เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
รวมเรื่องสั้นSkylinneas
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน บ่วงเวลา
  • What happens if you never run out of time?

    สาธิตมาเข้าร่วมพิธีจบการศึกษาของตัวเองเป็นครั้งที่สามสิบสี่แล้ว


    เขาแทบจะจำทุกรายละเอียดย่อยต่างๆที่เกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาสามชั่วโมงของพิธีการได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคำพูดทุกประโยคในสุนทรพจน์ของผู้อำนวยการ ชื่อของนักเรียนทุกคนที่มาสาย แม้กระทั่งการเดินทุกย่างก้าวไปรับประกาศนียบัตรบนเวที

    ไม่รู้ทำไม แต่เขาได้ใช้ชีวิตในวันเดิมๆ วันนี้มาสามสิบกว่าหนแล้ว สถานการณ์ของสาธิตนั้น หากกล่าวง่ายๆ ก็เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังดราม่าของคนที่ติดอยู่ในบ่วงเวลาที่ต้องใช้ชีวิตในวันเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องบ้าๆ พรรค์นี้จะเกิดขึ้นกับตัวเขาจริงๆ

    “เห้ย ไอ้ธิต เอ็งดูครูวิโรจน์สิ จะหลับแหล่ไม่หลับแหล่อยู่แล้ว”

    ชวิน เพื่อนร่วมห้องของเขาที่นั่งติดๆ กันกล่าวขึ้น ตามที่สาธิตได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว

    “เอ็งเงียบๆไว้เหอะไอ้วิน เดี๋ยวก็โดนครูเขี้ยวเล่นจนได้หรอก”

    สาธิตกล่าวเตือนชวิน ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าอีกไม่ถึงสองนาที ชวินก็จะกลับไปส่งเสียงดังกับเพื่อนแถวหลังอีกครั้ง แล้วเขาก็จะโดนครูนเรศ หรือ “ครูเขี้ยว” มาหยิกหูเตือน แน่นอน ในหลายครั้งที่เขาต้องใช้ชีวิตในวันๆ นี้ซ้ำไปมา บางครั้งเขาก็ทำให้ชวิน หุบปากไปจนได้ แต่ในท้ายที่สุดเขาก็กลับเป็นคนที่โดนครูเขี้ยวหยิกซะเอง ดังนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะอยู่เงียบๆเอาไว้ก่อนดีกว่า

    .................................

    เมื่อกลับมาถึงบ้าน สาธิตก็เปิดสมุดบันทึกของเขาดูเป็นอันดับแรก และพบว่าข้อความที่เขาเขียนไว้ “เมื่อวาน” ได้หายไปแล้วอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด หลังจากถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สาธิตก็เดินไปหยิบนมในตู้เย็นมากิน (ซึ่งปริมาณก็เหลือเท่าเดิมทั้งๆที่น่าจะหมดไปแล้วตั้งแต่ “เมื่อวาน”) พลางคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะหลุดบ่วงเวลานี้ไปได้

    สิ่งสุดท้ายที่เขาทำในวันก่อนวันรับประกาศนียบัตรคือการแวะไปซื้อกับข้าวในตลาดให้แม่ ไม่ต่างอะไรกับที่เขาเคยทำมานับครั้งไม่ถ้วนก่อนหน้านี้ ไม่มีคนแปลกหน้าที่ไหนมายื่นอะไรแปลกๆให้ระหว่างทางกลับบ้านสายเดิมที่เขาเดินผ่านจนชิน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นยังคงเป็นเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา ไม่มีอะไรที่เขาคิดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาติดอยู่ในบ่วงเวลานี้เลย

    “หรือวันนี้เราไปทำอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกไม่ควร ถ้าหากเราไม่ทำสิ่งนั้นให้ถูกต้อง เราก็หลุดจากบ่วงเวลานี้ไปไม่ได้” สาธิตคิด

    แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรมันผิดพลาดล่ะ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาก็ทำตัวเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ ตั้งใจเรียนไม่เคยทำตัวเกเรที่โรงเรียน เรียนได้เกรดดีๆทุกเทอม ไม่เสพยาเสพติด ทั้งยังทำงานช่วยพ่อแม่หารายได้พิเศษอีกด้วย ในชีวิตของเขานั้น น้อยครั้งที่จะมีคำว่า"ผิดพลาด"มาคอยรบกวนจิตใจ ทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นนั้นต้องมีความสมบูรณ์แบบมาเป็นที่หนึ่ง

    แล้วชีวิตจะยังต้องการอะไรจากเขากันอีกล่ะ

    .................................

    สาธิตสะดุ้งตื่นขี้นจากเสียงนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์มือถือที่วางไว้หัวเตียง ทั้งๆ ที่เมื่อวินาทีก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะกระโดดลงมาจากระเบียงบ้านชั้นสองโดยเอาหัวโหม่งพื้นคอนกรีตเบื้องล่าง

    “บัดซบเอ้ย” สาธิตคิดในใจพลางเอามือลูบศีรษะตนเอง

    แม้แต่การพยายามฆ่าตัวตายของเขาก็ไม่สามารถทำให้เขาหลุดจากบ่วงเวลานี้ไปได้ เขาเคยลองนั่งตาค้างอยู่ทั้งคืนโดยไม่นอนด้วยซ้ำ แต่เมื่อเข็มนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน เขาก็หมดสติไปทันที และตื่นขึ้นมาในตอนเช้าวันเดิมอีกครั้ง

    สาธิตเดินห่อเหี่ยวออกจากบ้านด้วยสายตาเหนื่อยล้า นี่มันเริ่มไม่ตลกแล้วนะ เขาลองทำทุกหนทาง ทุกความเป็นไปได้ของสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่อาจหลุดจากบ่วงนรกนี่ไปได้อีก หรือบางทีอาจเป็นตัวเขาเองก็ได้ที่เสียสติไปเอง หลงคิดไปว่ากำลังใช้เวลาอยู่ในวันเดิมซ้ำไปซ้ำมา เหมือนหนูตะเภาที่วันๆ ไม่มีอะไรทำนอกจากวิ่งบนล้อหมุนไปมาไม่มีจุดหมาย

    วันนี้สาธิตตัดสินใจไม่ไปเข้าร่วมพิธีที่โรงเรียน ในเมื่อเขาต้องติดอยู่ในวันเดิมๆนี้ต่อไปอยู่แล้ว ก็ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องไปใส่ใจอะไรกับมันเลย ถ้าเย็นนี้กลับไปเขาจะโดนแม่ด่าก็ช่างประไร อย่างไรซะพอถึง “พรุ่งนี้” ทุกอย่างที่ทำไปในวันนี้มันก็ไม่มีความหมายอะไรอยู่แล้ว

    สาธิตแวะเข้าร้านหนังสือมือสองแถวๆบ้านก่อนซื้อนิยายผจญภัยแฟนตาซีมาอ่านหนึ่งเล่ม ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขาชอบอ่านแต่หนังสือไซไฟมาตลอด บางทีอาจเป็นเพราะเขาใช้เวลาว่างส่วนใหญ่อ่านนิยายไซไฟไปเกือบครึ่งร้านแล้วก็ได้

    “เอ้า วันนี้ไม่ไปโรงเรียนหรือพ่อสาธิต” แม่ค้าร้านหนังสือถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “มีพิธีรับประกาศนียบัตรไม่ใช่เหรอ”

    “อ่อ คือตอนนี้พิธียังไม่เริ่มน่ะครับ ผมเลยรีบแวะออกมาซื้อหนังสือแปปนึง” สาธิตแก้ตัวอย่างรวดเร็ว “ผมอยากอ่านเล่มนี้มานานแล้ว กลัวป้าจะขายหมดก่อนน่ะครับ”

    “คราวหลังมาซื้อหลังเลิกเรียนก็ได้นี่พ่อหนุ่ม” แม่ค้าตอบพลางหัวเราะเล็กน้อยก่อนยื่นเงินทอนให้ “เอ้า รีบกลับไปโรงเรียนได้แล้ว เดี๋ยวก็โดนครูนเรศทำโทษเข้าจนได้หรอก ลูกป้ายังโดนมาแล้วหลายหนเลย”

    “ครับๆ ขอบคุณครับป้า” สาธิตยิ้มตอบก่อน

    “ลึกๆแล้วป้าก็ดีใจนะที่เธอแวะมาอยู่บ่อยๆ” แม่ค้ากล่าวต่อ รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆเลือนหายไป “ช่วงนี้ป้าขายไม่ค่อยออกเลย อะไรๆ มันก็แพงขึ้นยุคนี้ ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปสงสัยป้าคงต้องได้ปิดร้านเร็วๆ นี้แน่”

    สาธิตทำได้แต่ยืนฟังโดยไม่รู้จะตอบอะไร ก่อนเดินออกจากร้านไป

    .................................

    สวนสาธารณะยามสายนั้นอากาศอุ่นสบาย ไม่ร้อนเกินไปและไม่ลมแรงเกินไป ยิ่งในช่วงวันธรรมดาที่คนส่วนใหญ่อยู่ที่ที่ทำงานกันทำให้ในสวนนั้นมีความเงียบสงบไม่วุ่นวาย

    สาธิตเลือกที่จะนั่งบริเวณริมสระน้ำขนาดใหญ่ที่ใจกลางสวน ก่อนเปิดนิยายที่เพึ่งซื้อมาเริ่มอ่าน หากแต่อ่านไปได้ไม่นานก็มีเสียงใครบางคนเรียกชื่อเขาขึ้นมา

    “สาธิต นั่นสาธิตใช่รึเปล่า”

    สาธิตปิดหนังสือพร้อมกับหันไปตามเสียงเรียก และพบว่าเจ้าของเสียงคือครูนิตยา ครูสอนวิชาภาษาอังกฤษของเขาเมื่อปีที่แล้ว

    “อ...อาจารย์...คือผมไม่ได้ตั้งใจ...”

    สาธิตพูดตะกุกตะกัก พยายามนึกคำแก้ตัวดีๆให้ออก แต่ครูนิตยากลับส่ายหน้าน้อยๆพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน

    “ไม่เป็นไรๆ ครูก็แอบหนีงานมาเหมือนกัน”

    “เอ่อ อาจารย์ไม่โกรธผมเหรอครับ”

    “เอาจริงๆ ครูก็ผิดหวังนิดหน่อย เธอสมควรเป็นนักเรียนตัวอย่างของโรงเรียนนะ” ครูนิตยาขึ้นเสียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีความโมโหในน้ำเสียงเลย “แต่ครูจะไปว่าเธอได้ยังไงกัน ในเมื่อครูเองก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของครูอย่างถูกต้องเหมือนกัน”

    “แต่นี่มันพิธีรับประกาศนียบัตรนะครับ” สาธิตสงสัย “พิธีออกจะสำคัญ อาจารย์ไม่ว่าอะไรเหรอครับที่ผมไม่เข้าร่วม”

    “เหอะๆ พูดยังกับเธอเป็นเด็กคนแรกที่ทำแบบนี้อย่างนั้นแหละ อีกอย่าง ครูว่าเธอเองก็สมควรได้เวลาพักผ่อนบ้าง เห็นได้ข่าวมาว่าปีนี้ตั้งใจเรียนหนักมากเลยไม่ใช่เหรอถึงได้เกรดสี่เกือบทุกตัวเนี่ย”

    ครูนิตยาตบบ่าสาธิตเบาๆก่อนนั่งลงตรงที่นั่งข้างๆ สายตาของครูมองออกไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า

    “บางทีครูก็รู้สึกเหนื่อยกับสิ่งที่ครูทำเหมือนกัน” ครูนิตยากล่าวพลางถอนหายใจเบาๆ “อาชีพการเป็นครูเนี่ยต้องอาศัยความอดทนและความทุ่มเทสูงเลยทีเดียวนะ ถ้าใจไม่รักจริงนี่ทำไม่ได้”

    “ผมว่าทุกอาชีพมันก็เหมือนกันนะครับ” สาธิตกล่าว “ถ้าเราไม่รักมันจริงๆ ต่อให้เราจะเชี่ยวชาญมากแค่ไหน แต่ก็หาความสุขในสิ่งที่ทำไม่ได้หรอกครับ”

    “ก็ถูกของเธอนะ ครูเองก็ต้องยอมรับว่าตลอดเวลายี่สิบกว่าปีของการเป็นครูนี่ ก็มีอยู่หลายครั้งที่ครูรู้สึกท้อแท้ อยากจะเลิกสอนแล้วหางานใหม่ทำ เธอก็รู้ เด็กรุ่นเธอเดี๋ยวนี้ยิ่งเป็นตัวของตัวเองมากกว่ารุ่นครูเยอะ จะสอนอะไรมันก็ยากขึ้นทุกวัน นี่ยังไม่นับปัญหาอีกร้อยแปดพันเก้าที่ทำให้ชีวิตครูรู้สึกเหมือนย่ำอยู่กับที่”

    สาธิตมองดูสายตาเศร้าสร้อยของครูนิตยา นึกถึงคำพูดทิ้งท้ายของคุณป้าแม่ค้าร้านหนังสือเมื่อเช้านี้

    “ถ้าสมมติอาจารย์มีโอกาสได้กลับไปเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ทำในอดีตได้ อาจารย์คิดว่าในตอนนี้อาจารย์จะยังอยากเป็นครูอยู่อีกมั้ยครับ” สาธิตถาม

    “อะไรกัน สาธิต หาพล็อตเรื่องไปแต่งนิยายหรือไง” ครูนิตยาหัวเราะ “เอาจริงๆนะ ครูว่าครูคงไม่อยากไปแก้ไขอะไรหรอก ครูทำหน้าที่นี้มาเกือบครึ่งชีวิตของครูแล้ว จะให้ไปทำอย่างอื่นมันก็คงไม่ใช่เรื่อง ถึงชีวิตการเป็นครูมันจะไม่สมบูรณ์แบบนัก แต่มันก็เป็นชีวิตเดียวที่ครูรู้จัก และครูจะใช้ชีวิตนั้นต่อไปให้ดีที่สุด”

    “แต่ว่าถ้าสมมติอาจารย์ทำได้จริงๆล่ะครับ” สาธิตถามต่อ “ถ้าอาจารย์สามารถแก้ไขทุกอย่างได้และเปลี่ยนชีวิตตัวเองได้จริงๆน่ะครับ”

    ครูนิตยาหันมายิ้มให้สาธิตอีกครั้ง

    “เคยมีคำพูดของฝรั่งคนหนึ่งกล่าวเอาไว้ว่า ‘มันยากที่จะใช้ชีวิตในปัจจุบัน ไร้สาระที่จะเพ้อฝันถึงแต่อนาคตและเป็นไปไม่ได้ที่จะจมอยู่กับอดีต ไม่มีอะไรห่างไกลไปกว่าหนึ่งนาทีที่ผ่านมา’* สำหรับครูแล้ว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของครูตอนนี้ ถ้าครูจะเปลี่ยนอะไรได้จริงๆ สิ่งเดียวที่ครูจะเปลี่ยนคือครูจะหาเงินมาให้พอซ่อมเจ้ารถเก่าที่บ้านให้มันกลับมาวิ่งได้ซักที ครูจะได้ไม่ต้องลำบากนั่งรถเมล์มาโรงเรียนทุกวันนะ”

    สาธิตนั่งฟังทุกถ้อยคำของครูนิตยาอย่างตั้งใจ สำหรับครูนิตยา มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะย้อนกลับไปแก้ไขเวลาหนึ่งนาทีที่ผ่านไปแล้ว แต่สำหรับเขาแล้ว เขามีเวลาให้เอ้อระเหยตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงทุกวัน แม้ว่ามันจะเป็นการใช้ชีวิตวันเดิมซ้ำไปซ้ำมาก็เถอะ แต่การใช้เวลาทั้งวันจมปลักอยู่กับความคิดที่ว่าต้องติดอยู่ในวังวนตลอดกาลนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นเลย จริงอยู่ที่ว่าทุกอย่างที่เขาทำนั้นสุดท้ายก็คงไร้ความหมาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีความสุขไปกับมันไม่ได้นี่

    อีกอย่าง เวลาตลอดกาลนานที่เขามีนั้นก็มีอะไรให้ทำได้เยอะแยะจะตายไป

    “เอาล่ะ เห็นทีได้เวลาที่ครูต้องกลับไปปั่นงานต่อล่ะ” ครูนิตยาลุกขึ้นพลางมองนาฬิกาข้อมือ “เธอเองก็ควรกลับไปร่วมพิธีเหมือนกัน เดี๋ยวครูช่วยคุยกับครูนเรศให้เอง”

    “ครับ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับอาจารย์” สาธิตกล่าวพร้อมกับยิ้มกว้าง

    .................................

    “...แล้วแกหนีออกจากบ่วงเวลามาได้ยังไงวะไอ้ธิต”

    ชวินถามชายวัยกลางคนอายุไล่เลี่ยกับตนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างสงสัยใคร่รู้ ชายคนนั้นค่อยๆหันกลับมาพลางยิ้มอย่างกวนๆให้ ไม่ต่างกับในสมัยที่ทั้งคู่ยังเป็นเด็ก

    “ก็ฉันเป็นคนสร้างมันขึ้นมาไง” ศาสตราจารย์สาธิตกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ฉันแก้ไขอดีตใม่ได้ ฉันเลยหาวิธีให้อดีตมันแก้ไขตัวมันเองไงล่ะ”

    ชวินนั่งอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนกล่าวต่อ

    “ฉันรู้ว่าแกฉลาดโคตรๆก็จริง แต่นี่มันออกจะเหลือเชื่อเกินไปแล้วนะเว้ย แกกำลังจะบอกว่าแกควบคุมเวลาในอดีตของแกได้งั้นเรอะ”

    “ฉันรู้ว่าฉันทำได้ เพราะเวลากำหนดให้ฉันทำไง เวลาพันกว่าปีที่ผ่านมาฉันเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้ตั้งเยอะ” สาธิตตอบก่อนเดินไปหยิบหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ หนังสือเล่มเดียวกันกับเล่มที่เขาซื้อจากร้านหนังสือมือสองในวัยเด็ก

    “เรื่องตลกอย่างหนึ่งของเวลาคือมันไม่มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดคล้ายๆกับวงกลม แต่ในขณะที่วงกลมนั้นสามารถวนกลับมาที่ตำแหน่งเดิมได้ เวลากลับเดินหน้าไปเรื่อยๆและไม่มีวันย้อนกลับมา ณ จุดที่ผ่านไปแล้ว สิ่งที่ฉันทำก็ไม่ต่างอะไรกับการเปลี่ยนเวลาให้เป็นวงกลมนั่นแหละ ลองนึกดูง่ายๆ ทางเดียวที่เครื่องย้อนเวลาจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อเวลากำหนดให้มันทำงาน ดังนั้นการที่ฉันติดอยู่ในบ่วงเวลาตอนเด็กก็เพราะถ้ามันไม่เกิดขึ้น ก็ไม่มีตัวฉันในตอนนี้ไง”

    สาธิตมองดูหนังสือเล่มเก่าคร่ำครึที่อยู่ในมือ ทั้งมัน ทั้งป้าที่ร้านขายหนังสือ รวมไปถึงครูนิตยา ทุกสรรพสิ่งต่างพ่ายแพ้ให้กับกาลเวลาทั้งสิ้น เวลาคือทรัพยากรที่สำคัญที่สุดที่หนึ่งชีวิตมิอาจมีเพียงพอได้ แต่ตัวเขาเองกลับมีเวลาตลอดกาลให้จดจำทุกความรู้ ทุกทฤษฎี ทุกการค้นพบต่างๆที่มนุษย์สามารถค้นพบได้ เวลาหนึ่งวันที่ผ่านไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าเปลี่ยนชีวิตของเด็กธรรมดาคนหนึ่งให้กลายเป็นเด็กอัจฉริยะที่สามารถคิดค้นทฤษฎีล้ำยุคต่างๆที่พลิกโฉมหน้าโลกไปในทางที่ดีขึ้นได้ รวมไปถึงการคิดค้นวิธีการหยุดห้วงเวลาสั้นๆห้วงหนึ่งเอาไว้ได้อีกด้วย

    และเมื่อถึงเวลาอันสมควร บ่วงเวลานั้นก็ปล่อยตัวเขาออกมาในที่สุด

    เวลานั้นคือเวลาที่เขาเอ่ยประโยคหนึ่งกับครูผู้เปลี่ยนชีวิตของเขาในอดีตที่ผ่านมานานแสนนานมาแล้ว
    “ผมเปลี่ยนเวลาหนึ่งนาทีที่ผ่านมาไม่ได้ แต่ได้เวลาตลอดกาลมาเป็นเจ้าของผมก็ดีใจแล้วครับ ครูนิตยา”


    *แปลมาจากคำพูดของนักเขียนชาวอเมริกัน James Alonzo ‘Jim’ Bishop


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Kornfern Panyasuppakun (@fb2043779355716)
สนุกมาก