เราเข้าไปพาเรามาส่งถึงบ้านได้เลย แบบนี้ผมว่ายังไงก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ”
“จะยังไงก็เถอะ ตอนนี้เราเดินทางกลับโลกก่อนดีกว่า” คอนเนอร์ตัดบท “เอเลน่า ติดต่อไอเอสเอส ได้เมื่อไหร่แล้วแจ้งผมเลย”
คอนเนอร์เปิดหน้าจอแผนที่ดวงดาวขึ้นมาอีกครั้ง พลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเคยนำยานฟรานซิส เดรก เข้ารูหนอนที่เจออยู่บ้างสองสามครั้ง แต่ก็เป็นการเข้ารูหนอนขณะที่ใช้ความเร็วปกติเท่านั้น และมีการส่งยานสำรวจขนาดเล็กเข้าไปก่อนเพื่อสำรวจปลายทางก่อนด้วย แต่เขายังไม่เคยเข้ารูหนอนขณะเดินทางด้วยความเร็วแสงมาก่อน แล้วก็อย่างที่เชคอฟพูด มันออกจะบังเอิญเกินไปที่รูหนอนที่ว่าพาพวกเขากลับมายังระบบสุริยะจากอีกกาแล็กซีหนึ่งได้เร็วขนาดนี้
“กัปตัน เกิดปัญหาใหญ่แล้วค่ะ ฉันติดต่อไอเอสเอสไม่ได้” เอเลน่ากล่าวน้ำเสียงตื่นตระหนก “แล้วจากที่ลองตรวจดูจากแผนที่ ฉันไม่เห็นตำแหน่งสถานีบนจอเลย เหมือนมันหายไปเฉยๆ”
“จะเป็นไปได้ยังไงกัน” คอนเนอร์เริ่มเหงื่อตก “เชคอฟ พาเรากลับโลกให้เร็วที่สุดเลย”
--------------------------
สามชั่วโมงต่อมา ยานฟรานซิส เดรก ก็เดินทางถึงขอบวงโคจรของโลก
“ไม่มีไอเอสเอสอยู่จริงๆ” เชคอฟพูด พลางสาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณเส้นขอบฟ้า “ถ้าสถานีเกิดเสียหายแล้วตกลงไปบนโลกหรือหลุดจากวงโคจร อย่างน้อยเราก็น่าจะตรวจจับสัญญาณจากสถานีได้บ้างสิ แต่นี่กลับไม่มีวี่แววอะไรเลย”
ฉับพลันนั้น ก็เกิดแสงวาบจุดเล็กๆ ขึ้นบนผิวโลกขึ้นจุดหนึ่งขึ้น ซึ่งซายะสังเกตเห็นทันพอดี เธอเรียกหน้าจอแผนที่โลกขึ้นมาแล้วพยายามเทียบตำแหน่งดูพร้อมๆ กับคำนวนเวลาท้องถิ่นบนพื้นโลกบริเวณนั้นอิงกับตำแหน่งดวงอาทิตย์ เธอลองปรับแก้กล้องความละเอียดสูงเพื่อตัดเอากลุ่มเมฆที่ปกคลุมบริเวณนั้นออกจากหน้าจอฉายภาพ พร้อมกับคำนวณมุมแสงที่สะท้อนจากพื้นโลกกระทบกับกลุ่มเมฆที่อาจส่งผลต่อรายละเอียดในภาพ
ผลลัพธ์ที่ได้คือมวลเมฆรูปร่างแปลกๆ ที่กำลังลอยขึ้นมาจากจุดที่เกิดแสงวาบเมื่อสักครู่ ซึ่งแม้จะดูเล็กมากจากอวกาศ แต่มีลักษณะโดดเด่นที่คนญี่ปุ่นอย่างซายะรู้จักดี
“กัปตันคะ ฉันคิดว่าฉันพอจะรู้คำตอบว่าไอเอสเอสหายไปไหนแล้วค่ะ” ซายะกล่าวขึ้นขณะมองผลลัพธ์ในหน้าจออย่างไม่อยากเชื่อ
“ทำไมเหรอ ซายะ”
“มันยังไม่ถูกสร้างขึ้นมาต่ะ” ซายะพูดเสียงสั่น ก่อนชี้นิ้วไปที่กลุ่มเมฆที่เธอเห็น ซึ่งตอนนี้แปรสภาพกลายเป็นรูปคล้ายดอกเห็ดลอยขึ้นมาในชั้นบรรยากาศของโลก
“นั่นคือเมืองนางาซากิ ตอนที่ถูกทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ค่ะ”
--------------------------
“โอเค อย่างน้อยเราก็รู้แล้วว่าเรื่องที่เราเจอรูหนอนประหลาดเมื่อกี้นี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน” เอเลน่าพูด “เรานั่งยานข้ามกาแล็กซีมาภายในไม่กี่ชั่วโมง กลับมาโผล่ในยุคสงครามโลกสอง แถมยังเป็นวันเดียวกับวันที่ญี่ปุ่นโดนทิ้งระเบิดนิวเคลียร์พอดีด้วย”
“จะบอกว่ามีใครบางคนส่งเราย้อนอดีตกลับมาเหรอ” เชคอฟถามก่อนขำเล็กน้อย “คงดูหนังมากเกินไปแล้วล่ะมั้งเธอน่ะ”
“ถ้างั้นจะมีอะไรเป็นไปได้อีกล่ะ” เอเลน่าถามกลับ “ยานเราเดินทางข้ามเวลาไม่ได้แน่ๆ และถึงจะเอาความหน่วงเวลาในอวกาศมาคิด ก็ไม่มีทางที่เราจะเดินทางได้ความเร็วที่มากพอที่จะทำให้ได้ความเร็วกว่าแสงมากจนถึงขนาดย้อนเวลาได้ จะมองมุมไหนมันก็เป็นไปไม่ได้ทั้งนั้น”
“จะยังไงก็ตาม เราก็ติดอยู่ที่นี่แล้วตอนนี้” คอนเนอร์พูด “กว่าคนยุคนี้จะคิดเทคโนโลยีการเดินทางในอวกาศได้ก็ยังอีกตั้งสิบกว่าปี เราไปลงจอดที่ไหนไม่ได้เลย”
“แล้วเราลงจอดบนโลกไม่ได้เหรอกัปตัน” เชคอฟถาม
“ไม่ได้ เราเสี่ยงเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของมนุษย์ได้ถ้ามีคนเห็นยานของเรา” คอนเนอร์อธิบาย “การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของเราเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนี้ หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบลง ถ้าเราลงจอดตอนนี้ อาจจะแทรกแซงการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศได้”
“ผมยังไม่เข้าใจว่ามันไม่ดีตรงไหนน่ะกัปตัน”
“ที่กัปตันจะบอกคือถ้าการพัฒนาเทคโนโลนีอวกาศเปลี่ยนไป อาจส่งผลมาถึงเราน่ะสิ” เอเลน่าอธิบายแทน “เกิดปรากฎการณ์ความขัดแย้งของเวลาในประวัติศาสตร์มนุษย์ขึ้น ลองนึกง่ายๆ ก็คือถ้าเราย้อนเวลากลับไปไม่ให้พ่อกับแม่เรามาเจอกัน เราก็จะไม่ได้เกิดมานั่นแหละ ถ้าลองแทนตัวเราเป็นเทคโนโลยีอวกาศของมนุษย์ก็จะเข้าใจได้อยู่”
“เดี๋ยวก่อนสิ” ซายะพูด “ถ้ามีใครบางคนส่งเรามาจากอนาคตจริงๆ อย่างที่เอเลน่าบอก ฉันคิดว่าเขาคงมีจุดประสงค์ให้เราทำอะไรซักอย่างกับประวัติศาสตร์มนุษย์ตอนนี้นะคะ”
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ” คอนเนอร์ถาม
“ฉันแค่ลองคิดดูจากความเป็นจริงที่เกิดขึ้นค่ะ” ซายะเริ่มอธิบาย “ทุกอย่างมันดูประจวบเหมาะเกินไป เราถูกส่งกลับมาอดีตในตอนที่เราเริ่มหมดหวังจะหาดาวที่จะใช้เป็นบ้านใหม่แทนโลก แถมยังถูกส่งมาในช่วงที่การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของเรากำลังจะเริ่มเดินหน้าพอดีด้วย ลูกยานอีกร้อยกว่าคนที่เราพามาด้วยก็มีความรู้ความสามารถระดับหัวกะทิทั้งนั้น ไม่มีกลุ่มคนที่เหมาะแก่การเริ่มต้นชีวิตบนโลกใหม่กว่าคนเหล่านี้แล้ว ฉันคิดว่าคงมีเหตุผลที่ทำไมเราถึงถูกส่งมาที่นี่และตอนนี้ค่ะ”
“เราไม่รู้แน่ชัดด้วยซ้ำว่าใครหรืออะไรส่งเรามานะ” เชคอฟแย้ง “จะเป็นอุบัติเหตุที่แปลกมากๆ รึเปล่าเราก็ยังไม่รู้เลย ผมยอมรับว่าทุกอย่างมันดูประจวบเหมาะเกินไป แต่ก็ไม่มีอะไรที่ยืนยันได้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีกนั่นแหละ แล้วถ้ามีใครส่งเรามาจริงๆ แล้วส่งเรามาทำไมกัน”
“ทฤษฎีไทม์ไลน์เบี่ยงเบน” เอเลน่าพูดขึ้นอีกครั้ง “มันก็เหมือนกับในพวกนิยายไซไฟนั่นแหละ สิ่งที่คนเรามักทำเวลาย้อนกลับมาในอดีตคือพยายามเปลี่ยนแปลงมันเพื่อให้ชีวิตเราในอนาคตดีขึ้นใช่มั้ยล่ะ ฉันคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราน่าจะเป็นหลักการเดียวกันค่ะ”
“ก็คือถ้าเราถูกใครส่งมาจริงๆ” ซายะเสริม “คนๆ นั้นหวังให้เราใช้ประสบการณ์ที่เราเจอมาในไทม์ไลน์เก่ามาเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้มันดีขึ้นกว่าเดิมงั้นสินะ”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เราก็ไม่ต้องกังวลว่าการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์จะทำให้เราไม่มีตัวตน ก็เพราะว่าการที่เราอยู่ที่นี่หมายความว่าประวัติศาสตร์มันเปลี่ยนไปแล้วตั้งแต่แรก” คอนเนอร์สรุป “เชคอฟ เตรียมนำยานลงจอดได้เลย”
“เอาจริงเหรอครับกัปตัน” เชคอฟถาม “ผมยังไม่ค่อยแน่ใจว่าไอเดียนี้ดีเท่าไหร่นะครับ”
“ผมก็เหมือนกันนั่นแหละ แต่เราไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วนี่” คอนเนอร์ตอบ “อีกอย่าง นายคงไม่อยากพลาดงานฉลองชัยชนะหรอกนะ”
เชคอฟลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับก่อนหันไปขับยานต่ออีกครั้ง เอเลน่าหันไปหาซายะซึ่งกำลังมองเมฆดอกเห็ดที่กำลังสลายตัวในชั้นบรรยากาศอยู่
“เธอโอเคนะซายะ?”
ซายะหันกลับมาพยักหน้าก่อนส่งยิ้มน้อยๆ ให้แทนคำตอบ ก่อนหันกลับไปมองดูโลกเบื้องล่างอีกครั้ง ในฐานะคนญี่ปุ่น เธอรู้สึกไม่ดีที่ได้เห็นประเทศตัวเองถูกระเบิดนิวเคลียร์ถล่มแน่นอน แต่เธอก็รู้ว่าประเทศของเธอเองนั้นก็ได้ทำอะไรเลวร้ายเอาไว้มากมายเหมือนกันช่วงสงคราม พอคิดได้ดังนั้นแล้วเธอก็เข้าใจว่ามนุษยชาติโดยรวมนั้นก็คงเหมือนกัน มนุษย์นั้นมีความสามารถทำได้ทั้งสิ่งที่ดีและเลว สร้างได้ทั้งความสำเร็จและความผิดพลาด
บางทีแล้วอะไรบางอย่างที่ส่งพวกเขามาที่นี่ก็คงคิดเช่นเดียวกัน ก็เลยหวังให้เธอและเหล่าลูกยานทั้งร้อยกว่าชีวิตเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเก่าที่จากมา เพื่อสร้างสรรค์โลกใบใหม่ให้น่าอยู่กว่าเดิมนั่นเอง
ยานฟรานซิส เดรก ติดเครื่องยนต์อีกครั้ง และเริ่มเคลื่อนตัวเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลก มุ่งหน้าสู่อนาคตอันไม่แน่นอน
--------------------------
“ท่านนายพลครับ ผมตรวจเจออะไรแปลกๆ บางอย่างครับท่าน” ทหารหนุ่มพูดขึ้นพร้อมกับยื่นกล้องส่องทางไกลให้กับผู้บังคับบัญชาของตน ท่านนายพลหยิบกล้องมาส่องอีกครั้ง และเห็นอะไรบางอย่างลักษณะคล้ายเครื่องบินกำลังแล่นลงจอดอยู่ไกลลิบออกไป
“ติดต่อแอเรีย 51 ให้ผมที” ท่านนายพลกล่าวก่อนยิ้มกว้าง “ผมว่าผมเจออะไรที่พวกเขาน่าจะสนใจแล้วล่ะ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in