“Choose Life” คือ วลีแรกที่แล่นเข้ามาในหัวหลังจากที่เรียบเรียงบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้เสร็จ PAPAYAH’s ARCHIVE ขอเริ่มต้นเดือนตุลาคมด้วยเรื่องราวชีวิตสุดเข้มข้น ของ “น้อยหน่า - ยลภา เพียรพนัสสัก” ฟรอนต์วูแมนของ “YONLAPA” วงดนตรีอินดี้ร๊อกจากเมืองเชียงใหม่ที่กำลังเป็นที่จับตามองและน่าจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งศิลปินดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งปีของวงการดนตรีนอกกระแสในบ้านเรา ผ่านคำบอกเล่าจากปากของเธอเอง ซึ่งเราขอสารภาพตามตรงว่าไม่รู้จะเขียนเข้าสัมภาษณ์ชิ้นนี้ยังไงดี แต่ในฐานะผู้สัมภาษณ์ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่างานเขียนชิ้นจะช่วยเป็นแรงบัลดาลใจและเติมพลังชีวิตให้ใครก็ตามคนที่ต้องการในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่ทุกคนกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้เช่นเดียวกับที่ผมได้รับจากหญิงสาวสุดแกร่งคนนี้
ก่อนอื่นอยากให้พูดถึงโซโล่เซ็ทที่โชว์ที่ “Columbo Caft Village” วันนี้หน่อย เป็นยังไงบ้าง
น้อยหน่า : วันนี้เหรอ….วันนี้ก็สบายๆ เพราะเล่นคนเดียว ก็ไม่ต้องซาวน์เช็ค สบายๆ….เล่นช้าๆ ชิวๆ ตามฟีล
ในฐานะคนดูเราสังเกตว่าโชว์นี้ไม่ได้มีความเป็นโชว์เหมือนตอนที่คุณเล่นกับวง บรรยากาศระหว่างโชว์เหมือนการเล่นกีต้าร์ร้องเพลงให้เพื่อนในวงสนทนาเล็กๆ ฟัง เราอยากทราบว่าคุณมีการเตรียมตัวยังไง เพลงที่เลือกเล่นมีการลิสค์มาก่อนหรือเปล่าหรือไปด้นสดเอาข้างบน
น้อยหน่า : มีลิสต์เพลงไหม….โชว์นี้หน่าก็เพิ่งเลือกเพลงก่อนที่จะขึ้นเล่น แล้วแต่งานค่ะ อย่างงานนี้ชิลๆ เราเริ่มมีเพลงของตัวเองแล้วด้วย ก็เลยหาเพลงคัฟเวอร์มาเสียบง่าย อยากเล่นเพลงไหนก็เล่น
รูปแบบของโชว์วันนี้คือโชว์ลักษณะเดียวกับตอนที่ออกไปเล่นกลางคืนเลยหรือเปล่า
น้อยหน่า : ใช่ค่ะ แต่ว่าถ้าหน่าเล่นกลางคืนตามร้านต่างๆ หน่าจะไม่เล่นเพลงตัวเองเลย จะเล่นแค่คัฟเวอร์ แต่ก็จะเป็นมู้ดประมาณนี้เลย ปัจจุบันก็เหลือยังเล่นประจำอยู่ 2 ร้าน ซึ่งลดลงแล้ว เมื่อก่อนทำงานออฟฟิศแล้วก็เล่นไปด้วย แล้วก็ทิ้งงานออฟฟิศไป มาเล่นอย่างเดียว แล้วพอมีวงก็ลด เริ่มเล่นน้อยลง
ตอนสมัยทำงานออฟฟิศ คุณทำงานอะไร
น้อยหน่า : ตอนแรกแปลข่าว แปลข่าวภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาไทย เอามาโพสลงเพจของบริษัท แต่หลังๆ มาเขาบอกว่าหน่าแปลไม่ค่อยดีก็เลยไปวาดการ์ตูน ซึ่งก็รู้สึกว่าชอบแต่หน่าก็เจออีกปัญหานึงคือแม่ป่วย เลยต้องเลือกเอาสักงานจะได้มีเวลาดูแลแม่ ก็เลยตัดสินใจลาออกออฟฟิศ
ก็เลยเลือกดนตรี
น้อยหน่า : ใช่ ก็เลยตั้งใจแบบว่า เลือกเล่นดนตรีอย่างเดียวไปเลย แต่ก็มีงานเสริมคือ ขายเสื้อผ้ามือสอง
แล้วรายได้หลักมาจากตรงไหน เล่นดนตรีหรือเปล่า
น้อยหน่า : ไม่เป็นหลักอะ หน่าขายเสื้อผ้าได้ตังค์เยอะกว่า (ผู้สัมภาษณ์ : แบรนด์อะไรครับ ชื่อร้านอะไร ) ไม่มีแบรนด์อะ หน่าไปคัดเสื้อมือสองมาขาย แล้วก็เอามารีด ถ่ายรูป โพสขาย อะไรยังงี้ “น้องกันต์ - อนุภาพ เฟยลุง” มือกีต้าร์ เป็นคนแนะนำ เขาขายอยู่ก่อน หน่าคือชอบขายเสื้อผ้ามานานแล้วแหละ ขายเสื้อผ้ามือสอง เริ่มจากขายของตัวเองก่อนตั้งแต่สมัยมหา’ลัย แล้วก็ห่างหายไป เราเลยพอจะมีความรู้เรื่องนี้อยู่นิดหน่อย ต้องส่งยังไง ต้องไปคัดยังไง (ผู้สัมภาษณ์ : อยู่เชียงใหม่เขาต้องไปคัดที่ไหน ชายแดนแม่สอดงี้เหรอ ) ไม่ใช่ชายแดน (หัวเราะ) แต่ก็ลักษณะประมาณนั้น เพราะในเชียงใหม่ก็จะมีร้านหลักๆ อยู่ไม่กี่ร้าน เราต้องรู้ว่าเราอยากได้เสื้อผ้าประมาณไหน ลูกค้าของเราเป็นคนสไตล์ประมาณไหน เราก็จะไปคัดตามแหล่งนั้น ต้องเชื่อมั่นว่าลูกค้าก็จะต้องเชื่อสายตาเรา รสนิยม สไตล์เราด้วย ต้องสะสมพวกนี้ไว้อยู่ในคอลเลคชั่นไอจีของเรา เขาก็จะ ถ้าซื้อเสื้อแบบนี้ต้องร้านนี้น
อย่างเสื้อผ้าที่เราใส่เวลาเล่นดนตรีคือเอามาจากของที่เราคัดมาขายด้วยไหม
น้อยหน่า : ไม่ใช่ หน่าขายเสื้อผ้าผู้ชาย แมนๆ หน่อย หน่าขายเสื้อพวกกั๊กแบบว่าเป็น Fishing Vet เสื้อกั๊กตกปลาอะไรพวกนี้ เหมือนที่พวก ‘swag’ ชอบใส่ หรือว่าเป็นแบบเจแปนก็ได้มันปรับได้หลายแบบ แล้วแต่สไตล์ของเสื้อกั๊กนั้น ตอนแรกก็ขายเสื้อผ้าผู้หญิงแหละ แต่ขายไม่ดี พอเปลี่ยนแนวมาขายเสื้อผ้าผู้ชายดันขายได้ ขายดีด้วย เลยจับทางมาทางนี้ตลอด
มาที่สไตล์การแต่งตัวของน้อยหน่าบ้าง มีวิธีเลือกยังไง
น้อยหน่า : เลือกเอง เป็นคนที่ชอบดูแฟชั่นโชว์ ชอบดูที่เขาถ่ายแบบกันอะไรยังงี้ เวลาเราหาอะไรมาได้เราก็จะลองเอามาแมชท์กันดู ไปเรื่อยอะ ชอบแมทช์อยู่ละตั้งแต่สมัยเรียนมหา’ลัย บางทีก็ใช้ได้ บาง บางทีก็ไม่ได้เรื่อง ทดลองไปเรื่อย
แล้วเดี๋ยวนี้ยังมีเฟลอยู่ไหม ยังแป๊กบ้างไหม
น้อยหน่า : มี หน่าว่ามี หน่ารู้สึกว่าหน่าเป็นคนที่ไม่ได้เหมาะกับทุกชุดอะ หน่าไม่ได้เป็นไม้แขวนเสื้อที่ดี หน่าไม่ได้มีหุ่นที่ดี ไม่ได้มีหน้าตาที่แบบ ดีขนาดนั้น เลยรู้สึกว่าต้องเลือกเสื้อผ้าที่เข้ากับบุคคลิกเรานิดนึง อย่างเช่น ถ้าหน่าใส่หวานมาเลย หน่าก็รู้ว่าหน่าไม่ใช่คนอย่างงั้นใช่ไหมพี่ หน่าก็จะรู้สึกเขินตัวเอง ไม่มั่นใจ เคยใส่เปิดไหล่ไปเล่นนะ โห รู้สึกแย่ รู้สึกไม่มั่นใจ ทำอะไรก็แย่ไปหมด ก็เลยคิดว่าเป็นเรานี่แหละดีที่สุด
แล้วสไตล์ในแต่ละวันเหมือนกันไหม
น้อยหน่า : ไม่เหมือน หน่าว่าหน่ามียุคของตัวเอง จะมีช่วงๆ นึงใส่แต่ฮาวายไปเล่น ใส่แต่ขาสั้นอะไรยังงี้ หลังๆ เราก็เริ่มจะหยิบเอาชิ้นที่เราไม่เคยใส่มาใส่บ้างอย่างเช่นหมวกอันนี้ (เอามือแปะหมวกที่เธอกำลังใส่อยู่) กับกางเกงขาบาน เสื้อเชิ๊ต เมื่อก่อนเราจะชอบใส่เสื้อยืด เราก็พยายามเอามันมาผสมกันไปเรื่อย สนุกอะ เมื่อก่อนหน่ากลัวมากที่จะแต่งตัว กลัวเฟล แต่เดี๋ยวนี้มันเริ่มสนุก ไม่อายละ จะเฟลก็ช่างมัน ตลกดี
อะไรคือทำให้เราเริ่มคิดอย่างนั้น
น้อยหน่า : หน่าคิดว่าหน่าเริ่มมีคนรู้จักด้วยนะ ทั้งๆ ที่หน่าคิดว่าหน่าน่าจะมีความกลัวมากขึ้น แต่หน่ากลับมีความรู้สึกว่า เราต้องแสดงให้เขารู้ไปเลยว่าเราเป็นยังไง หน่าจะสบายใจกว่าจะต้องมาคีฟตัวเองว่าจะต้องแต่งตัวอย่างงั้นอย่างงี้ แต่งแบบเราไปเลย หน่ามั่นใจที่จะเป็นแบบนี้ หน่ากล้านำเสนอตัวเองมากกว่า
ช่วยอธิบายสไตล์การแต่งตัวของเราในช่วงนี้หน่อย
น้อยหน่า : ช่วงทัวร์ที่ผ่านมาเหรอ….โห หน่าผสมเลยนะ อย่างที่ผ่านมาสามวันเนอะพี่ที่หน่าไปทัวร์ สองวันแรกหน่าจะแต่งเป็นผู้หญิงหน่อย แต่วันสุดท้าย (น้อยหน่าพูดถึงทัวร์ภาคกลางและเฮดไลน์เนอร์โชว์ครั้งแรกที่กรุงเทพ ของวง ‘YONLAPA’ ที่ Brownstone ในช่วงสุดสัปดาห์ก่อนการสัมภาษณ์) หน่ารู้สึกว่าเป็นตัวเองที่สุด มันเท่ มันมีเลเยอร์ของเสื้อผ้า หน่าชอบใส่เสื้อผ้าที่มันผิดจากอากาศเมืองไทย ชอบอะไรที่มันเป็นแฟชั่นหนาวอะ เรารู้สึกว่ามันเท่ มันมีหลายเลเยอร์บนร่างกายเรา เราเป็นคนที่ไม่ชอบใส่เสื้อตัวเดียวฟิตๆ ใส่กางเกงเอวสูงแบบผู้หญิง แต่เราก็ใส่ในสองวันนั้นเพราะว่าเราอยากดูหวาน ซึ่งจริงๆ เรารู้สึกมันอึดอัด ถ้าหน่าชอบที่สุดก็คงเป็นเสื้อตัวใหญ่ๆ แต่เราก็เริ่มฝึกมากกว่า เริ่มฝึกแต่งตัวแบบผู้หญิงหวานๆ มากขึ้น เพราะเราอยากรู้สึกว่าเราสามารถเล่นได้หลายบุคลิก น่ารักก็ได้ เท่ก็ได้ อะไรก็ได้ เราไม่อยากไปปิดกั้นตัวเอง ลองดู
เห็นบอกว่ากว่าจะเริ่มหัดเขียนเพลงก็คือหลังเรียนจบมหาวิทยาลัย แล้วกีต้าร์ล่ะ เริ่มเล่นตั้งแต่เมื่อไหร่
น้อยหน่า : เล่นกีต้าร์มาตั้งแต่ประมาณ ม.3 ซึ่งจริงๆ คุณพ่อซื้อกีต้าร์ให้ตั้งแต่ ม.1 หยิบแล้วก็วางไว้ไม่ได้เล่นเป็นปีเพราะว่ามันเจ็บมือก็เลยเล่นไม่เป็น พอ ม.3 หน่าชอบดนตรีมาก วงที่ชอบที่สุดที่แบบมีโปสเตอร์ติดเต็มห้อง แม่ต้องไปตลาดนัดไปซื้อไปหามาให้คือวง “Retrospect” หน่าชอบมาก เพลง ‘ปล่อยฉัน’ หน่าว่าเมโลดี้มันเพราะมากเลยอะ หน่ารอฟังในคลื่น Seed ( ‘SEED FM’ เป็นชื่อรายการวิทยุส่วนกลาง ในเครือสถานีวิทยุ อสมท ออกอากาศในระบบเอฟเอ็ม ความถี่ 97.5 เมกะเฮิร์ตซ์ มีพื้นที่ออกอากาศ ครอบคลุมเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตลอด 24 ชั่วโมง และผ่านเครือข่ายดาวเทียม ไปยังสถานีวิทยุ อสมท ส่วนภูมิภาคทั้ง 53 แห่งทั่วประเทศ ปัจจุบันปิดตัวไปแล้ว R.I.P ) แบบ รอแม่งทุกวันอะ แล้วมันได้ที่ 1 นะ หน่าจำได้เลยเพลงนี้มันติดชาร์ทอันดับหนึ่ง แต่คลื่นไม่ค่อยเปิดเลย หน่าโคตรเซ็งเลย หลังๆ ก็เลยรู้สึกว่าบ้านต้องมีอินเตอร์เน็ตให้ได้ ( ผู้สัมภาษณ์ : โอโห้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลย เพื่อที่จะได้ฟัง "Retrospect" ถ้าสมาชิกวงได้มาอ่านแม่งคงจะดีใจมากๆ ) ใช่ มันมีพลังนะพี่ เพลงร๊อกอะ หน่าชอบมาก
คุณบอกว่าคุณชอบ ‘Retrospect’ มาก แสดงว่าเป็นชาวร๊อกมาตั้งแต่เด็กเลยหรือเปล่า
น้อยหน่า : ช่วงที่หน่าอยู่ ม.3 หน่ารู้สึกว่าวงอย่าง “No More Tear”, “Sweet Mullet” ,“Retrospect” คือเขาจะแตกต่างจากวงที่เคยมีอยู่แล้วของแกรมมี่มาก แล้วเราถูกใจมากเลย โดยเฉพาะ “No More Tear” จากที่ไม่เคยชอบวงดนตรีผู้หญิงหรือวงที่มีมีนักร้องนำเป็นผู้หญิงที่มันมีมาก่อนหน้านั้นในไทยเลยเลย เพราะเรารู้สึกว่าวงดนตรีผู้หญิงยุคก่อนมันมีลักษณะของการถูกตีกรอบ วงผู้หญิงจะต้องใส่ส้นสูงหนังดำ ต้องมีลุคหรือมีฟอร์แมตแบบนั้นแบบนี้ ไรงี้ เราไม่ชอบเลย แล้วพอมาเจอฟัคแฟงหน่าแบบว่า เออ เชี่ย แม่งโคตรเท่เลย เราเคยไปยืนดูวงเขาเล่น เราร้องไห้เลย แบบเป็นไรก็ไม่รู้ เป็นคนที่เซนซิทีฟกับเรื่องเห็นไอดอลอะ หน่าเซนซิทีฟเฉยเลย เราเป็นแฟนคลับของหลายๆ วงในยุคนั้น อยากถ่ายรูปกับพี่ๆ “Sweet Mullet” หน่าก็ลุยไปเลยหลังเวที และหน่าก็ต้องเป็นแน่นอนเลย “Retrorian” ผ่านยุคนั้นมาคือโคตรฮา
แล้วเคยดู “Retrospect” เล่นสดปะ
น้อยหน่า : ไม่เคยยยยย ไม่เคยเลย แม่หน่าไม่เคยให้ไปคอนเสิร์ต ขนาดคอนเสิร์ต “Ritalinn” มาที่ Big C หน้าบ้านหน่า ยังบอกให้หน่าดูน้อง หน่าก็แบบเศร้า ร้องไห้ ฮือๆ
น้อยหน่าเป็นเด็กวัยรุ่นอีโม
น้อยหน่า : ใช่ สำหรับเราคือมันไม่มีอะไรที่จะเท่ไปกว่านี้แล้ว ทุกคนอาจจะชอบ กามิกาเซ่ หรืออะไรยังงี้ช่วงนั้น แต่หน่ารู้สึกถูกใจกับอะไรที่มันดาร์กๆ เท่ๆ ไม่แบ๊ว ไม่ใส ไม่ความรัก อะไรยังงี้ มันแตะใจกว่าพวกเพลงป๊อปใสๆ พอมานั่งเล่าหน่าก็เริ่มคิดถึงตัวเองเมื่อก่อนเหมือนกันนะว่าทำไม แต่มันก็เป็นเอง มันคงเป็นบุคคลิกของเราเอง
ตอนนั้นฟังเพลงต่างประเทศบ้างไหมหรือฟังแต่เพลงไทย
น้อยหน่า : พอเริ่มมีอินเตอร์เน็ตเราก็เริ่มฟังเพลงต่างประเทศ ( ผู้สัมภาษณ์ : โอโห้ นี่คือขวนขวายที่จะมีอินเตอร์เน็ตเพราะ ‘Retrospect’ เลยเหรอ ) อืม….ไม่รู้สิ หน่าจำไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมหน่าไม่เปิดฟัง “Retrospect” ใน…..อ๋อ มันมี อินเตอร์เน็ตอะแต่มันนานมากที่จะโหลด Youtube ให้มันเต็มขีด มันต้องเชื่อมกับโทรศัพ์แล้วมันจะดัง ตุ่ด ตุด ตู๊ด ตุ๊ด ตุด ตุ่ด เลยอะ ดังนั้นเร็วที่สุดคือ ฟังวิทยุ เพราะมันโหลดนานมาก นอกจากว่าเราจะไรท์แผ่นจากเพื่อนมาเปิด อันนั้นเร็วสุด “Retrospect : The First Concert” โอโห ดูเป็นร้อยรอบ ม๊วน ตอนเป็นเด็กอยากไปมาก ( ผู้สัมภาษณ์ : ซึ่งพอมีอินเตอร์เน็ตที่เร็วแล้วเลยได้ฟังเพลงเยอะขึ้น ) ใช่ เริ่มจากดูสัมภาษณ์ก่อน นักดนตรีไทยใช่ไหม เขาก็จะบอกเขาฟังวงนี้มาครับ ผมฟังวงนี้ มันเป็นแรงบัลดาลใจของเขาอะไรยังงี้ เราก็เริ่มตามฟัง แต่หน่าจำไม่ได้นะว่าหน่าฟังอะไรก่อน แต่ว่าช่วง ม.3 หน่ามีวงดนตรีด้วย ก็เลยเริ่มจากเล่นเพลง “No More Tear” หลังจากนั้นก็ขยับมาเล่น “Paramore” อย่างพารามอร์เนี่ยหน่าฟังหนักเลย เหมือนจุดประกายในใจเลย แต่หน่าร้องเพลงของวงเขาไม่ค่อยถึงนะ พวกเพลงที่ใช้พลังมากๆ อย่าง ”Misery Business" หน่าฟังแล้วหน่าชอบมากว่าเขาร้องได้ยังไง (ผู้สัมภาษณ์ : แล้วงานของ “Paramore” ยุคหลังๆได้ฟังบ้างไหม) ยุคนี้ไม่ฟังเลย ล่าสุดฟังที่ฟังก็เพลง “Still Into You” คือตั้งแต่มือกีต้าร์ที่ชื่อ ‘Josh Farro’ ออกไป หลังจากอัลบั้ม “Brand New Eyes” พอมือกีต้าร์ออกก็ไม่ได้ฟังเลย หน่ารู้สึกว่ามันเปลี่ยนนะ หน่าว่าซาวน์มันเปลี่ยน งานยุคหลังมันมีความอิเล็กทรอนิกมากขึ้นแล้วเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ แต่เราก็เข้าใจว่ามันเป็นการพัฒนา แต่เนี่ย หน่าคิดว่าหน่าน่าจะติดภาพจากดูทัวร์พวก “Paramore” อะไรยังงี้แล้วมันทำให้หน่าคิดว่าหน่าอยากเป็นอย่างงั้น น่าเลยแบบ…. หน่าไม่อยากเป็นนักร้องเดี่ยวอะ มันมีเสน่ห์มากเลยการความเป็นวงดนตรี คือหน่าจะมีคนในวงจะเป็นผู้หญิงหมดเลยก็ได้นะ แต่กลายเป็นว่านักดนตรีในดวงใจหน่าทุกคนกลับเป็นผู้ชาย หน่าก็เลยเลือกทำงานกับผู้ชาย น้องๆ อะไรยังงี้ หน่าคงติดภาพจากที่หน่าเสพเยอะๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าตรงนี้จะกลายเป็นอาชีพ งงมากเหมือนกัน แปลกใจตัวเองเหมือนกัน แล้วก็หน่าก็ร้องได้ไม่ดี เพลงแบบ “Paramore” มันไม่ใช่เสียงของเราเลย เราเค้นเอาอะพี่ พอเราเริ่มจับทางเสียงของเราได้เราก็เริ่มหาแนวทางที่มันสบายสำหรับเราเวลาร้อง เลยต้องแต่งเพลงร้องเอง คือเยี่ยมเลย
คือเท่าที่คุยกันมาคุณเริ่มต้นจากการฟังเพลงร๊อกจัดๆ มาตลอด แล้วอยู่ดีๆทำมันเราถึงมาทำเพลงในแบบที่ทำอยู่ในทุกวันนี้
น้อยหน่า : พอเข้ามหา’ลัยมันเราก็ได้แนวดนตรีหลากหลายเต็มไปหมด หน่ามีเพื่อนหลายกลุ่ม มีทั้งเพื่อนมหา’ลัย เพื่อนที่ร้านหมาล่า เพื่อนที่พาหน่าไปที่ Zoey เชียงใหม่ เป็นดีเจเปิดเพลง แด๊นซ์ เพลงฮิปฮอป คือหลากหลายมาก พี่ก็เป็นเรกเก้ มันทำให้เราแบบ ตอนนั้นแม่งฟังหมด ฟังแม่งทุกอย่างเลย (ผู้สัมภาษณ์ : คือในเชียงใหม่คุณไปมาทุกร้านแล้ว ) มันเป็นยุคมากกว่า อย่างเช่น ตอนเรียนปี 2 หน่าทำงานเสิร์ฟอาหารในร้านอาหารเกาหลี ช่วงนั้นก็จะฟังเพลงเกาหลีเยอะมาก โห จนหน่าร้อง “Hyukoh” ได้อะพี่ ตอนนั้นหน่าถึงขั้นไปเรียนสะกดคำในภาษาเกาหลีเพื่อที่จะรู้ว่าคำนี้กับคำนี้มันควบกันยังไงและเราควรจะออกเสียงยังไง เราชอบเพลงเกาหลีมาก เราว่ามันเป็นอะไรที่โคตรหลากหลาย
คือเพลงที่ฟังในแต่ละช่วงชีวิตคือแล้วแต่สถานการณ์ชีวิตตอนนั้นๆจะพาไป
น้อยหน่า : ใช่ ใช่เลย หน่ารู้สึกว่าไม่ว่าชีวิตหน่าจะอยู่ที่ไหน ดนตรีจะอยู่กับหน่าตลอด (ผู้สัมภาษณ์ : แต่มันจะหน้าตาไม่เหมือนกัน ) ใช่ แต่หน่าสนุกนะ อย่างเช่น พอไปทำงานร้านเกาหลี เจ้าของร้านก็จะเปิดเพลงเกาหลีทุกวัน ก็เปิดๆ จนเราร้องได้ พอโตมาหน่อยก็ได้ไปทำงานที่ร้านหมาล่า ก็ไปเจอ “พี่นาวิน - นาวิน รักในศิล” มือเบสวงเรานี่แหละ แกเป็นเรกเก้ค่ะ ใช่ค่ะ แกเป็นเรกเก้ เขาคือสมาชิกวง “Smile Station” แล้วเราก็ โห พี่คนนี้ หล่อด้วย เล่นเบสดีด้วย ขรึมด้วย เขาคนนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาแต่ว่าเล่นดี ก็ทาบทามแกไว้นานแล้ว “เดี๋ยวถ้าหน่ามีวง หน่าจะเอาพี่มาเล่นด้วยนะ” แกก็คงจะคิดว่า โอ้ยมันก็น่าจะพูดไปเรื่อย นานมาแล้ว แต่เราอะทำจริงๆ แต่เราเจออะไรที่ทำให้ชงักหลายอย่าง แต่ก็ยังทำอยู่ หน่าว่าหน่าต้องลุย
จากที่เล่นคัฟเวอร์ “Paramore” สนุกๆ กับเพื่อนที่โรงเรียน มาเล่นดนตรีกลางคืนได้ยังไง
น้อยหน่า : ช่วงที่ไปอยู่ร้านหมาล่านี่แหละ เจอพี่นาวิน แล้วก็เจอพี่โจ้-เขียนไขและวานิช ละก็ พี่เรย์ อิสยา พี่เรย์เนี่ยทำงานวันเดียวกับหน่า ปิ้งย่างด้วยกัน เสิร์ฟด้วยกัน แล้วแกกับพี่โจ้ก็จะมีเล่นดนตรีประจำที่อยู่ที่ร้านๆ นึงในเชียงใหม่ชื่อร้าน “Sven Pound” ด้วย พอเสร็จงานจากร้านหมาล่าเรามักจะดื่มเบียร์กัน ทุกคนจะเอากีต้าร์มาผลัดกันเล่น พอถึงตาเราเล่น เขาก็แบบเฮ้ย เล่นได้ด้วยเหรอ อะไรยังงี้ เขาก็เลยชวนไปเล่น ร้านเขาก็ให้โอกาสหน่า ตอนนั้นก็เล่นแบบ ไม่เต็มชั่วโมงบ้าง เล่นแบบยังไม่เก่งอะ แต่หน่าชอบนะ ชอบที่แบบ เล่นชั่วโมงเดียวได้ตังค์ละ กับที่เราเสิร์ฟอาหารหลายๆ ชั่วโมงเราได้แค่ไม่กี่บาทเอง ก็คิดอย่างนั้นด้วยแล้วก็ชอบด้วย ทำไมจะไม่ทำล่ะ แต่ในขณะนั้นเราก็หางานประจำไปด้วย ทำงานโรงแรม ทำงานออฟฟิศ จนที่มาเป็นพนักงานออฟฟิศนี่แหละค่ะ…..
ก็เลยตัดสินใจว่าพอแล้ว ไม่เอาแล้วยังงี้เหรอ
น้อยหน่า : หน่าว่า จุดเปลี่ยนของชีวิตหน่ามันเกิดขึ้นตอนที่ที่แม่เสียด้วย เหมือนก่อนหน้านี้ที่หน่าตั้งใจเรียนให้จบ ที่หน่าตั้งใจหางานที่มันดูเป็นหลักเป็นแหล่ง ที่มันมีสวัสดิการที่มันสามารถเอาไปใช้กู้ยื่นในชีวิตจริงได้ หน่าทำให้แม่ พอแม่เสีย เหมือนแบบ…..มันก็เสียใจนะ แต่อีกมุมนึงเราก็เหมือนเรามีอิสระแล้ว แต่เราก็ยังมีพ่อและน้องที่หน่ายังเป็นห่วงอยู่ แต่ว่าแต่หน่าจะสนิทกับแม่ที่สุด แม่เป็นทุกอย่างสำหรับหน่า หน่าคิดอนาคตกับแม่ไว้แล้วว่า เป็นมะเร็งต้องหายนะ ถ้าหน่าทำงานได้ตังค์เยอะๆ แล้วเราจะมาซื้อบ้านอยู่ด้วยกันที่เชียงใหม่ หน่าจะได้อยู่ใกล้ๆ แม่ ไม่ต้องไปกลับเชียงใหม่ลำพูนตลอด แต่สุดท้ายแกก็เป็นมะเร็งแล้วก็เสียไป ตอนแรกก็เศร้ามากเลยนะ หน่าเศร้าแบบ โอ้โห….มันจะเศร้าอะไรขนาดนั้น และความโศกเศร้าตรงนั้นนี่แหละเลยกลายมาเป็นเพลง “Let Me Go” แต่งมา เพราะว่าตอนนั้นหน่าไม่ทำอะไรเลยพี่ โคตรเศร้าอะ แม่งนั่งอยู่บนโซฟาทั้งวัน ตั้งแต่หน่าตื่น พี่โด่งแกก็ออกไปทำงานที่สตู ตั้งแต่หน่าตื่น ยันเย็น ยันค่ำ หน่าอยู่บนโซฟาอย่างงั้นอะ แบบ โอ คิดถึงแม่ ทำยังไงดี รู้สึกผิด คิดแบบย้อนไปหมด ก็เลยเป็นเพลง “Let Me Go” ทำไมหน่าไม่ยอมโตสักที อะไรยังงี้ เราเสียใจ ละต่อมาก็เขียนเพลง “Why Why Why” เขียนถึงแม่ แม่อยู่ไหน หน่าสับสนในหัวจังเลย….เหมือนแกนชีวิตเรามันหายไป เราไม่รู้จะทำยังไง จากเมื่อก่อนเหมือนที่เราจะมีแม่จะเป็นคนที่คอยชี้นำเราตลอดว่า เราต้องทำอย่างงั้นนะ ทำอย่างงี้นะ มันเป๋อะพี่ ล้มเลยอะ 6-7 เดือนได้มั้งกว่าจะกลับมาทำนั่นทำนี่ได้ พอผ่านมาได้หน่าเลยคิดว่าอย่างอื่นคงไม่ยากเท่าเรื่องนี้ละ (ผู้สัมภาษณ์ : 6-7 เดือนนี่คือไม่ทำอะไรเลย กีต้าร์ก็ไม่เล่น) ก็เนี่ยเขียนเพลง ก๊องแก๊งๆ อยู่บ้านวันละนิดละหน่อย หายใจไม่ออกก็ไปออกกำลังนายนิดนึงละก็มานั่งต่อ ก็พยายามแล้วแต่มันก็เศร้าอยู่ดี มันก็ต้องใช้เวลา แต่หน่าก็ว่ามันนานอยู่
แล้วเวลามันช่วยจริงไหม
น้อยหน่า : ช่วยจริง อันนี้เรื่องจริงเลย หน่ารู้สึกว่าตั้งแต่แม่เสียหน่าโตขึ้นเยอะ จากที่หน่าจะเป็นคนที่ซีเรียสกันทุกเรื่องถ้าไม่ได้ดั่งใจ ทุกอย่างต้องเป้ะ แม่ต้องหาย ทุกอย่างมันต้องเป็นไปตามที่เราคิดสิวะ น้องต้องเรียนจบ ครอบครัวเราต้องเป็นยังงี้ๆ สิวะ ทั้งที่ท้ายที่สุดชีวิตมันไม่กลับเป็นอย่างที่เราคิดเลย พ่อก็ไปอีกทาง แม่ก็ป่วย น้องก็เรียนไม่จบ มันก็ทำให้เราแบบ โอ้ แต่พอมาตอนนี้หน่าช่างแม่งอย่างเดียว เหมือนก่อนหน้านี้เรารู้สึกว่าเราจะต้องรับผิดชอบทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น ทั้งที่ความจริงหน่าไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ (ผู้สัมภาษณ์ : แล้วตอนนี้คือไม่ทำแล้วเหรอ ) ก็ยังดูแลอยู่ห่างๆ ตอนนี้ก็เหลือแต่พ่อกับน้อง พ่อเราก็ดูแลสุขภาพ ส่วนน้องก็แบบว่าค่อยๆ ประคับประคองไป มันเป็นช่วงวัยรุ่น ถ้ามันโตมาแล้วเอาตัวรอดได้เราก็พอใจ ไม่ต้องมีเงินมีทองมาก ใช้ชีวิตให้มีความสุขก็พอ เราตกผลึกมายังงี้ พอหน่าโตมา เชี่ยมันไม่ต้องอะไรละขอให้มันแบบ มีความสุขก็พอ แค่นี้เลยชีวิตอะ ทำเหี้ยอะไรก็ทำเลยไป มึงมีความสุข มึงเลี้ยงตัวเองได้ก็พอละ ไม่ยุ่ง ช่างแม่ง พูดถึงทั้งพ่อทั้งน้องเลยนะ ถ้าพ่อจะแต่งงานใหม่ หรือน้องจะใช้ชีวิตยังไง แล้วแต่เลย เพราะเรารู้สึกว่า เราไม่อยากเป็นคนที่แบบว่าไปฝากรอยใจไว้ให้ใคร เหมือนที่แม่อยากให้เราเป็นยังงั้นยังงี้ ก่อนแม่ตายไปสอบข้าราชการให้แม่ได้ไหม อะไรยังงี้ มันทำให้เรารู้สึกในใจหลายๆ อย่าง เราทุกข์อะ เราไม่อยากให้คนอื่นทุกเหมือนคำพูดแม่มันอยู่ในใจเรา หน่าก็เลยปล่อย แต่บางทีหน่าก็ด่าน้องนะ หน่าด่าบ่อยจริง หน่าคาดหวังไง แต่หลังๆ ก็ไม่ค่อยละ หลังๆ เริ่มแก่น่าจะเริ่มรู้ นี่คือเรื่องเดียวที่หน่าห่วงก็คือ ครอบครัว เรื่องงานเรื่องอะไรก็ปล่อยให้ชีวิตมันพาไปข้างหน้าไป อย่างหน่ามายังงี้ เวลามามาต่างจังหวัดหรืออะไร หน่าจะคิดถึงพ่อกับน้องตลอดเลย ไม่ได้อยากให้มาด้วย แต่คิดว่าเขาจะทำอะไรกันอยู่ เขาจะมีความสุขไหมตอนนี้ อยากให้พวกเขามีความสุข เพราะหน่ารู้สึกผิดเหมือนกันนะถ้าหน่ามีความสุขแล้วพ่อกับน้องไม่รู้เป็นยังไงบ้าง หน่าก็ไม่รู้เหมือนกัน
จาการได้ฟังที่มาของเพลง “Let Me Go” คือเพลงมันเศร้านะ แต่ทำไมดนตรีมันออกสดใสขนาดนั้น
น้อยหน่า : ก็เขาเอาไปทำกันไง (หัวเราะ) ตอนแรกหน่าไม่โอเคเลย หน่าพี่บอกพี่โด่ง พี่โด่งมันไม่ใช่ฟีลอะ มันไม่ใช่อย่างที่หน่าแต่งมาเลย มันไม่ตลกเหรอที่มันขึ้นมา ตื่ด ตืด ตื้อ ตือ ตือออ (หัวเราะ) หน่าถามพี่โด่งพี่โด่งตอบกลับมาว่า ไม่นะ มันเท่มากเลย แต่พอเรากลับมาฟังตอนหลังจากที่มันชินหูทุกคนแล้ว เรากลับรู้สึกว่ามันเพราะมากเลยนะ หน่ารู้สึกว่ามันคอนทราสต์กันดี มันเศร้าก็จริง แต่มันเหมือนดนตรีมันดึงให้หน่า แบบ เฮ้ย อย่าเศร้าขนาดนั้นเลย เหมือนคนในวงเหมือนพยายาามปลอบเราผ่านดนตรีว่า เฮ้ย อย่าเศร้าขนาดนั้นเลย คือหน่าไม่ได้บอกทุกคนว่า เฮ้ย มันต้องเศร้านะเว้ยเพลงนี้อะไรยังงี้ หน่าว่ามันก็ดีนะ มันทำให้แตกต่างเฉยเลยอะ มันอาจจะเป็นความบังเอิญด้วย แล้วก็น่าจะเป็นความที่หน่าเชื่อใจคนในวงมากเลยอะ เพราะว่าเขาเก่งกันทุกคนจริงๆ ถ้าเป็นเรื่องดนตรีหน่าจะฟังคนในวงมาก แต่ถ้าเรื่องเนื้อร้องหน่าก็รับผิดชอบของตัวเองให้ดีก็พอ (ผู้สัมภาษณ์ : เรารู้สึกว่ามันเป็นเพลงแบบ “happysad” อะไรประมาณนี้) เออ ใช่ มันพี่คนนึงที่ชอบตามไปฟังหน่ารเองเพลง เขาจะชอบเอาไปโฆษณากับเพื่อนๆ เขาว่า น้องคนนี้อะ หวานขมๆ (อมยิ้ม) หน่าแบบ คืออะไรวะพี่ ตอนนี้เราก็เริ่มพอจะเข้าใจแล้ว เสียงเราอาจจะแบบว่าเป็นผู้หญิงหวานๆ ใช่ไหม แต่ว่าเราชอบเล่าเรื่องเศร้าๆอะ เราไม่ใช่แบบหวานแบ๊ว หวานสวย คำว่า “สวย” นี่โคตรไม่เหมาะกับหน่าเลย หน่าโคตรรู้สึกเขินเลยเวลาที่แบบคนมาชม สวยยยยยยอะ อะไรแบบนี้ มันแบบ เชี่ย มันไม่ได้ว่ะ (หัวเราะ) มันไม่ใช่กูเลยอะ ถ้าบอกว่า “เท่” ยังแบบ เออจริงเหรอ เฮ้ย แบบเออออไป
เราอยากเป็นคนเท่มากกว่าคนสวย
น้อยหน่า : ใช่ หน่ารู้สึกว่าหน่าลุย ความสวยมันเรียบร้อยไปสำหรับหน่า
มาเรื่องการฟังเพลงกันบ้าง เห็นก่อนหน้านี้น้อยหน่าบอกว่าน้อยหน่าชอบฟังเพลงตอนขับรถ
น้อยหน่า : หน่าชอบฟังตอนขับรถเฉยเลย มันทำให้เรารู้สึกว่าเราพุ่งไปข้างหน้า ฟังไปเรื่อยอะ หน่าก็จะหาเพลงใหม่ฟังไปเรื่อยๆ แล้วแต่เลยค่ะ แล้วแต่ยุค เวลาเราเกิดชอบเพลงๆ นึงขึ้นมา เราก็จะไปตามว่าเฮ้ยของวงอะไร เราก็จะไปหาฟัง ก็ฟังหมดเลย “Chet Faker”, “BENEE”, “Gus Dapperton”, “Fazerdaze” หน่าชอบเพลงแบบที่มันทำให้เรารู้สึกเหมือนพุ่งไปข้างหน้าอย่างพวก “Shoegaze”, “Dream Pop” อะไรยังงี้ หน่าชอบ ชอบมาก กลายเป็นแบบล่องๆ ไป จากที่เราเคยชอบเมทัล แต่หน่าว่ามันก็ปรับใช้กันได้นะ หน่าว่าสองแนวนี้มันมีความสะใจเหมือนกัน หน่าไม่คิดว่ามันห่างกันขนาดนั้น หน่าชอบฟังเพลงตอนขับรถที่สุด รู้สึกมันเยี่ยมไปเลย สะใจด้วย เราก็แบบเหยียบไปเลย เพลงก็เปิดดังๆไปเลย (ยิ้ม/หัวเราะ)
พูดถึงแนวเพลงที่ทำอยู่ในปัจจุบัน คุณเริ่มจากฟังเพลงแบบนี้ก่อนแล้วจึงทำหรือเลือกแนวที่จะทำก่อนแล้วค่อยมาปรับให้เข้ากับตัวเราทีหลัง
น้อยหน่า : เราฟังเพลงพวกนี้แล้วเรารู้สึกชอบมัน มันเหมือนเป็นยุคอะ ยุคนึงเกาหลี ยุคนึงร๊อก ยุคนี้ต้องดรีมป๊อป ขับรถ แล้วเรารู้สึกว่า เสียงเรา บุคลิกเรามันเข้ากับตรงนี้ได้นะ เสียงเรามันไหวนะตรงนี้ เราว่ามันลงล๊อคอะ เวลาเราดีไซน์การร้องกับเพลงพวกนี้ มันดีกว่าเพลงร๊อกอยู่แล้ว ลองคิดดูถ้าให้หน่าไปว๊ากอะ อย่างหน่าชอบฟังวง “Flyleaf” มาก โคตรชอบ ทุกวันนี้ก็ยังฟังอยู่แต่ว่าเราคงเป็นอย่างเขาไม่ได้ เพราะว่าเราไม่ได้มีเนื้อเสียงแบบเขา ไม่ได้ร้องเป็นแบบเขา เราก็เอาเท่าที่เราทำได้และเราก็ทำให้ดีที่สุด
ช่วยแนะนำวงแนว “Shoegaze” หรือ “Dream Pop” ที่ฟังอยู่สักสามวง
น้อยหน่า : เนี่ยหน่าเพิ่งไปเจอล่าสุดมา (น้อยหน่า ปลดล๊อคหน้าโทรศัพท์และเปิดหน้าแอพ ‘Spotify’ ก่อนจะยื่นมาให้ผู้สัมภาษณ์ดู) วงนี้หน่าไม่เคยฟังมาก่อน หน่าไปเปิดเจอมาชื่อวงนี้ “Launder” หน่าชอบวงนี้มาก “Fazerdaze” ก็ชอบค่ะ ละก็ "No Vacation“ ฟังเพลงพวกนี้แล้วรู้สึกมีพลังไปใช้ชีวิต แต่จะมีวงนึงหน่าที่ชอบที่สุด เป็นที่หนึ่งในใจ ฟังเมื่อไหร่ก็ได้ ฟังแล้วรู้สึกว่าโคตรมีพลังเลยคือวง "A Beacon School" หน่ารู้สึกว่าซาวน์มันพาลอยมากเลย คือว่าถ้าพี่ดูดตุ่ยนะหน่าว่าต้องฟังแล้วแหละ ไอ้ฟิว (ฟิววี่ - ชลันธร สุนทรพิทักษ์ เทพมือกลองแห่งวง ‘YONLAPA’) อย่างชอบอะ ไอ้ฟิวนี่หน่าฟังอะไรแม่งฟังตรงกับหน่าหมดเลย หน่าเปิดอะไรมา เฮ้ย พี่เพลงนี้แหละ อะไรยังงี้
แผนการในอนาคตแลัก้าวต่อไปของ “YONLAPA”
น้อยหน่า : วงตอนนี้ก็รอออกอีพี วางแพลนที่ปล่อยไว้ประมาณช่วงเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน อีพีแรก มีห้าเพลงก่อน จากนั้นค่อยทำอัลบั้มหนึ่งกัน มีอีกเพลงหนึ่งกำลังทำอยู่ ส่วนเพลง “คิดถึงเหลือเกิน” ไม่ได้อยู่ในอีพีชุดนี้เพราะเป็นเพลงที่อยู่ในโปรเจกต์ของทางค่าย “Minimal Record” เลยไม่เอามารวม ในอีพีจะเป็นเป็นเพลงภาษาอังกฤษหมดเลย อย่างเพลงล่าสุดนี่ก็มีคนแต่งมา เราคิดว่ามันน่าจะใช้ได้เลยเอามา re-arrange ใหม่ คือเขาเขียนเป็นกลอนเปล่ามา ไม่มีทำนองเราเลยลองเอามาใส่ทำนองและดนตรีดู หลังจากนั้นก็จะทำอัลบั้มเต็มต่อ มันเหมือน….ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าแต่เรารู้สึกว่าทุกคนยังอยากไปด้วยกัน ก็เหมือนที่หน่าเคยคุยกับพี่นั่นแหละ คือ ทำเพลงกันเว้ย พี่เมธจะเอากูไปอยู่ค่าย แล้วเราไม่อยากเป็นนักร้องเดี่ยว เราเลยต้องหาทีมที่หน่าคิดว่ามองแล้วเห็นอนาคต อย่าง ฟิว มือกลอง อันนี้ให้พี่โด่งไปทาบทาม มาซ้อมกันวันแรกคือเงียบกันหมด ก็ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าจะมาถึงขนาดนี้นะ บังเอิญมากเลยที่อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข เวลาอยู่กับวงหน่ามีความสุขมากเลย เหมือนไปเจอเพื่อน (ผู้สัมภาษณ์ : แล้วอย่างคนอื่นนี่ยังไง อย่าง นาวิน นี่คือเป็นลูกค้าร้านหมาล่าก็ชวนเขามาเล่นงี้เหรอ) คือร้านหม่าล่ามันเป็นร้านของเด็กวิจิตรศิลป์ ก็จะเป็นเพื่อนๆ ของเขามากินกันไม่ใช่คนแก่อะไร แต่ที่มาชวนจริงๆจังๆ คือเริ่มหลังจากนั้น มันเริ่มหลังจากที่พี่เมธ (สุเมธ ยอดแก้ว หัวเรือใหญ่แห่งค่าย ‘Minimal Record’ ค่ายเพลงอินดี้หัวก้าวหน้าแห่งประเทศเชียงใหม่) ชวนไปเล่นโฟล์กเดี่ยวที่ร้าน “Minimal Bar” เขาก็ชวนทำเพลง เราก็เนี่ย ไม่อะ ไม่เอาแบ๊กอัพ ต้องมาอยู่วงชั้นเลย ต้องมัดขารวมกันไปเลย เราคือวงนะเว้ย ถ้าพี่เอา หน่าก็ทุ่มเท ถ้าไปเราก็ไปด้วยกัน ถ้าล้มเราก็ล้มด้วยกัน หน่ารู้สึกว่าหน่าชอบแบบนี้มากกว่าแบบว่า นี่เป็นแบ๊กอัพนนะ หน่ารู้สึกว่าหน่าอยากได้ใจเขาอะ หน่าอยากให้เขาภูมิใจกับสิ่งที่เขาทำมากกว่าที่จะให้รู้สึกว่ามันเป็นของเรา พี่นา นี่หน่าชวนเอง ไอ้กันต์นี่จำไม่ได้ แต่คือรู้จักกันอยู่แล้ว มันเจอกันบ่อยจัดจนไม่รู้ว่าไปชวนอะไรตอนไหน หน่าชอบไลน์โซโล่ของกันต์มากๆ หน่าว่ามันซนดี มันแบบ ฟังแล้วรู้ว่าเป็นไอ้กันต์อะ นอกจากนั้นหน่าก็จะปรึกษาพี่โด่งตลอดค่ะ (โด่ง - จอมยุทธ์ วงษ์โต ที่นอกจากจะเป็นแฟนหนุ่มรูปงามของน้อยหน่าแล้ว จอมยุทธ์ท่านนี้ยังเป็นมือเบสของวง “Solitude Is Bliss” อีกทั้งยังควบตำแหน่งโปร์ดิวเซอร์และซาวน์เอ็นจิเนียร์ประของ “YONLAPA” อีกด้วย) พี่โด่งเป็นคนที่รู้ว่าหน่าอยากได้อะไร แบบไหน อยากได้ซาวน์แบบไหน ซึ่งหน่ารู้สึกว่าวง “YONLAPA” มันไม่ใช่แค่นักร้องนะพี่ ทุกคนแม่งเด่นพอกันเลยนะ หน่ารู้สึกว่ามันโชว์ได้ทุกคนอะ ไอ้กันต์ก็ขายได้ พี่นาก็เป็นคนที่มีคาแรกเตอร์ชัดเจน ไอ้ฟิวแม่งก็เก่ง หน่ารู้สึกว่าถ้าขายแค่ตัวเองมันคงเป็นการสำคัญตัวเองมากเกินไปละ ทุกคนแม่งเจ๋งทั้งนั้นอะ ตอนแรกมีพี่เบียร์ “Solitude Is Bliss” มาช่วยเล่นด้วยในช่วงแรก ก็ส่งน้องๆ ไปถึงฝั่งฝัน
ตอนที่เริ่มรวมรวบสมาชิก ตอนที่ตัดสินใจว่าจะทำเป็นวงเรามองภาพไว้ไกลขนาดไหน
น้อยหน่า : มันไม่ได้เห็นภาพขนาดนั้น หน่าออกจะกลัวด้วยซ้ำ หน่าเคยพูดกับเพื่อนสนิทประมาณว่า มันถึงเวลาแล้วเหรอเนี่ยที่กูต้องทำงานร่วมกับคนอื่น เหมือนมันเป็นช่วงพักฟื้นหลังจากแม่เสียด้วยพี่ ไม่กล้าทำอะไรเลย แต่ว่าชีวิตมันต้องไปต่อ หน่าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรทำให้หน่ารู้สึกว่าต้องทำต่อ อาจจะเป็นเพราะคำสัญญาที่เคยฝากฝังไว้กับพี่ๆ น้องๆ ที่ชวนกันมา พอเรามารวมกันแล้วหน่าก็ต้องพาเพื่อนๆ พาทีมของหน่าไปให้ถึงฝั่งฝันให้มันไกลที่สุด และมันก็เป็นความตั้งใจของหน่าเองด้วย ทุกคนก็ตั้งใจ แบบ โคตรตั้งใจอะพี่ รายละเอียดดนตรีในเพลงของ “YONLAPA” มันเจ๋งมากนะ หน่าขอบคุณมาก ขอบคุณทีม ขอบคุณพี่โด่ง พี่โด่งนี่ช่วยหน่าไว้เยอะมาก เรารู้สึกว่า แม่งต้องไปต่อ ทุกคนเขาช่วยเราขนาดนี้ ทุกคนเอาอะ หน่าก็เอา หน่าก็สู้ หน่าไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วพี่ มันเป็นสิ่งเดียวที่หน่าทำ หรือจะให้หน่ากลับออฟฟิศ หน่าชอบถามตัวเอง มึงจะทำไหม ถ้ามึงไม่ทำมึงจะกลับไปทำงานออฟฟิศไหมล่ะ มันก็ได้คำตอบว่า โอเค งั้นกูทำต่อ (หัวเราะเบาๆ) ชอบเถียงกับตัวเอง อยากจะกลับไปอยู่ออฟฟิศไหม หรืออยากจะกลับไปเป็นพนักงานโรงแรมไหม มันก็ไม่ใช่แล้ว เหมือนหน่าขึ้นมาบนหลังเสือแล้ว หน่าไม่ลงแล้วอะ คือมันจะดีหรือไม่ดีหน่าก็ไม่ได้สนนะ เราไม่คิดว่าเราจะดังอยู่แล้ว หน่ารู้สึกว่าหน่าไม่ได้ฟังเพลงที่คนอื่นชอบฟัง เรามีพื้นที่ของเรา เราทำเพลงเราก็รู้สึกว่ามันเป็นพื้นที่ของเรา อาจจะไม่ดังก็ได้หน่าก็คิดยังงี้ แต่มันดันมีคนรู้จักเยอะซึ่งมันเกินจากที่เราคิดไว้เยอะมาก ขนาดแค่นี้นะพี่ สำหรับคนอื่นมันอาจจะไม่ได้ดังก็ได้ คนอื่นอาจจะรู้สึกว่าต้องได้ร้อยล้านวิวหรืออะไร แต่สำหรับหน่าที่หน่าเป็นคนที่ไม่ฟังเพลงแมสเลย แล้วคนเขาชอบเราเยอะขนาดนี้ เราก็ตกใจ โคตรตกใจเลยว่าอะไรวะเนี่ย มีเด็กๆ อะ มาหาหน่า มาบอกพี่หน่าชอบเพลงนี้จัง พี่หน่าชอบอันนี้จังเลย แรกๆ หน่าก็จะแบบ ก็เขิน มันรู้สึกแบบเขินตัวเอง หน่าจะไม่ได้มีความมั่นแบบ อ้อ ค่า ขอบคุณค่า ขอบคุณนะคะ ทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นอย่างนั้นได้แล้ว หน่าควรที่จะขอบคุณตัวเองบ้าง หน่าควรที่จะให้คุณค่าตัวเองบ้าง ไม่ใช่มองว่าส่งที่ตัวเองทำมันไม่ดีเสมอ หน่าชอบคิดในแง่นี้เสมอว่า มันยังไม่ดีที่สุด คนพวกนี้มาชอบเราได้ยังไงเนี่ย เราใจร้ายกับตัวเองมากอะ แบบ เขียนซับผิดอีกแล้วเหรอ เป็นแบบนี้นะ ไม่มีใครด่าหน่าเท่าหน่าด่าตัวเอง ด่าทุกวัน
นี่คืิิอคำถามสุดท้ายของการสัมภาษณ์ เราอยากให้ฝากอะไรถึงคนอื่นในวงสักหน่อย
น้อยหน่า : คนในวงเหรอ หน่ามีความรู้สึกเหมือน มันก็เป็นยุคอะ หน่าตอนเรียนมัธยมเราก็มีเพื่อนมัธยม อันนี้คือเพื่อนวัยทำงานของเรา เป็นเพื่อนวัยทำงานที่รูปแบบงานมันต้องอาศัยอะไรหลายๆ อย่างที่มันต่างจากงานในออฟฟิศหรืองานประจำประเภทอื่นๆ แล้วเรารู้สึกว่าตัวเองเป็นหัวเรือหลักที่ชวนทุกคนมาทำ แล้วแบบทุกคนแม่งโคตรเต็มที่เลยพี่ แบบ เอ้ย พี่นาไปคิดอย่างนี้มา แล้วแกคิดมาดี๊ดี หน่าชอบบบบ ไอ้กันต์ก็จะเป็นคนที่คิดมาก กลัวว่าตัวเองจะทำได้ไม่ดีทั้งๆ ที่มันทำได้ดี ไอ้ฟิวนี่ก็เก่งอยู่ละ ไอ้ฟิวนี่เก่งจริง เก่งหลายเรื่อง ไอ้ฟิวเป็นคนที่ทำให้หน่ากระตือรือร้นขนาดนี้เหมือนกัน หลังๆ ก็สนิทกัน แต่คือมันจะสนิทกับพี่โด่ง เป็นผู้ชายเหมือนกัน ไอ้ฟิวนี่เป็นคนสอนให้หน่าทำระบบทำทุกอย่างให้เป็นระเบียบขึ้น สอนให้หน่าคิดว่า อย่าคิดอย่างนั้น เหมือนคนในวงสอนอะไรหน่าหลายอย่างมากเลย อย่าคิดอย่างงั้นดิพี่ ทำไปเลยพี่ อย่าไปกลัวเหมือนเขาเป็นตัวอย่าง วงเรา ทีมเรา พี่ศิ, พี่เจี๊ยบ (ผู้จัดการวง และ เทนิคเชี่ยน) ทุกคนเป็นตัวอย่างให้หน่าว่า หน่าควรจะมีทัศนคติแบบไหนต่อตัวเองและต่อคนอื่น เรารู้สึกเหมือนโดนสอน โดนขัดเกลา เรารู้สึกว่าเราเป็นคนที่ดีขึ้น เราขอบคุณตรงนี้แหละที่พวกเขาทำ หน่าว่าหน่าไม่ได้อะไรยังงี้จากการทำงานที่อื่น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in