PAPAYAH’s interview กลับมาพร้อมซีซั่นใหม่ (เว่าปานซีรีส์ HBO) หลังจากร้างมือไปนานด้วยภาระและหน้าที่ ทั้งรัก ทั้งฝัน ทั้งงาน ทั้งเงิน ใน episode เราขอนำเสนอบทสนทนาเจาะลึกระหว่างเราและ Electra Complex วงดนตรีสี่ชิ้นที่เริ่มจากเป็นโปรเจค pop punk / emo ของ ‘ตาล-พงศธร กองเพียร’ สู่การ re-invented ของพวกทั้งสี่ในภารกิจการพาดนตรีของพวกเขาไปสู่ทิศทางและอาณาเขตใหม่ทางดนตรีที่แม่งโคตรจะ SCI-FI ของพวกเขาในผลงานอัลบั้มเต็มลำดับที่ 2 ของวงที่ชื่อว่า ‘ECX’
ปล่อยอัลบั้ม ‘ECX’ มาจะครบหนึ่งปี ผลตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง
ตาล : พอใจมาก อย่างแรกสุดเลยคือ หายเหนื่อย เพราะพวกเราใช้เวลากว่าสามปีในการทำงานชุดนี้จนจบ ในฐานะผู้สร้างสรรค์ผลงาน มันประสบความสำเร็จตั้งแต่ตอนที่เราทำมันจนกลายเป็นชิ้นอยู่ในมือเราแล้ว ส่วนผลตอบรับจะเป็นอย่างไร ตอนนี้เรามองว่ามันคือผลพลอยได้ละ เพราะมันเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ คนจะชอบหรือไม่ชอบงานเราคือแบบ มาเลย เพราะถือว่าเราแฮปปี้กับที่เราทำมันออกมาแล้ว ซึ่งผลตอบรับจากปีที่ผ่านมาก็ถือว่าดีเลย
หวาย : รู้สึกดีเกินคาด เพราะจริงๆ วงเราก็ทำเพลงกันมาสิบกว่าปีแล้ว แต่เราก็ไม่ค่อยได้ไปพูดถึงชีวิตด้านนี้ของเราให้ใครฟังเท่าไหร่ แต่ว่าพอเริ่มปล่อยซิงเกิ้ลจากอัลบั้มนี้ พอเพลงมันเริ่มทำงาน ก็มีคนเข้ามาทักเราเรื่อง Electra Complex ค่อนข้างเยอะกว่าปกติ
ถ้าอย่างนั้น พวกคุณคิดว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้ผลงานชุดนี้ได้รับความสนใจมากขึ้นเป็นพิเศษ
ตาล : ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นเพราะการเลือกเปลี่ยนไดเรกชั่นและวิธีทำงานของทางวง ก่อนจะเริ่มทำอัลบั้ม ECX พวกเราทั้งสี่คนคุยกันจนตกผลึกแล้วว่า ถ้าเราคิดและทำแบบเดิม เราพอจะรู้ผลลัพธ์ละว่ามันจะออกมาประมาณไหน เราจะได้เล่นงานลักษณะไหน เราจะมีกลุ่มเป็นคนฟังแบบไหน ซึ่งคราวนี้เราอยากลองออกไปเจออะไรใหม่ๆ เลยล้มกระดานมันซะ เริ่มกันใหม่ ทั้งซาวน์ ทั้งวิธีคิด วิธีการทำงาน เราจะไม่ทำกันแบบเดิม กูจะไปทางใหม่ ทั้งในส่วนของการเขียนเพลง และสตูดิโอโปรดักชั่น จากที่เมื่อก่อนวงเราไม่เคยอัดกลองสด ไม่เคยมาสุมหัวเพื่อต้องเข้าห้องอัดพร้อมกัน ไม่เคยต้องแก้เพลงกันใหม่หลายๆ รอบ และที่สำคัญที่สุดคือ ในอัลบั้มนี้ ทุกคนในวงมีส่วนในการคคิดการงานพอๆ กัน ต่างจากชุดก่อนๆ ที่เราจะเป็นเหมือนโปรดิวซ์เซอร์และเป็นคนนำด้านครีเอทีฟ การตัดสินใจทุกอย่างเกิดจากการตัดสินใจร่วมกันของสมาชิกทั้งสี่คนจริงๆ ละพอสี่คนนี้มันผลักไปด้วยกัน มันเลยไม่เหมือนผลงานชุดก่อนๆ ที่เราเป็นคนผลักมันอยู่คนเดียว แต่พอมา ECX สมมุติเราอยากทำอันนี้ แต่ลูกหวายกับบีบอกว่า ไม่เอา เราก็ต้องหยุดละมาคุยกันว่าจะเอายังไง บางทีเราขึ้นเขียนบางเพลงมาแม่งเพราะมาก แต่บี มือกลอง ไม่พร้อม ตีไม่ได้ เข่าเจ็บ เราก็ต้องปรับเพื่อให้เพลงมันผ่านสี่คนนี้ไปให้ได้ มันเลยให้ใช้เวลาทำค่อนข้างนาน เราปรับการทำงานให้เป็นลักษณะของการใช้ทีมเวิร์คมากขึ้น มีการทำงานที่มีความเป็นวงมากกว่าแต่ก่อน ต่างจากชุดก่อนๆ ที่เราจะเป็นเหมือนโปรดิวซ์เซอร์และเป็นคนนำด้านครีเอทีฟเป็นหลัก ซึ่งจากที่สิ่งว่ามาพูดมาทั้งหมด
เราเชื่อว่าคนฟังเขาสัมผัสได้ว่าพวกเราใช้ความพิถีพิถันในการสร้างงานชิ้นนี้ขึ้นมามากๆ ทำให้คนฟังรู้สึกว่าต้องให้ความสนใจ ด้วยความที่เราได้มีโพสอัพเดทเกี่ยวการทำงานในอัลบั้มให้ทุกคนที่ติดตามผ่านโซเชี่ยลในส่วนของการทำเพลงตั้งแต่ต้นจนจบ พอสารพวกนี้มันไปถึงคนที่เขาติดตามวงเราหรือเคยติดตามเราจะรอดูว่า เฮ้ย อัลบั้มนี้มันจะออกมาเป็นยังไงวะ มันวิธีการทำงานที่เราไม่กล้าทำมาก่อนเพราะมันยาก แต่เสือกอยากทำ เดิมพันสูง ค่าอัดก็สูง ไม่รู้เดิมพันกับไม่รู้ด้วยนะ แต่เรายอมทุ่มแรงกายแรงใจและทรัพยกรของเราในการสร้างอัลบั้มนี้เพื่อให้ทุกอย่างมาดีที่สุด
วิธีการทำงานอัลบั้ม ‘ECX’
ตาล : สำหรับการขึ้นเพลงในอัลบั้มนี้จะมีเรา (ตาล) และ ไจแอนท์ มือกีต้าร์เป็นตัวหลักในการขึ้นโครง ซึ่ง 60% ของอัลบั้มนี้จะเริ่มจากริฟฟ์กีต้าร์ของแอนท์ ส่วนเราจะเป็นประเภทถ้าแอนท์ขึ้นอะไรมาให้แล้วเราจะไถต่อจนมันกลายเป็นโครงเพลง เราสองเหมือนเป็นแผนก curator ของวงในการคนเลือกว่าอะไรเหมาะกับสมาชิกวงที่เหลือโดย บีและลูกหวายเป็นคนเคาะอีกที ซึ่งเพลงที่โดนปัดตักก็มีเยอะเหมือนกัน กว่าจะเป็นเพลงแต่ละเพลงเลยต้องผ่านการถกเถียงกันเยอะประมาณหนึ่ง รวมไปถึงการเข้ามาของแอนท์ในฐานะสมาชิกวงเองก็เปลี่ยนซาวน์ของวงไปพอสมควร เพราะสไตล์การเล่นกีต้ารของเราสองคนมีความแตกต่างกันค่อนข้างสูง ซึ่งเรามองว่าเป็นเรื่องดี เพราะมันทำให้เกิดสีสีนใหม่ๆ ให้กับเพลงของ Electra Complex แต่ในทางกลับกันมันทำให้ทุกอย่างช้าลงด้วยความที่ต้องเคาะกันหลายชั้น แต่สิ่งที่เราได้กลับมาจากความช้าคือความมั่นใจต่อคุณภาพผลงานของเราที่สูงขึ้นว่า นี่แหละสิ่งที่เราอยากนำเสนอออกไปในผลงานชิ้นนี้
คอมเซ็ปต์ของอัลบั้ม ‘ECX’
ตาล : จริงๆ แรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ได้ตั้งธีมหรือคนเซปต์อะไร แต่พอเขียนไปเรื่อยๆ ละมาย้อนดูปรากฎว่าเนื้อเนื้อหาของเพลงในอัลบั้มจะมีความเป็น Sci-Fiction หมดเลย ซึ่งเราคิดว่ามันน่าจะออกมาจากรสนิยมของส่วนตัวของเราเองที่ชอบและสนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เราเป็นคนที่ชอบดูหนัง SCi-Fi ชอบดูสารคดีและอ่านเรื่องลี้ลับอะไรยังงี้ทำให้เนื้อเพลงในอัลบั้มนี้เลยวนเวียนอยู่กับเรื่องพวกนี้ มันเป็นอิทธิพลจากการที่เราอินกับเรื่องพวกนี้มาตลอดชีวิต แต่เราไม่สารมารถแสดงสิ่งเหล่านี้ผ่านภาษาไทยได้ ด้วยความที่ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีกฎเกณฑ์ค่อนข้างเยอะและมักต้องชัดเจนในการเล่า ในขณะที่การเล่าเรื่องด้วยภาษาอังกฤษมีข้อจำกัดที่น้อยและสามารถเล่าเรื่องผ่านมุมมองที่หลากหลายได้ง่ายกว่า พอเราเปลี่ยนภาษา ขอบเขตและรูปแบบการเล่าเรื่องมันกว้างขึ้น งานเลยออกมาเป็นอย่างที่ทุกคนได้ฟังกัน ตอนแรกเกือบจะตั้งชื่ออัลบั้มว่า Mystery ที่แปลว่าเรื่องลึกลับ แต่เรารู้สึกว่าคนอาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ว่าเราพูดถึงอะไร
Track By Track
01. Pilot
แทร๊คเปิดอัลบั้ม เนื้อหาเพลงนี้อุทิศให้กับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของวงในช่วงที่ทำอัลบั้มนี้ ที่เราไม่รู้ว่าเราจะสามารถทำสิ่งนี้ต่อไปได้อีกนานเท่าไหร่ โดยเปรียบเทียบวงพวกเราเองเหมือนเครื่องบินพังๆ ที่พร้อมจะตกตลอดเวลาละต้องมาคิดว่าพวกเราจะทำยังไงกันดีกับสิ่งต้องเผชิญในตอนนี้ ถ้าเราเป็นนักบินที่อยู่บนเครื่องบินกำลังตก เราจะทำยังไง บรรยากาศและสิ่งที่เกิดขึ้นบนนั้นมันจะให้ความรู้สึกยังไง โดยเนื้อเพลงในท่อนฮุคมันคือการสรุปทุกอย่างว่านี่จะต้องไม่ใช่เที่ยวบินสุดท้ายนะ ดังนั้นเราจะต้องจัดการกับสถานการณ์อะไรก็ตามที่กำลังเผชิญอยู่อย่างดีที่สุด อย่าเพิ่งถอดใจ
02. Telekinesis
เราได้ชื่อนี้มาจากการชอบดูหนังคนมีพลังจิตเช่น Stranger things, Carrie, Chronicle มันจะชอบมีตัวละครที่ควบคุมสิ่งของหรือคนด้วยจิต แล้วคนพวกนี้มันจะมีศัพท์บัญญัติว่าคือพลัง Telekinesis ซึ่งมันไปตรงกับเนื้อหาเพลงนี้ที่เราเขียนถึงช่วงเวลาที่เราดิ่งมากๆ เวลาที่เราสิ้นหวังไม่เหลืออะไร เราอยากได้ใครก็ได้ที่ดึงเราขึ้นมาจากตรงนั้น มันนามธรรมสุดๆเลย แต่วันนั้นอยู่ๆชื่อนี้มันก็เด้งขึ้นมา แล้วมันอธิบายทุกอย่างของเพลงนี้ได้หมด เลย มันคือการเราฉุดเราขึ้นมาด้วยพลังจิตของใครบางคน
03. Follower
เป็นเพลงที่มีความเป็นมนุษย์ที่สุดในอัลบั้ม เพลงนี้ได้แรงบัลดาลใจมากจากซีรีส์บน NETFLIX ชื่อว่า ‘ You’ จริงๆ เนื้อหามันพูดถึงเรื่อง Stalker ผ่านมุมมองของผู้กระทำ แต่เราไม่อยากใช้คำนี้ตรงๆ ก็เลยใช้คำว่า ‘Follower’ ซึ่งเป็นคำปัจจุบันทุกใช้กันบ่อยเวลาที่พูดถึง Social Media และเราก็มักจะได้ยินคำนี้บ่อยๆ เวลาไปเล่นคอนเสิร์ตที่ทีมงานผู้จัดมักจะถามวงที่มาเล่นเสมอ วงมีผู้ติดตามในวันนี้กี่คน ซึ่งเราวางให้เพลงนี้กับเพลง Traveler ให้มีความเป็นมนุษย์ปกติที่สุด
04. Freeze
หลังจากนั้นก็เริ่มเขียนเนื้อเพลงโดยยึดคำคำนี้เป็นคอนเซ็ปต์ เนื้อเพลงเลยจะพูดคนที่ยอมแช่แข็งความสัมพันธ์ของตัวเองไว้ พยายามทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพื่อคนที่ตัวเองรัก โดยมีที่มาจากข่าวๆ หนึ่งที่เคยเป็นที่ฮือฮามากในญี่ปุ่นเกี่ยวผู้ชายคนหนึ่งที่สูญเสียภรรยาและตัดสินใจแช่แข็งร่างของเธอเพื่อเก็บรักษาไว้โดยหวังว่าเทคโนโลยีในอนาคตจะสามารถทำให้เธอฟื้นกับมาได้
05. If Only
เพลงนี้เกี่ยวการย้อนอดีต ถ้าเราสามารถนั่งไทม์แมชชีนและย้อนเวลากลับไปได้เราอยากจะกลับไปทำนู่นทำนี่ แต่อีกในชั้นหนึ่ง เพลงนี้คือภาคต่อของเพลง ‘นักข้ามเวลา’ จากอัลบั้มชุด ‘Eleven’ ที่เกี่ยวการอยากข้ามเวลาไปในอนาคตจากช่วงเวลาที่เลวร้ายในปัจจุบัน ที่มีท่อนเราเขียนไว้ว่า ‘ฉันคงไม่อยากจะย้อนเวลา ถ้ารู้ว่ายังไงก็ต้องเป็นเหมือนเดิม’ ส่วนเพลงเปรียบตอบกลับตัวละครที่อยู่ในเพลงดังกล่าวว่า เราไม่อยากพูดอะไรเท่ๆ เราแค่อยากเป็นคนที่เสียใจและอยากย้อนเวลากลับไป พยามพูดอะไรที่มันเรียบง่ายกว่าเดิม ซึ่งพอมันเป็นภาษาอังกฤษมันเล่าออกมาง่ายกว่าด้วย เลยมีความสนุกในการเขียนเนื้อเพลงในชุดนี้มากๆ
Neon
เพลงนี้พูดถึงคนที่ตามล่าแสงปริศนาบางอย่างที่หลายคนสงสัยว่าอาจะเป็นยูเอฟโอหรือสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว ผ่านมุมมองของคนที่พบเห็นและตัดสินใจขับรถออกตามหาสิ่งนั้น ได้รับบันดาลใจมาจากข่าวดังในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นในช่วงที่เรากำลังทำอัลบั้มชุดนี้ ที่มีคนจำนวนมาก มองเห็นวัตถุแปลกประหลาดปรากฎบนท้องฟ้าในบ่ายวันหนึ่งจนเกิดเป็นไวรัลและมีคนเลือกที่จะออกไปตามดูเรื่องนี้จริงๆ ว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นจริงๆ มันคืออะไรกันแน่ เราเขียนเพลงด้วยมุมมองบุคคลที่ 3 ที่มีโอกาสได้เห็นเหตุการณ์เหล่านี้ คือเราไม่ได้มีพลัง เราแค่เล่าสิ่งที่พบเจอเมื่อมีสิ่งเหล่าอยู่ในสภาพแวดล้อม ซึ่งก็น่ามาจากการที่เราชอบดูชอบเสพเรื่องราวพวกนี้ เราเลยสื่อสารออกมาในฐานะผู้ชม ว่าเรารู้สึกอะไรกับมัน
Glicth
เพลงนี้พูดถึงเรื่องคนๆ หนึ่งที่พยายามลืมเรื่องที่มันเกิดขึ้น อยากจะลบความทรงจำตรงนี้ออกไป พูดถึงเรื่องความจำเสื่อมที่อยู่ดีๆ ความทรงจำก็ฟื้นกลับมากระทันหัน ชื่อเพลงมันแปลว่า คอมที่รวน จอฟ้ามาแล้ว ได้แรงบันดาลใจจากซีรีส์สัญชาติออสเตรเลียในชื่อเดียวกันที่เล่าเกี่ยวกับเมืองในชนบทเมืองหนึ่งในออสเตรเลียที่อยู่ดีๆ ก็เกิดเหตุการณ์ที่คนตายที่ถูกฝังในสุสานอยู่ๆ ก็ทยอยฟื้นคืนชีพขึ้นมาโดยที่จำเหตุการณ์ช่วงสุดท้ายในชีวิตที่จะตาย (รอบแรก) ไปไม่ได้
Siren
ที่พูดถึงการไล่ผี ด้วยความที่ช่วงนั้นดูหนังผีประเภอ Exorcise (พิธีกรรมไล่ปีศาจตามความเชื่อของศาสนาคริสต์) เยอะ เพลงนี้เล่าถึงความรู้สึกที่ระหว่างทำพิธีของผู้ไล่ ‘ถ้ากูไล่มึงไปไม่ได้ ถ้าอย่างงั้นกูจะสู้กับมึงจนกว่าวิญญานมึงจะสลายไป สู้กันจนมึงไม่เหลืออะไร’
Traveler
เป็นเพลงแรกที่แต่งเสร็จและทำเสร็จในอัลบั้มนี้ มันคือ Roadmap ของทุกเพลงในอัลบั้มว่าเราจะไปทางนี้กันแล้ว ดนตรีเพลงนี้ถูกทำโดย ไจแอนท์มือกีต้าร์ ที่ทำท่อนอินโทรและคอร์ดมาแค่ท่อนเดียว แล้วทุกคนในวงเห็นตรงกันว่ามันน่าทำมาก มันคือเพลงแบบที่เรายังไม่เคยแต่งได้ เราเลยมารวมตัวกันทำดนตรีไปต่อกันทีละท่อนจนจบเพลง ตอนแรกเพลงนี้มันยังไม่มีเนื้อเพลง เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะร้องเกี่ยวกับอะไร แล้วช่วงนั้นเราได้รู้จักกับรุ่นพี่ชื่อ พี่ปิ๊ก เค้าคือคนเขียนเพลง น้ำค้าง ของ Desktop Error ซึ่งเราชอบมาก เราเลยส่งดนตรีไปให้พี่ปิ๊กเขียนเนื้อเพลงให้ แล้วพี่เขาก็เขียนเนื้อออกมาจากคาแรคเตอร์ของวงที่มันกำลังเข้าสู่วัยผู้ใหญ่กันแล้ว อยากทำอะไรก็รีบทำก่อนจะไม่ได้ทำ มันมีคำนึงที่เด้งออกมาคือ “ก่อนวัยอันสมควร” โอ้ คมมาก ซึ่งตอนแรกจะใช้ชื่อเพลงนี้แล้ว แต่เราอยากได้ชื่อวงที่เรียกง่ายคนจำได้ คำว่า “Traveler” มันเด้งออกมาเอง ตอนวันที่กำลังสรุปชื่อกัน มันแปลว่านักเดินทาง ชีวิตคือการเดินทาง มันจบในคำคำเดียวเลย
สุดท้าย ฝากผลงานสำหรับผู้ยังไม่ได้ฟัง
หวาย : ผมรู้สึกโล่งมากที่งานชิ้นมันเสร็จ เพราะมันเป็นสามปีที่เหนื่อยมาก ต้องสละวันหยุดพักผ่อนตัวเองมาเพื่อทำผลงานชิ้นในสำเร็จ ลูกพี่เขาสั่งมา เราก็ไป
บี : มันเป็นอัลบั้มที่เราได้อัดกลองสดเป็นครั้งแรก ละก็ในสามปีที่ผ่านมามันก็ต้องฝันฝ่าอะไรเยอะเหมือนกันทั้งเจ็บเข่าด้วย เราภูมิใจกับอัลบั้มนี้มาก
ไจแอนท์ : จริงๆ ตอนที่เราวางแผนกันตอนแรกพวกเรากะจะทำเป็นอีพี ความยาว 3-4 เพลงแค่นั้นเอง จนพอมันถูกขยายให้เป็น 9 เพลง คือเหนื่อย เหนื่อยมากๆ เพราะเราไม่ได้มีเพลงที่เราสต๊อกไว้ เราทำทุกเพลงขึ้นมาใหม่ด้วยกันทั้งหมดเลยต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน เพราะไอเดียบางทีที่จู่ๆ มันก็เข้ามา เพราะบางทีต่อให้เปิดคอมเสียบสายจะเค้นยังไงมันก็ไม่ออก ก็ต้องรอมันมาเอง มันเลยใช้เวลา ก็รู้สึกดีมากๆ ที่ได้มีอัลบั้มเป็นของตัวเอง เพราะสำหรับผม งานชุดนี้คืออัลบั้มแรกและเป็นครั้งแรกที่ได้ทำงานในสตูดิโอแบบจริงจัง ได้ถ่ายเอ็มวี ได้ไปทัวร์อะไรต่างๆ เราหวังว่าอัลบั้มนี้จะทำเราได้เดินทางมากขึ้น เดินทางในดนตรีสายนี้ แต่เดินทางไปเล่นดนตรีในที่ต่างๆ หวังว่ามันจะเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้ไปพบเจออะไรใหม่ๆ ละก็รู้สึกหายเหนื่อยจริงๆ แต่ก็อยากเหนื่อยเพิ่มนะ อยากไปทัวร์ให้มากกว่านี้
ตาล : ECX เปรียบเสมือนคนๆ หนึ่งที่ดันต้องเขาไปอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าปลายทางของการเดินทางครั้งนี้มันจะไปสุดที่ตรงไหน แต่พอเราเห็นเพลงมันทำงาน วงยังไปต่อได้ ทุกคนเลยยังอยากจบงานชิ้นนี้ให้สำเร็จ เอาจริงๆ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่างานชิ้นมันจะจบที่ตรงไหนจนกระทั่งเรามีเพลงครบอัลบั้ม เราถึงเห็นทิศทางที่มันน่าจะพาเราไป ถ้าไม่ใช่ 9 เพลงนี้ ปกอัลบั้มก็คงไม่เป็นแบบนี้ มันเป็นผลผลิตของเราสี่คนที่ปั้้นมันขึ้นมาจนเป็นหน้าตาแบบนี้ ถ้ามันนานกว่าหรือเร็วกว่านี้มันก็อาจจะไม่ได้หน้าตาแบบนี้ ถ้าไม่มีโควิดเราว่าอัลบั้มมันน่าจะเสร็จตั้งแต่ปีแล้วและคงไม่หน้าตาแบบนี้ ถ้าไม่มีโควิดก็ไม่รู้ว่ามันออกในทิศทางนี้หรือโควิดมันเหมือนบอกเราทุกคนว่า จริงๆ ถ้าไม่มีโควิดก็อาจจะไม่ทำให้เราเป็นเราทุำกวันนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in